iannnnn's Blog, page 18
April 5, 2014
เปลี่ยนอ่าน
หัวข้อคราวนี้ยังคงจมปลักอยู่กับพฤติกรรมการอ่านของตัวเอง ซึ่งช่วงนี้ก็จะบ่นสลับกับพฤติกรรมการเขียน เพราะกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยเอามาบันทึกไว้ซะหน่อย
คงเพราะผมก็เป็นหนึ่งในมนุษย์อ่านเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านไอ้แบบที่คนเขาชื่นชมกันนัก (เช่นอ่านวรรณกรรม บทกวี หรือบทวิเคราะห์ลึกซึ้งปรัชญาสิงห์โตอะไรนี่ยิ่งไม่ได้สนใจใหญ่) เพราะนอกจากอ่านการ์ตูนไปวันๆ แล้ว สิ่งที่ชอบมากก็คือการอ่านฟีดจากเว็บที่ subscrie ไว้
การอ่านทุกวันนี้คือการหยิบอะไรที่มีตัวอักษรขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือโทรศัพท์มือถือ เปิดแอปอ่านฟีด แล้วก็จมอยู่กับมันเป็นห้วงๆ เพื่อเป็นการถมเวลาว่าง (ก็ฆ่าเวลานั่นแหละ) ไม่ว่าจะระหว่างขี้ ระหว่างอาบน้ำ ระหว่างรอนั่นนี่ เพราะพบว่ามันเข้ากับจริตเราอย่างยิ่ง อ่านซิว่าวันนี้มีอะไรใหม่บ้าง ข่าวหนังใหม่จากเว็บหนังที่ตาม ข่าวการเมืองนิดหน่อย ข่าวงานออกแบบ ข่าวไอที บล็อกของเพื่อนฝูง บล็อกของนักเขียนที่ชอบ ดูรูปโป๊ที่สับตะไคร้ไว้ ฯลฯ วนเวียนอยู่แบบนี้ ทำมานานมากจนติดเป็นนิสัย … เป็นนิสัยที่ถูกเปลี่ยนไปเยอะจากยุคก่อนมือถือ ถ้าเป็นตอนนั้นผมจะเป็นคนติดการอ่านอะไรที่แบบ “แป๊บๆ ก็จบ” เช่นหนังสือพิมพ์ตามร้านก๋วยเตี๋ยว หรือนิตยสารที่ซื้อประจำ ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ไอ้ความที่เป็นมือถือ มันดันง่าย และทำให้เราเสพติดกับความสนุกเวลากด เวลาลบ เวลาโหลดใหม่ หรือเวลาที่ข่าวใหม่มันงอกไล่ตามเวลามาให้เราเก็บแต้มมันให้ครบ (โดยนานๆ ทีจะกด Mark all as read เพื่อตัดใจจากกองข่าวที่สะสมมานานเวลาที่ทำงานยุ่งๆ)
นี่ยังไม่นับพวกสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่พอเปลี่ยนอาชีพมาทำงานบนเฟซบุ๊กปั๊บ (พยายามหัดใช้ตั้งนานจนเพิ่งใช้เป็น) อีพวกบรรดาโนติรบกวนสมาธิต่างๆ ก็จะมา นี่ขนาดบล็อกสิ่งกวนใจทุกอย่างที่คิดว่าไม่ทำให้หลุดวงโคจรของเพื่อนออกไปหมดแล้วนะ แล้วไหนจะทวิตเตอร์อีก แม้ช่วงไม่กี่วันมานี้ผมเล่นน้อยลงอย่างสังเกตตัวเองได้ชัด ไอ้เสพก็เสพอยู่นะ มีความสุขเวลานั่งอ่านมัน แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงบำบัดไง โชคดีที่แอปทวิตเตอร์ในมือถือมันห่วยลงทุกวันๆ เลยไม่ค่อยได้อัปเดตเรียลไทม์แบบเมื่อก่อน (แต่ก็ยังติดอยู่แบบไม่คิดจะเลิกหรอกทวิตเตอร์เนี่ย)
กลับมาเรื่องการอ่าน เนี่ยพอมีมือถือปั๊บ พฤติกรรมการอ่านเดิมๆ ของผมก็ถูกบิดไป วันๆ ก็กวาดสายตาแค่ในหน้าจอที่เอานิ้วรูดได้ ส่วนบรรดาหนังสือที่รักกลับถูกปล่อยให้ฝุ่นเกาะ แม้จะเป็นผลงานของนักเขียน (หรือนักวาด) ที่ชอบมากๆ ที่ซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อสองสามปีก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็เหลือบไปเห็นว่าเฮ้ย เล่มนี้วางกองอยู่ในหมวด “ว่างๆ ค่อยอ่าน” มาตั้งนานแล้วได้ไงวะ
มันจะไป “ว่างๆ” ได้ยังไง ในเมื่อเวลาว่างของเราถูกถมด้วยการก้มหน้าใส่มือถือขนาดนี้
วันก่อนที่ไปซื้อหนังสือกองใหญ่จากงานหนังสือมา เลยเป็นการประกาศสงครามกับพฤติกรรมการอ่าน “ข้อมูลล้นเกิน” ในรูปดิจิทัล ให้ตัวเองได้เปลี่ยนมาจับกระดาษอย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อในความพิถีพิถันของสื่อที่ทำจากกระดาษ เนื่องจากเวลาพิมพ์ออกมาขายทีต้นทุนมันแพงกว่าแบบดิจิทัลไง เป็นเราเราก็ต้องตั้งใจ ใส่ใจให้หนังสือมันดีหน่อยใช่มะ อืม โอเค (นี่คิดเองเออเองจนเห็นด้วยไปแล้ว)
แต่การซื้อหนังสือกองใหญ่มาเติมกองเดิมที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นจะช่วยอะไร ก็คงช่วยมั้ง เพราะตอนนี้แม้กระทั่งที่พิมพ์อยู่นี่ผมก็รู้สึกละอายอยู่ในใจตลอดเวลาว่า นิตยสารอายุห้าเดิอนที่เรายังอ่านไม่จบ วางกองอยู่ข้างหน้า ส่วนฝั่งซ้ายมือคือการ์ตูนที่ซื้อมาว่าจะอ่าน และบนชั้นหนังสือซึ่งมีหมวดรออ่านวางเรียงอย่างอลังการอยู่แล้ว ก็ดันมีสมาชิกใหม่มาอีกหลายเล่ม วิธีที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ถ้าไม่นับว่าเอาไปเผา ก็คือต้องอ่านแม่งเท่านั้น
ส่วนเหล่าฟีดข่าวที่ดูดมาจากเว็บ เมื่อก่อนนึ่นับได้หลักพัน! (ยุค Google Reader นี่ตัวเลขข่าวใหม่ขึ้น 1000+ ทุกวัน เสียเวลาฉิบหายเหอะ) จนปลดเว็บหรือบล็อกที่ไม่คอยอัปเดตออกไปครั้งใหญ่เมื่อสักปีก่อนหนนึง ในช่วงที่ Google Reader ปิดตัวลง และเพื่อนๆ ที่ผมนับถือในความคิดผ่านตัวอักษรต่างทยอยเลิกเขียนบล็อกและหันไปโพสต์สเตตัสกันเกือบหมด ก็ถือว่าหลุดวงโคจรจากกันไปเลยหลายคน) จนช่วงสังคายนาเมื่อสองสามวันนี้เอง ก็เปิด Feedly นั่งไล่ unsubscribe และกรองเว็บที่เข้าข่าย “ไม่ต้องอ่านก็ได้วะ” กับประเภทที่ว่า “แม่งข่าวแปลเหมือนกันเด๊ะ งั้นเลือกเอาเว็บเดียวพอ” คัดจนเหลือแหล่งที่ยังติดตามอยู่จริงๆ แค่หลักร้อยต้นๆ (ในภาพประกอบข้างบน ก็ยังเยอะนะ) ที่ดีขึ้นคือผมเกษียณตัวเองจากวงการดิจิทัลเอเจนซี่แล้ว เลยลดละเลิกการไล่กวาดข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายๆ หมวดซึ่งมองวันนี้ก็กลายเป็นเพียงข้อมูลล้นสมองออกไป นี่ทำให้รู้สึกเสียเวลากับมันน้อยลงเยอะ
ถึงจะเพิ่งเริ่มต้น แต่หลังจากวัดผลมา 4 วัน ก็พบว่าการ์ตูนและนิตยสารค้างปีที่วางกองไว้ถูกกวาดต้อนไปได้หลายเล่มอยู่ (อ่านจากใหม่ไปเก่า จะได้ไม่รู้สึกตกรุ่นตลอด) และเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกที่ว่าต้องอ่านเพราะรู้สึกผิดที่ซื้อมาดอง กลายเป็น “เฮ้ย ใช่เลยว่ะ นี่แหละความสุข” ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
หวังว่านี่จะไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือวอนนาบี
April 2, 2014
ไปงานหนังสือ ไปซื้อหนังหา
เพิ่งกลับจากงานหนังสือ ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยไปมา พูดไปอาจจะดูตลก คือครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจจะไป “ซื้อให้มากเท่าที่อยากได้”
แล้วครั้งก่อนๆ ล่ะ? มีทั้งแบบ “ตั้งงบไม่เกินพัน”, “ไปนั่งแจกลายเซ็นอย่างเดียว” (สมัยที่ออกหนังสือกะเขาน่ะนะ), “ซื้อแต่การ์ตูน”, “ซื้อเพราะมารยาท” (อันนี้แย่มาก แต่ในอีกมุมนึงก็คือมันก็สมควรปะวะ ซื้อหนังสือเพราะรู้จักคนเขียนเลยรักษามารยาท แต่ซื้อมาแล้วก็ดันไม่ชอบเลยอ่านไม่จบงี้ แต่ถ้าไม่ซื้อก็ดูจะมองหน้ากันเจื่อนๆ โอ๊ย ใครก็ได้ช่วยที)
ประจวบกับความตั้งใจที่จะเริ่มลดละอาการเสพติดโลกออนไลน์และหน้าจอดิจิทัล ด้วยการ “แบ่งเวลา” ออกจากการถมเวลาจุ๋มจิ๋มหมดไปกับการนั่งอ่านฟีดข่าวที่ผมเสพติดมันมาตลอด เสพติดมากกว่าทวิตเตอร์อีก (เปิดมือถือส่วนใหญ่ของผมคือการนั่งอ่านข่าว ซึ่งแม่ง ไร้มาก โคตรไร้เลย)
และไอ้การซื้อโดยปกติที่เคยทำมา มันส่งผลให้กองหนังสือที่บ้านที่วางไว้ในหมวด “เดี๋ยวว่างจะอ่าน” เพิ่มขนาดขึ้นเป็นภูเขาเลากาสูงขึ้นทุกที และพอกหางหมูไปเรื่อยๆ จนมีบางเล่มซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อ 3 ปีก่อน (หมายถึงเมื่อ 5-6 ครั้งที่ผ่านมา) เราก็ยังไม่ได้อ่าน คือผมกลายเป็นนักสะสมหนังสือ แต่ไม่ใช่นักอ่าน
ในฐานะอดีตหนอนและเนิร์ดสุดขีด ก่อนที่จะมาเสพติดหน้าจอไฟฟ้าแทนนั้น นี่เป็นสิ่งที่เลวมาก
วิธีหักดิบมีอยู่อย่างเดียว คือทุ่มเทชีวิตเพื่ออ่านหนังสือ แบบเดียวกะที่เมื่อก่อนเคยทำตอนสมัยเรียน ในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ เช่าหนังสืออ่านวันนึงหนาประมาณ 1 นิ้ว อ่านยังไงก็หมดเหอะ
นี่ต้องขอบคุณบล็อกของพี่ยุ้ย (ตอบคำถาม “เอาเวลาจากไหน(วะ)มาอ่านหนังสือ?”) ที่ตอบคำถามของผมไปได้อย่างหมดจด คือต่อไปนี้เราจะแบ่งเวลาเพื่อหันมาพลิกหน้ากระดาษจริงจัง ส่วนหน้าจอมือถือก็จะขยัน “Mark all as read” แทนที่จะไล่อ่านครบวันละพันเรื่องอย่างทุกวันนี้ (ซึ่งแม่งโคตรไร้)
ครั้งนี้เลยแบกเป้ไป ปล่อยลูกเมียนอนอยู่บ้าน และในที่สุดก็ฟินกลับมา!
นอกจากซื้อมาได้เป็นกองแล้ว ยังสมัครสมาชิก / ต่ออายุสมาชิกนิตยสารรายปีอีก 2 หัว (คือ Way Magazine และ Let’s Comics) ให้มันรู้ไปว่าต่อไปนี้กูจะอ่านแล้วนะ ไอ้กองๆ ที่พะเนินสูงขึ้นทุกๆ ครึ่งปีนี่ ต่อไปจะต้องถูกย้ายไปหมวดอื่นทีละเล่มแล้วนะ ด้วยการแบ่งเวลาอ่านหนังสือก่อนนอนวันละชั่วโมงเป็นอันขาด
ฟังดูโคตรเท่เลย อุดมคติสุดๆ
จบด้วยประโยคเดิม คอยดูซิว่ากูจะทำได้ไหม เนี่ยเมียเรียกแล้ว ไปล่ะ
ป.ล.
ทีแรกจะเขียนรีวิวความประทับใจไล่เรียงรายเล่ม แต่เดี๋ยวเมียก็จะเรียกขึ้นไปกล่อมลูกนอนแล้ว เลยอุดช่องว่างสิบนาทีนี้มาเขียนซะหนึ่งบล็อกเหอะ งั้นไม่รีวิวละ บายนะ
ป.อ.
ไปคราวนี้เรียกได้ว่าไม่เจอใครที่รู้จักเลย (ที่เป็นนักเขียนหรือเกี่ยวข้องกับการขายหนังสือ) ยกเว้นสะอาดแห่ง Let’s Comics ก็เลยขอลายเซ็นพร้อมภาพวาดอย่างบรรจงมาหนึ่งดอก ดีใจ มีลายเซ็นกลับบ้านไว้ประดับเล่มเพื่อความเท่ งานหนังสือมันสลิ่มแบบนี้แหละ!
ป.ฮ.
ซื้อนิวยอร์กครั้งแรกมาตามกระแสนิยมเล่มนึง (พลิกอ่านดูแล้วตลก โอเค เราไม่ได้โดนกระแสหลอก) อีกเล่มเพื่อนฝากซื้อ นั่นก็ตามกระแสเหมือนกัน ถือว่าปีนี้แซลมอนโคตรถูกหวย.. ไม่สิ ถูกหวยมันดวงเกินไป ไม่ได้อาศัยฝีมือ ต้องเรียกว่าแทงม้าถูกแจ็กพ็อตมากกว่า ดีใจด้วย!
=======
ลูกเมียหลับแล้วมาเขียนเพิ่มต่ออีกหน่อย พอดีไอ้ตั๊กโวยวายว่าทำไมไม่ซื้อเล่มที่ฝากไว้ด้วย เลยบอกไปแล้วว่าขืนแบกมากกว่านี้กูหลังหักแน่ๆ เพราะว่าที่จริงก็เล็งไว้อีกหลายเล่มมากๆ แต่คราวนี้คือไม่ไหวจริงๆ แบกจนเหนื่อย (ที่น่าตกใจคือมันเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่มางานหนังสือ! สะสมอะไรกันวะ!)
March 30, 2014
บทสัมภาษณ์ผู้ชนะการแข่งขันชิง Galaxy Note 3 จาก Droidsans.com
สวัสดีครับ นี่เป็นบทสัมภาษณ์ผู้ชนะกิจกรรมแข่งขันชิง Galaxy Note 3 จาก Droidsans.com ซึ่งการแข่งขันรอบสุดท้ายเพิ่งสิ้นสุดลงไปวันนี้ และทาง Droidsans ก็ได้ผู้ชนะมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือคุณ @iannnnn นั่นเองครับ
(เสียงปรบมือ)

ขอบคุณภาพจาก droidsans.com
สวัสดีครับคุณไอแอน
เรียกไอ้แอนก็ได้ครับ ไม่ต้องมาองมาไอ
ชีวิตหลังจากชนะการแข่งขันในครั้งนี้เปลี่ยนไปเยอะไหมครับ
เยอะเลยครับ มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีลูกเมีย ชีวิตผมสุขสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ
นี่มึงไม่ได้ถูกล็อตโต้นะครับ ขอกล่าวแสดงความยินดีด้วยนะครับ ทางทีมงานของเราติดตามประวัติของคุณมานาน เห็นว่าชอบพูดถึงซัมซุงบ่อยครั้งทั้งทางดีและทางเลว
(ตัดหน้า)ส่วนมากจะทางดีครับ เพิ่งได้ของเขามาผมก็ขออวยไว้ก่อนครับ ส่วนทางเลวนั่นคือตอนใช้งานจริงไปสักพักแล้วเจอปัญหา
คุณเป็นสาวกซัมซุงสินะครับ
(ต่อยปาก)
ค… คุณเป็นสาวกกูเกิลสินะครับ
ใช่ครับ ถ้าแบบนี้ผมยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิเลย เวลากูเกิลอออะไรมาผมก็จะอวยไว้ก่อนครับ เป็นผู้ใช้ที่ดีครับ ไอ้ที่ดีกก็ชมเยอะๆ เวอร์ๆ แต่พอเวลาเจอความกากก็จะหุบปากไว้ให้มันผ่านไปครับ
นี่เหมือนพวกเชียร์กีฬาสีการเมืองเลยนะครับ
แน่นอนครับ แต่บทสัมภาษณ์นี่พิมพ์ใน iMac นะครับ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า วันนี้คุณไปแข่งมารู้สึกยังไงมั่งครับ
ตื่นเต้นฉิบหายเลยครับ ปกติผมเป็นพวกไม่ชอบการแข่งขันแบบเผชิญหน้าเท่าไหร่ เพราะคืนก่อนหน้าผมจะกระสับกระส่ายจนนอนไม่เต็มตื่น คือเป็นพวกล่กครับ แต่ถ้าเป็นการแข่งแห้ง เช่น ส่งภาพเข้าประกวด ส่งนั่นส่งนี่ อันนี้พอสู้กะเขาได้ คือเป็นมนุษย์เนิร์ดน่ะครับ
ที่จริงคุณตกรอบไปแล้ว
กติกาการแข่งขันชิงโน้ตสามนี่คือ ผู้เข้าประกวดจะต้องส่งคลิปคลิปนึงเพื่อโชว์ว่า “กูใช้มึงเป็นนะ” ไปให้ทีมงานพิจารณา เสร็จแล้วทางผู้จัดก็จะจับสลากให้ได้ผู้โชคดีมาตัดเชือกกันในรอบชิง ซึ่งแน่นอนครับ ผมตกรอบ แต่ก็ใช่ว่าจะอับโชคเสียทีเดียวนะ เพราะผู้ผ่านการคัดเลือกรวมถึงคิวสำรองก่อนหน้าผมเขาสละสิทธิ์จนมาถึงผมพอดี (เรื่องอะไรจะสละล่ะ อยากได้จะตายห่า แต่เก็บอาการไว้) ซึ่งถ้าไม่ได้ผู้แข่งขันท่านก่อนหน้ากรุณาสละสิทธิ์นี่ ไอ้ผมแม่งคงไม่ได้มาเข้ารอบชิงหรอกครับ เพราะโดยธรรมชาติก็เป็นคนที่อับจนโชคลาภวาสนาโดยสิ้นเชิง อะไรก็ตามที่เป็นการจับสลากก็ไม่เคยได้รางวัลดีๆ เลยสักครั้งครับ งานไหนที่เขาจับของขวัญกัน ก็เตรียมตัวไว้ได้เลย อันไหนกากสุดนี่ตกถึงมือกูแน่นอน
คุณเคยชนะการประกวดมาแล้วครั้งนึงสมัยวาดรูปชิงโน้ตสองนี่นา นี่คุณเส้นใหญ่ ใช้อภิสิทธิ์ รู้จักคนในอะไรแบบนี้สินะครับ
ใช่ครับ
ต้องตอบว่าไม่ใช่สิ
อ๋อ เออ ไม่ใช่ๆๆ คืออีตอนประกวดชิงโน้ตสอง (เขียนไว้จึ๋งเดียวตรงท้ายบล็อกนี้) นั่นก็วาดรูปประกวดกะเขาครับ ขยันส่งไปลายที่ด้วยนะครับด้วยความที่อยากได้มาก อีเว็บที่รู้จักเจ้าของเว็บก็ดันไม่ผ่าน แต่ไปได้รางวัลจากอีกเว็บที่ไม่รู้จักใครเลย ส่วนการแข่งขันครั้งนี้ถึงจะเป็นรายการที่ไม่ใหญ่โต แต่เขาแข่งกันจริงๆ จังๆ ครับ เพราะของรางวัลมันหลายบาท ดังนั้นถึงดวงจะไม่ดีแต่ก็ชนะกันด้วยพลังครับ
แทรกกติกาการแข่งขันนิดนึงครับ ทั้งรอบคัดเลือกและรอบชิง เขาตั้งกติกามาแบบนี้ คือใครที่มีโน้ตสามอยู่ในมือ ทดลองปฏิบัติภารกิจและจับเวลาดูนะครับว่าทำได้ในเวลาเท่าไหร่ บอกเลยว่าแม่งยากจริง
ภารกิจที่ต้องทำ
บันทึกเบอร์โทรศัพท์ด้วย Action Memo : ชื่อ “ดรอยด์ซานส์” เบอร์ “0812345678”
เปิด browser แล้วเข้า droidsans.com ด้วยคีย์บอร์ดลายมือบนกล่องพิมพ์ จากนั้นก็ให้บันทึกหน้าแรกเข้า scrapbook โดยให้สร้างหมวดหมู่ website ขึ้นใหม่แล้วจัดเก็บในนี้
เปิด YouTube ขึ้นมาด้วย MultiWindow แล้วก็ทำการค้นหา droidsans ด้วยการลากแปะตัวอักษรจาก browser มาแทนการพิมพ์ แล้วเล่นคลิปแรกของ droidsans เป็นเวลา 5 วินาที
จากนั้นให้เปิดใช้ Pen Window โทรออกหา droidsans ด้วยการค้นหาเบอร์แบบ T9
ให้ทำการวางสายแล้วก็เข้า S Note สร้างเอกสารขึ้นมาใหม่ เขียน Samsung เล็กๆเอาไว้ด้านล่างสุดของหน้ากระดาษ แล้วใช้ Selection mode ขนาดลายมือเราขึ้นมาเอาไว้บนสุด จากนั้นก็เขียน Galaxy Note 3 ด้วยลายมือแล้วแปลงเป็นตัวพิมพ์ด้วย Selection mode เหมือนเดิม และใช้ Text mode เขียนข้อความว่า ROCK!! ปรับขนาดขึ้นมาเป็น 60 เปลี่ยนฟอนท์เป็น Roboto condense และสีชมพู
เป็นอันเรียบร้อย และต้องทำให้เสร็จภายใน 5 นาที
อ่านกติกาดูแล้วหินมากเลยนะครับ
ใช่ครับ ที่จริงคือเห็นสีหน้าผู้ท้าชิงท่านอื่นๆ ก็ท้อไปแล้ว คือสายตาทั่นมุ่งมั่นกันทั้งนั้น เลยกะว่ากูขอ Chromecast ก็ยังดี ตอนรอบแรกนี่ทำเวลาไป 3 นาทีกว่าๆ แต่รอบชิงดันเสร็จในเวลาไม่ถึง 3 นาที โอ้วพระเจ้าชัชชาติช่วยลูกแล้ว!
จะบอกว่าเก่ง
ครับ
ต้องตอบว่าไม่ใช่สิ
เก่งจริงๆ ครับ
ตื่นเต้นไหมครับ
มืองี้สั่นสุดๆ เลยครับ คืนก่อนหน้าการแข่งขันรอบชิงนี่ถึงกับนอนไม่หลับเลยเหอะ เพราะตอนนั่งซ้อมแล้วดันยิ่งซ้อมยิ่งทำเวลาแย่ลงเรื่อยๆ กะว่าเออ เอารางวัลรองก็ได้วะ แล้วทันใดนั้นก็ได้รับประโยคกระตุ้นกำลังใจจากภรรยาครับ… เมียก็บอกว่าเตงจะเอา Chromecast มาทำไมอีกอันวะ บ้านเราก็มีแล้วอันนึง (เขียนบล็อกไว้ แล้วเว็บ TechChrunch เอาภาพไปลงด้วย โกอินเตอร์สัสๆ) ก็เลยฮึดสู้ขึ้นมาครับ ตื่นแต่เช้าไปนั่งอ่านการ์ตูนรอที่สยามเลย ห้างเหิ้งยังไม่เปิด (เขาแข่งสิบโมงครึ่ง ไปถึงตั้งกะเก้าเศษๆ)
เข้าใจหัวอก #วงโย แล้วใช่ไหมครับ
ผมดีใจที่มีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับชาวลาดปลาเค้าครับ
คุณใช้มือถือตระกูลนี้ของค่ายนี้มากี่รุ่นแล้วครับ
มือถือเครื่องแรกของผมที่เป็นแอนดรอยด์คือ hTC Legend ครับ ใช้มานานหลายปีจนพัง ก็เปลี่ยนเป็น Galaxy Note (ซื้อมา), Galaxy Note 2 (ประกวดชนะมา), Galaxy Note 8.0 (ซื้อให้เมีย), Galaxy Note 3 (ซื้อมา) และล่าสุดก็คือ Galaxy Note 3 รุ่น LTE ที่เพิ่งประกวดชนะมาวันนี้นี่แหละครับ
อ้าว แสดงว่าคุณเป็นสาวกซัมซ…
.
อ.. อ้าว แสดงว่าคุณเป็นสาวก Galaxy Note ตัวยงเลยน่ะสิ
ครับ ว่ากันตรงๆ ถ้าเกิดมันมีมือถือค่ายอื่นรุ่นอื่นที่มันเขียนสนุกแบบนี้ผมก็ซื้อครับ แต่เผอิญมันมีของซัมซุงเจ้าเดียว
ของวาคอมไง เห็นออกแท็บเล็ตเมพ วาคอมเขาเป็นต้นตำรับปากกาตัวนี้เลยนี่นา
ดูราคาแล้วมึงจะหุบปากครับ
แล้วโน้ตตัวใหญ่ 12.2 นิ้วล่ะครับ นั่นก็เฉียดสามหมื่น แต่เห็นคุณกรี๊ดมาก
กรี๊ดและได้แต่มองครับ มันแพงไปจริงๆ แต่เคยลองเอามาวาดรูปเล่นแล้วน้ำตาไหลเลยครับ
ปวดขี้
ครับ
มือถือใหม่ที่ได้มาคุณจะเอาไปทำอะไรครับ เอาไปบริจาคองค์กรการกุศล ถวายเงินทำบุญ หรืออุทิศให้..
ใช้เองครับ เนี่ยเพิ่งไปศูนย์ทรูมูฟมา จะขอซิม 4G ซะหน่อย ปรากฏว่าหมดเกลี้ยง
สุดท้ายนี้มีอะไรอยากจะฝากขอบพระคุณทาง Droidsans.com ผู้จัดกิจกรรมนี้, คุณกิมผู้ควบหน้าที่ดำเนินการแข่งขันและตากล้องและพิธีกรภาคสนามและคนวิ่งไปซื้อมือถือถึงมาบุญครอง, และซัมซุงที่เป็นเหยื่อคุณมาตลอดไหมครับ
คราวหน้าเกิดโน้ต 4 หรือ 5 ออกมาแล้วมีแข่งชิงกันอีก ผมจะโดนแบนไหมครับ
…
และทั้งหมดนี้คือการสัมภาษณ์ผู้ชนะการแข่งขันชิงรางวัล Galaxy Note 3 ของเราครับ ที่ลงทุนถามเองตอบเอง มโนเองอย่างหน้าด้านที่สุดนี่คือจะอวดว่าผมได้รางวัลมาโว้ย อิจฉาล่ะสิๆๆๆ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
จบครับ
March 28, 2014
แจกคาถาไว้หนวดครับ ท่องได้ตามนี้ปั๊บหนวดงอกเลย
วันก่อนเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าถ้าไว้หนวดแล้วจะหน้าตาเป็นไง ดังที่ทำเป็นการ์ตูนสี่ช่องไว้ จนมาวันนี้รู้แล้วว่ามันเกะกะมาก เวลากินนมงี้เลอะไปหมดเหมือนเด็กสกปรกๆ เลยเข้าใจแล้ว โกนออกดีกว่า
ก่อนโกนก็เลยทำไอ้นี่เล่นๆ
ป.ล.เสียงนิทานเข้ามาในคลิป ช่างมัน
ป.อ.แถมนิทานยังมาเขย่าขาตั้งกล้องเล่นอีก ภาพเลยเคลื่อน ซึ่งก็… ช่างมัน
March 25, 2014
คิดถึงวิเคราะห์แยกแยะ
บล็อกตอนนี้นี่คงเป็นเอฟเฟกต์จากคิดถึงวิทยาที่เพิ่งดูเมื่อเย็น รู้สึกว่าต้องจดอะไรไว้หน่อย
ตั้งกะมีลูกนี่ ปีนึงจะมีโอกาสได้ดูหนังแค่ไม่กี่เรื่อง เราจึงเลือกเรื่องที่ต้องระเบิดภูเขาเผากระท่อมสุดๆ เอาให้แบบค่าตั๋วเราไปจุนเจือค่าทำเอฟเฟกต์ของเขา หรือไม่ก็ต้องเป็นเรื่องที่สนุกจริงๆ แบบที่คาด (และนั่นทำให้ไม่เคยดูหนังแล้วผิดหวังเลยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา)
นี่ยิ่งได้ข่าวมาเลาๆ ว่าคิดถึงวิทยานั้นเป็นหนังแนวฟีลกู๊ด เห็นลายเซ็น GTH ชัดเจ๊นชัดเจน (คืออีคนเขียนนี่ออกจะวิจารณ์เชิงเหยียดๆ นิดนึงน่ะนะ) แต่ก็ช่างแม่งไง เราคาดหวังอยู่แล้วว่าถ้าเห็นตัวอย่างแบบนี้ การประชาสัมพันธ์แนวนี้ และคนเห็นยี่ห้อ GTH แล้วเบะปากแบบนี้ ข้าพเจ้าและเมียจะได้ดูหนังแบบที่เขาว่าอย่างแน่นอน ซึ่งดีไง อยากดูแนวนี้ 55555
อีกทั้งเมียวางแผนฝากลูกไว้กับแม่ยายเรียบร้อยแล้ว เราจึงไปดูกัน และฟินกลับมาบ้านทั้งคู่
ไม่รู้เมียจะฟินกับอะไร ภาพสวย เรื่องซึ้ง นางเอกเก่ง โรงเรียนเจ๋ง ฯลฯ (แต่พระเอกหล่อนี่ไม่ได้ยินจากปากนะ แสดงว่าอีบี้นี่เฉยๆ จริงๆ) แต่ผมฟินกับสามอย่าง ได้แก่ 1.น้ำเขื่อน 2.สมุดบันทึก 3.สะดือพลอย
1.น้ำเขื่อน
ผมเป็นมนุษย์น้ำเขื่อน ผมยินดีรับคำชวน และยินดีชวนญาติมิตรทุกท่าน ไปเที่ยวเขื่อน เที่ยวแพกัน เพราะผมถูกชะตากับมันมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ให้โดดน้ำแช่น้ำเล่นสามวันติดกันก็ยังไหว (ไม่ใช่แบบขึ้นอืดนะ) นั่นเป็นเพราะค้นพบตัวเองแล้วว่าเราเลิฟเขื่อนมาก แต่ที่หลังๆ ไม่ค่อยได้โดด แม้กระทั่งครั้งล่าสุดที่เพิ่งไปเขื่อนวชิราลงกรณ์มากับเพื่อนแก๊งโรงเรียนมัธยม ก็พบว่าเราใช้ชีวิตอยู่ในน้ำไม่นานเลย นั่นเพราะเพื่อนแม่งไม่เน้นลงน้ำกัน ไอ้เราจะลงอยู่คนเดียวก็สงสารเมียต้องคอยจับลูกสาว เลยไม่ได้แช่นานอย่างที่ใจหวัง
เมื่อไหร่แก๊งฟร้อนจะนัดมีตติ้งเขื่อนกันอีกวะ เดี๋ยวเมียตูท้องโตกว่านี้แล้วไปยากนะโว้ย
.
2.สมุดบันทึก
กลับมาบ้านรีบโดดเข้าหาสมุดบันทึก และเขียนเล่านั่นนี่อีกทีเหมือนอย่างที่ตั้งใจว่าจะทำเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ทำ (บันทึกครั้งล่าสุดคือช่วงสิ้นเดือนมกราคม!) แต่คราวนี้ต่างจากคราวก่อนตรงที่พอเขียนบันทึกทีไรก็จะเห็นหน้าพลอยยิ้ม มีฉากหลังเป็นภูเขา เมฆหมอกสวยงาม (ทั้งที่จริงบ้านอยู่ลาดปลาเค้า) จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเนื้อหาง่ายๆ กากๆ แบบที่ตัวละครในหนังเขียนเล่าลงในสมุดนั่นมันมีค่ามาก ยิ่งดูยิ่งคิดถึงการเขียนและย้อนกลับมาอ่าน จนอยากโดดออกจากโรงมาเขียนบันทึกสักห้านาที แล้วค่อยกลับเข้าไปดูใหม่ (ให้พนักงาน pause ไว้ก่อน) นี่คือขอบคุณทุกท่านที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำยังไง แต่เห็นเลยว่าขับพลังของการเขียนบันทึกด้วยปากกากระดาษออกมาได้อย่างสุดติ่งจริงๆ เลยพี่เอ๊ย
และจุดเปลี่ยนที่สำคัญกว่านั้นคือเรามีลูกที่กำลังเข้าสู่วัยที่มีเรื่องให้ฮาทุกวัน มีเรื่องที่อยากเล่าให้ตัวเองและลูกในอนาคตอ่านมากมาย แบบที่ไม่จำเป็นต้องเอามาแชร์ เอามาโซเชียลให้คนอื่นอ่าน (ซึ่งบางทีมันคือการสร้างภาพไง มันไม่เป็นเรา) เลยสัญญาครั้งที่ร้อยว่าคราวนี้เราจะเขียนบันทึกออฟไลน์ไว้อ่านเองอย่างรื่นเริงอีกครั้ง และคงเป็นการสัญญาครั้งแรกว่าต่อไปจะสะสมอะไรที่เอาไว้อ่านเองเยอะๆ จึงน่าจะผละออกจากการเสพติดโลกออนไลน์ให้ได้ในระดับหนึ่ง
แถมสมุดบันทึกนี่ก็ดันเป็นสิ่งที่ตัดขาดความเป็นพิธีรีตรองของการเขียนบล็อก หรือแม้แต่การทวีตก็ยังสู้ไม่ได้ คือมึงเขียนๆ ไป แล้วอยากวาดขึ้นมา เอ้าวาดสิ กลัวอะไร ปากกาด้ามเดิมนั่นแหละ วาดเลย! อยากเปลี่ยนขนาดฟอนต์เหรอ มึงก็เขียนตัวโตๆ สิวะ ง่ายยังกะแมวน้ำ
ดังนั้นตอนนี้ไฟในการเขียนบันทึกของเราจึงเต็มปรี่ นี่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเขียนทุกวัน 5555
.
3.สะดือพลอย
ไม่เล่าละกัน ที่จริงเห็นความวับๆ แวมๆ ของเพื่อนนางเอกอีกอย่างประปราย แค่นั้นก็พอแล้ว แฮก แฮก แฮก
.
ป.ล. บล็อกเมื่อวานประทับใจคอมเมนต์มาก ขอจับภาพไว้เลย
March 24, 2014
ไากี้ดหาปทอผวปสบหสสกนเลบไนฟหกฟห
พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เขียนบล็อกมาครบสิบวันแล้วก็สะดุ้ง แล้วลงมือพิมพ์เลยเหมือนเดิม 5555
ไม่มีอะไรนอกจากจะสำรวจตัวเองว่าทำไมถึงเลือกทวีต (หรือบางครั้งก็ไปแชร์บนเฟซบุ๊ก) มากกว่าการเขียนบล็อก
ไอ้ที่นึกออกก็คือ บล็อกมันมี “ภาพจำ” บางอย่างที่แฝงมากับสถานะของมัน เหมือนว่าถ้าเขียนบล็อกนี่จะต้องกลั้นหายใจไว้หน่อยนึงตอนพิมพ์ แล้วก็ตรวจตราว่ามีคำสะกดเผียดไหมก่อนที่จะกด Publish ซึ่งเป็นปุ่มที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การที่จะกดปุ่มนั้นคือมันแข็งมาก กดยาก ไม่นิ่มนิ้วเหมือนปุ่มทวีต หรือปุ่มโพสต์ ที่นึกอยากจะพ่นอะไรก็พ่นลงไปเลย ง่ายจะตาย
เออ ความง่ายนั่นแหละสรุป
และในบางที ความเวิ่นเว้อแบบไม่ต้องเกรงใจกันนี่ก็ไม่ค่อยมีในวัฒนธรรมบล็อก (หมายถึง พ.ศ.นี้ ที่คนเลือกกวาดสายตาผ่านไทม์ไลน์มากกว่าอ่านเรียงความยาวๆ) ไอ้การเขียนบล็อกส่วนตัวทีนึงนี่ยังกะขึ้นจดหมายราชการ คือต้องมีจังหวะ มีพิธี มีนั่นนี่ซึ่งเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ายุคสมัยแห่งการโพสต์ง่ายๆ มันพังทลายประเพณีนี้ลงไปแล้วอย่างราบคาบ
พอมาดูบล็อกตัวเองก็เลยมีการนึกถึงไอ้ความเปลี่ยนแปลงอะไรแบบนั้นอยู่บ่อยๆ เพราะเขียนมาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ยุคเกรียน ยันยุคพยายามตลก จนยุคสิ้นสุดของบล็อก 5555 ก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้สนทนากับตัวเองผ่านสมุดบันทึกที่นับวันจะส่วนตัวขึ้นเรื่อยๆ (เพราะคนอ่านยาวๆ น้อยลง ซึ่งดีเลย กูชอบ)
นึกได้อีกอย่างว่าพอถึงตอนนี้ บล็อกนั้นกลับกลายเป็น “แหล่งข้อมูล” (ที่พ่วงด้วยคำว่าอ้างอิง อาจจะแข็งแรงมีหลักฐาน มีลิงก์ชัด เหมาะกับการเอาไปอ้างอิง ส่วนถูกหรือผิดนั่นอีกเรื่อง) ไปมากกว่า “สถานที่แสดงความคิดเห็น” แบบยุคที่มันเคยรุ่งเรืองเสียแล้ว ไม่ได้อะไรมาก ก็แค่เหล่าความเห็นทั้งหลายมันถูกสื่อผ่านแหล่งอื่นๆ ที่ได้รับการคอมเมนต์ตอบแบบ(เกือบ)เรียลไทม์ หรือโดนรีทวีต โดนกดไลก์แบบทันอกทันใจไปแล้ว
นี่แค่ผ่านไปแค่คืนเดียว การจะมาโพสต์อะไรเกี่ยวกับคดีดราม่าวงโยฯ (เนียนใส่ลิงก์โฆษณาการ์ตูน) ที่สถานที่แห่งนี้ ก็ช้าไปเสียแล้ว ยกเว้นว่าจะเป็นข้อมูลใหม่ที่แข็งแรง (นั่นไง ข้อมูลอีกแล้ว) ซึ่งนั่นก็แปลว่าการโผล่ขึ้นของโพสต์นี้ จะต้องดูบึกบึนและมีค่าพอที่จะทำให้คนอ่านจนจบ นั่นยิ่งทำให้ปุ่ม Publish แข็งขึ้นทุกวัน ซึ่งนั่นแม่งไม่ดีเลยในสายตาของคาบเจ้า ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่าช่วงปีสองปีที่ผ่านมาบล็อกนี้ได้ทำลายความเป็นแหล่งข้อมูลหรือสาระหรืออะไรที่มันดูมีค่าและแข็งเป๊กนั้นลงหมด นั่นทำให้เขียนอะไรๆ สนุกขึ้นเยอะ แต่จะมาบังคับพฤติกรรมคนอ่านให้อ่านจนถึงบรรทัดนี้นั่นก็ไม่ใช่เรื่อง (ใครอ่านถึงประโยคนี้กรุณาเขียนคอมเมนต์ว่า “จอห์น” ทีครับ)
จับใจความได้ไหมว่าทั้งหมดนี่จะบ่นอะไรของมึง 555555 จบ
March 15, 2014
ฝันบ้า
เพิ่งเคยฝันแบบที่ทำให้ตกใจตื่นมาฉี่เสร็จแล้วนั่งทบทวนเขียนบล็อกบนที่นอนมืดๆ ลูกเมียหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
เปล่า ไม่ใช่ฝันแฟนตาซีโลกแตกหรือสัตว์ประหลาดบุกโลก ซอมบี้ผีกัดเพื่อนฝูงตายทีละคนแล้วเราหนีเอาตัวรอดอะไรแบบนั้นหรอก อันนั้นยังฝันอยู่บ่อยๆ และสนุกดีทุกครั้งเวลาตื่นมานึก
แต่เมื่อกี้นี่คือฝันว่าเราไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความวุ่นวายของกิจการโทรทัศน์รัฐวิสาหกิจช่องนึง (ไม่รู้ว่าช่องอะไร) ซึ่งบอร์ดบริการกำลังวุ่นวายสุดๆ กับภาวะขาดทุนถึงขั้นล้มละลาย เลขา บัญชี เสมียน วิ่งกันให้วุ่น เพราะจะต้องเตรียมแถลงการณ์ประชุมเป็นการภายในเพื่อชี้แจงตัวเลขภาวะขาดทุนต่อสหภาพแรงงานของตัวองค์กรเองให้ได้ ว่าตกลงกิจการที่กำลังจะเจ๊งนี่เกิดจากอะไร ทำไมค่าใช้จ่ายถึงไม่สมเหตุสมผล มีการทุจริตตรงไหนหรือเปล่า
ผมนั่งอยู่ด้วยในห้องประชุมของเลขา (ไม่ใช่เลขาสวยๆ เอ็กซ์ๆ ใส่แว่นนะ นี่คือเป็นลุงๆ เลย ฝันแบบเรียล ไม่มีอะไรโอตาคุ) เห็นข้อชี้แจงอยู่ประเด็นนึงในเอกสารการประชุม นั่นคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการออกกอง และค่าเวลาทำงานของพนักงานกะดึก ที่ทางองค์กรเองดันมีกติกาอยู่ว่า ถ้าเป็นงานกะกลางคืน จะมีค่าล่วงเวลาเป็นสวัสดิการให้กับบุตรหลานพนักงานด้วย (ประมาณว่าเป็นนโยบายต่อเนื่องที่บอร์ดบริหารชุดก่อนๆ ได้กำหนดกติกาไว้ ในฝันผมเชื่อว่าทางสหภาพแรงงานขององค์กรนี้แข็งแรงมากขนาดที่ว่าบังคับให้ออกค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนี้ได้) และตัวเลขนี้นับรวมๆ ดันเยอะมากจนมีส่วนทำให้กิจการขาดทุนหนัก
และอีกไม่กี่นาทีการแถลงการณ์เป็นการภายในองค์กรก็จะเกิดขึ้น ด้านหน้าอาคารมีผู้จัดรายการ (ซึ่งเป็นเอกชนรายย่อย) ถือเอกสารมารอฟังและประท้วง ทุกคนมีสีหน้าโกรธ บางคนน้ำตานองหน้า บางคนผมคุ้นๆ ว่าเคยเห็นในทีวีนอกความฝันนี้ และบางคนกำลังให้สัมภาษณ์สื่ออื่นๆ ที่กำลังเกาะประเด็นร้อนนี้ เพราะการเจ๊งโดยฉับพลันขององค์กรขนาดยักษ์ระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย
…
เป็นไงครับ ฝันบ้าและไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับชีวิตเราเลยได้ขนาดนี้ และรายละเอียด บรรยากาศทุกอย่างมันจริงจังได้ผิดกับวิถีชีวิตเราขนาดนี้ (เป็นคนที่ฝันแล้วสมจริงตลอด แม้ฝันว่าโลกแตกหรือสัตว์ประหลาดบุกโลกก็จะสมจริงเสมอแบบนี้แหละ)
คือมันบ้าจนสงสัยจริงๆ ว่าต้องเกี่ยวอะไรกับของที่กินไปตอนเย็นหรือเปล่า -_-
มีประเด็นที่น่าจะทำให้เก็บเอาไปประกอบเรื่องเป็นความฝันอยู่บ้างคือ
- เมื่อคืนไปงานแต่งงานที่โรงแรมพะเนิน พูลแมน รางน้ำ พอเลิกงานแล้วเราเดินลงไปที่จอดรถใต้ดินคนเดียว ส่วนลูกเมียรออยู่ที่ล็อบบี้ ตอนเดินกำลังเข้าไปในลิฟต์ก็สวนกับทีมงานและดาราที่มาในงานอะไรสักอย่างพอดี (ถึงว่าหาที่จอดรถโคตรยาก) ไม่รู้ดาราคนนั้นเป็นใครแต่ตึงมาก รัศมีเปล่งประกายสุดๆ อารมณ์นุ่นวรนุชได้ ส่วนข้างหลังเป็นทีมงานเดินตามกันมา
- กลับมาบ้านเห็นโพสต์ของแชมป์ @tpagon บอกว่าได้รับรางวัลในงานประกาศผลโทรทัศน์ทองคำ เอ๊ะ อ้อ คืองานที่จัดที่นี่เองงงง ยินดีด้วยๆๆ
- ในหมู่บ้านมีดราม่านิดหน่อยเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าส่วนกลางประจำปี ว่าเก็บแพงไป (ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้านชุดแรกสุดด้วย) ซึ่งดันเป็นประเด็นขึ้นมาเพราะคนที่ไม่พอใจนี่คือไม่ได้เข้าประชุมใหญ่สามัญในคราวก่อนเพื่อโหวตว่าจะจัดเก็บที่ตารางวาละกี่บาท
อืม แล้วดีเทลในฝันที่เหลือนี่คือแมวน้ำอัลไล
จบ นอนต่อ ตีห้ากว่า
March 14, 2014
เมื่อข้าพเจ้าไว้หนวด
คือไม่เคยไว้หนวดเลยน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกะมีลูกสาวอะไรหรอก ปรากฏว่าแม่งรำคาญมาก เหมือนกินข้าวแล้วมีเศษข้าวติดอยู่ริมฝีปากตลอดเวลา กะว่าถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะหั่นทิ้งละ (เอ๊ะหรือหั่นทิ้งข้างเดียวดีวะ เผื่อเท่)
March 11, 2014
สมมติว่ามีอะไรแบบนี้จะช่วยให้หาเครื่องบินเจอไหมครับ
นี่นึกได้เลยบล็อกไว้นะครับ อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระอีกเรื่องที่อ่านผ่านๆ ก็ได้
พอดีได้อ่านข้อความจากสักที่ บอกว่าเทคโนโลยีและกำลังการค้นหาเครื่องบินที่สูญหายไปในตอนนี้มันงมเข็มในมหาสมุทรสุดๆ เปรียบเหมือนปล่อยหนูแฮมสเตอร์เข้าไปในสนามฟุตบอลเพื่อหาเป้าหมาย (เห็นภาพชัดดี ไม่รู้สเกลจริงจะมากน้อยแค่ไหน) เลยนึกได้ว่า เออ เทคโนโลยีการระบุพิกัดเพื่อส่งสัญญาณ เพื่อค้นหา ฯลฯ ในโลกนี้มันอาจจะยังมีข้อจำกัด แต่เทคโนโลยีด้านอื่น เช่นอินเทอร์เน็ต มันน่าจะช่วยอะไรได้
ที่สำคัญคือเพิ่งฟังข่าวตอนขับรถ เห็นว่าทางการจีนจะให้ดาวเทียมกำลังสูงของตัวเองตั้งหลายดวง เอามาใช้ในการค้นหา เลยจดไอเดียนี้ขึ้นมาแปะในบล็อก
ป.ล.
ผมไม่ได้ตามข่าวแบบเกาะติดเลยไม่ทราบว่าตอนนี้เขาไปถึงไหน เพราะอยู่ดีๆ ก็มีข่าวน้องโฟกัสมาแทรก…
ป.อ.
เขียนเพิ่มนิดหน่อยหลังจากคุยกับหลายๆ ท่านในทวิตเตอร์ เห็นว่าตอนนี้มีโครงการระดมอาสาสมัครแล้ว (เย้) แต่คีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ “ถ้าใช้พลังจากหน้าแรกของกูเกิล” หรือเฟซบุ๊ก หรือ ฯลฯ ล่ะ! (ทำไมต้องไปหวังพึ่งเอกชนก็ไม่รู้เนอะ)
March 3, 2014
ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ
(กดดูภาพเต็มได้นะ)
นี่คือสไตล์การบรีฟงานของ @TuckTua pic.twitter.com/dGTfVjQGcl
— 囧 (@iannnnn) March 4, 2014
นี่คือสไตล์อภิชาติผัวแบบ @iannnnn pic.twitter.com/W9L0YUMm6P
— ตั๊กถั่ว (@TuckTua) March 4, 2014