iannnnn's Blog, page 23

June 29, 2013

P.O.P Era

P.O.P


กลับถึงบ้านจากคอนเสิร์ต P.O.P – Party of the Bakerian สดๆ เลยบันทึกไว้หน่อย ก่อนจะหายฟิน


P.O.P


คือฟินครับ ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแล้วฟินมานาน นานจนมาพินิจดูแล้ว ก็พบว่าผมก็เป็นติ่งเบเกอรี่กะเขาเหมือนกันนี่หว่า


P.O.P


ต้องบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ มากๆๆๆๆ ที่คนวัยเดียวกัน โตมาด้วยกันกับค่ายเพลงค่ายนี้จะต้องนิยมชมชอบอะไรสักอย่าง ไม่มากก็น้อยแหละ เพราะมันคือประวัติศาสตร์หน้าที่มีคุณภาพของวงการเพลงไทยจริงๆ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ตอนมัธยม เรียนโรงเรียนต่างจังหวัด แต่มีโอกาสได้รู้จักและติดตามฟัง เพราะเหตุผลที่ว่าใครในยุคนั้นที่ฟังเบเกอรี่แล้วจะเท่ จะดูดี สาวชอบ (ไม่ได้นึกเลยว่ามีปัจจัยอื่นมากมายนะที่สาวเขาไม่สนมึง)



P.O.P


จนเข้ามหาลัย ค่ายนี้ากที่เคยอินดี้ๆ ก็เริ่มกลายเป็นกระแสหลัก หลักจนขนาดที่บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ เหมือนตอนนั้นใครถืออะเดย์ ก็ถือว่ามึงเป็นพวก main stream ไปแล้ว มึงไม่อินดี้แล้ว (ทั้งที่ บ.ก.ยังเป็นคนแรกอยู่เลยนะ! ศิลปากรแม่งอยู่ยากขิงๆ) ดังนั้นการฟังเบเกอรี่ก็ไม่ได้เท่อะไร แต่ให้รู้กันไว้ว่ายามใดที่มีการเกากีต้าร์ หรือเล่นดนตรีที่ไหน ก็จะได้ยินเพลงของค่ายนี้ซึ่งอยู่ในช่วงบูมสุดขีดทุกครั้ง


DOJO


พอบูมสุดขีดก็เริ่มมีนั่นนี่งอกออกมา มีหนังสือ มีรายการทีวี และมีค่ายโดโจ!



โดโจยุคนั้นก็คือกามิกาเซ่ในยุคนี้ เอาล่ะ เรื่องคุณภาพงานหรือรสนิยมในการฟังเพลงไม่ต้องไปพูดถึงก็ได้ แต่ให้รู้ว่าวัยรุ่นยุคเราๆ ที่ทำเป็นเก๊ก เบเกอรี่แม่งโหล อะไรแบบนี้ อยู่ดีๆ ก็มาบ้าคลั่งสาวน้อยขาวหมวยกันจนทิ้งฟอร์มอินดี้กันไปหมด ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น (อีกแล้ว)


DOJOCity


อาจจะเป็นวาสนาหรือประการใดก็มิอาจทราบได้ ตอนปีสอง ผมได้ไปช่วยงานสโม (มหาลัยอื่นอาจเรียกองค์การนิสิต นักศึกษาก็ว่าไป แต่ศิลปากรมันเป็นสโม) ในฝ่ายเปิดเพลงตอนเย็นๆ ให้คนเล่นกีฬาในสนามบาสได้เพลิดเพลินเจริญใจ จนทำไปทำมาเลยเป็นแผนกที่คอยไปตามค่ายเพลงต่างๆ เพื่อขอแผ่นมาเปิด เลยได้สนิทกับพี่ๆ ที่ทำงานในฝ่ายแจกแผ่น แจกโปสเตอร์ ของพรีเมียมอะไรแบบนี้ เลยติ่งกันไปใหญ่


Dojocity


แล้วเบเกอรี่ยุคนั้นกะสโมศิลปากรก็มีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น คงเพราะเราไปประจบเขาบ่อย และรู้ว่ามหาลัยนี้มันคือเป้าหมายโดยตรงเลยละมั้ง 555 ต่อมาพอผมทำงานสโมเต็มตัว ก็เลยได้อยู่หลังเวทีคอนเสิร์ตทุกครั้ง


P.O.P


ได้เห็นพี่น้อยแกเต้นมันส์จัด โดดจนเป้ากางเกงขาด แล้วขอโทษขอโพย วิ่งมาหลังเวที ถอดเปลี่ยนต่อหน้า


P.O.P


ได้นั่งข้างภรรยา (ตอนนั้นเป็นแฟนเฉยๆ ทำสโมมหาลัยด้วยกัน) เป็นคนคุมคิวศิลปินตอนคอนเสิร์ตใหญ่ช่วงรับน้อง แล้วไม่รู้ว่าคนไหนคือนภ พรชำนิ แล้วพี่นภแกเดินมาพอดี ก็บอกอายๆ ว่า “พี่เองครับน้อง” (คือศิลปินค่ายนี้ในยุคนั้นจะหน้าเมือกๆ ทำเพลงอยู่เบื้องหลัง ไม่ค่อยได้ออกอากาศเท่าไหร่ การเจอตัวจริงแต่ละครั้งจึงเจ็บปวดใจมาก โห อีลุงเนี่ยนะที่ร้องเพลงโคตรเพราะที่ฟังมาตลอดงี้)


P.O.P


ได้ดูวงใหม่ชื่อ Groove Riders มาเปิดอัลบั้มแนวดิสโก้กลางสนามบาสเล็กๆ ที่คนเบียดกันแน่น มองจากหลังเวทีก็รู้ว่า ถึงวงนี้จะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่ตอนนั้นเชื่อว่าทุกคนน่าจะเดาออกว่าต่อไปวงนี้ต้องสุดยิดแน่ๆ


P.O.P


และประสบการณ์มากมายที่ทำให้รู้ว่า เออว่ะ ในชีวิตวัยรุ่นของเรามีเบเกอรี่เคยผ่านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเลยนะ ถึงจะไม่เคยได้ดูคอนเสิร์ตใหญ่ๆ แบบเสียเงิน (เพราะไม่มีเงิน) แต่ก็ได้อยู่เบื้องหลังและดูอะไรแบบนี้ ก็ถือว่าฟินไปคนละแบบ


P.O.P


จนเบเกอรี่ปิดตัวลง (แน่นอนว่าคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปดู) ตำนานบทใหม่ๆ ของวงการดนตรีก็ถูกเล่าขาน ขับเคลื่อนกันต่อไป


P.O.P


จนมารู้ว่าตัวเองแก่ก็เมื่อโมนา น้องเมียอายุ 16 ที่ไปด้วยกัน และเป็นพวกที่โคตรจะฟังเพลงแนวคลื่นแฟตน่ะนะ แต่ขอโทษ มันไม่รู้จักเพลงโปรโมตๆ ในอัลบั้มก่อนหน้าของ P.O.P เลย!!! (แม้กระทั่งเพลง ไม่มี, คนที่เดินผ่าน, ยอม, อยากหลับตางี้ ไม่รู้จักได้ไง!)


P.O.P


เอาเข้าจริงคือ และไม่รู้จักเพลงส่วนใหญ่ หรือศิลปินในยุคเบเกอรี่ครองโลกด้วยครับ อยากจะกรี๊ด นี่คือเราแก่กันจริงๆ แล้วสินะ (ขนาดชื่อบล็อกตอนนี้ เชื่อว่าลูกๆ หลานๆ ก็คงไม่รู้หรอกว่ามันเป็นชื่ออัลบั้มของพีโอพีนะ)


P.O.P


เอาน่า อย่างน้อยคอนเสิร์ตนี้ก็ทำให้คนที่รู้จัก เป็นติ่ง P.O.P และเบเกอรี่มาก่อน ได้พบปะกับน้องๆ เด็กๆ ที่โตมากับยูทูบและเพลงเกาหลี ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันว่าเฮ้ย เมื่อก่อนเพลงบ้านเราแม่งเป็นงี้นะ มันอวดได้นะเว้ย


P.O.P


โดยเฉพาะคุณป้ารัดเกล้า โมนาพอจะเคยได้ยินชื่อในฐานะนักแสดงละคร แต่ไม่รู้ว่าเป็นนักร้องด้วย พอบอกไปว่าคือคนเดียวกะที่เป็นเจ้าของเสียงประกาศชื่อสถานีในบีทีเอส (“สถานีต่อไป สยาม”) ก็เลยอ๋อ


P.O.P


และกรี๊ดขาดใจเมื่อเห็นการแสดงอันสุดยอด สุดยอด โคตรพ่อโคตรแม่สุดยอดของเจ๊แกบนเวที (เพลง “สองใจ” น่ะครับ) ไม่ใช่แค่โชว์พลังเสียงนะ แต่นี่มีการแสดงแบบที่เห็นแล้วผมกราบจริงๆ (คือยกมือไหว้แล้วก้มหัวลงไปเยอะๆ กลางคอนเสิร์ตเลย คือกราบจริงๆ ไม่ได้แค่พิมพ์ว่ากราบ)


P.O.P


หลังจากนั้น นานๆ ทีผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป คือทีแรกกะว่าจะดูเงียบๆ เสพเงียบๆ ไม่โซเชียล แต่เห็นแล้วแบบ เหี้ย กูต้องอวดแล้ว เหี้ยยยยย แบบ โอ๊ย


P.O.P


ในคอนเสิร์ตวันนี้ยังมีอีกสารพัดความประทับใจจากพีโอพีเอง และจากแขกรับเชิญยกค่ายจากเบเกอรี่ คือพอจะแบ่งสัดส่วนของพีโอพีและชาวเบเกอรี่ได้ครึ่งๆ พอดี อันที่จริงสมาชิกพีโอพีก็คืออยู่เบื้องหลังในแต่ละตำนานของเบเกอรี่อยู่แล้ว เวลาเชิญแขกแต่ละรายเลยเล่นแจมร้องแจมกันอย่างกลมกลืนและอิ่มเอม เรียกว่าใครที่โตมากับเบเกอรี่ เจอโชว์คราวนี้เข้าไปคงหายคิดถึง ก็ฟินมากๆ น่ะครับ ถือว่าประทับใจที่สุดตั้งแต่ดูคอนเสิร์ตในสถานที่จัดงานสำเร็จรูปแบบนี้มาเลย (ถ้าเป็นเอาต์ดอร์ยังยกให้ “มันใหญ่มาก” ครั้งแรก เพราะเคยไปครั้งเดียว หลังจากนั้นได้ยินว่าดราม่าเยอะจัง)


P.O.P


และที่ต้องชื่นชมอย่างสุดใจขาดดิ้น คือ การออกแบบแสงสีและระบบความอลังการบนเวทีครับ ดูมาหลายๆ งาน ก็ไม่ได้หวังอะไรว่าเวทีจะดีไซน์ให้เท่ คือไม่ต้องสนก็ได้ แต่พอมางานนี้ แม่งโคตรเท่ ทั้งโมชันกราฟิกและวิธีคิดเอฟเฟกต์สารพัดให้กับตัวเวที ที่สมบูรณ์แบบสุดๆ คือเลยมานึกได้ว่าเบเกอรี่ของแท้นั้น ไม่ใช่แค่เพลงเจ๋ง มันต้องมีรสนิยมด้านดีไซน์เทพโคตรๆ ด้วย และก็ร้องเหยดซะหลายครั้งตลอดงานเลย ถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่แค่ดูนั่นนี่บนเวทีก็เลือดพุ่งแล้ว


P.O.P


สรุปว่าประทับใจครับ ชื่นชมครับ ไม่รู้เขาจะอัดลงแผ่นไหม แต่พี่บอยพูดบนเวทีว่าจะไม่มีลงแผ่น คือเสียดายมากๆ ครับ ขนาดดูแล้วยังอยากจะดูอีกเลย


ป.ล.

ซื้อบัตรไว้โซนหน้าตั้งแต่วันแรกที่ขาย แต่พอถึงวันงาน นิทานเกิดไม่สบายพอดี เมียผมเลยต้องดูแล ทีแรกผมกะว่าจะขายต่อทิ้งไปเลย จะได้แคนเซิลมาดูลูกด้วยกัน (เห็นว่าบัตรผีราคาคูณสอง โหดสัสจริงๆ วงการนี้) แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ไม่ได้ขาย เลยพาน้องเมียไปดูแทน (ตังค์ก็ไม่ได้) เสียดายแทนโบว์จริงๆ นะเนี่ย จะแสดงท่าทางฟินมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวเกิดดราม่าครอบครัวฉิบ :05:

ป.อ.

เกลียดรถติดเส้นแจ้งวัฒนะ-เมืองทองมากๆๆ ติดระดับสามช้างยิ้มเลย


ป.ฮ.

ดูคอนเสิร์ตมาหลายที ไม่เคยเขียนบันทึกหลังดูเลย ขอบคุณ @buumoon ที่เป็นต้นแบบครับ (ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายในมือถือ พอดี Google+ มันดูดขึ้นไปเก็บให้เอง เลยเอามาเขียนลงบล็อกละกัน ต้นฉบับภาพอยู่ที่นี่)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 29, 2013 12:25

June 25, 2013

เชียงคลาน


เพิ่งไปเชียงคานมากับเพื่อนมัธยม ถ้ารวมลูกเมียของผมด้วยก็เป็น 10 ชีวิตพอดี


เป็น 10 ชีวิตที่กำลังพอดี พอดีในความหมายที่แปลว่า “พอดี” คือไปกับเพื่อนมัธยม (ไม่ใช่เพื่อนเก่า แต่เป็น “เพื่อนปัจจุบัน” ที่บอกไม่ได้เก่าเพราะว่าไม่ได้ขาดการติดต่อกันขนาดต้องนัดพบปะสังสรรค์กันแบบนานๆ ที แต่กลุ่มนี้คือเจอกันบ่อย จนเป็นเพื่อนปัจจุบัน) ที่คุ้นเคยกัน ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจอะไรกันนัก ถึงในช่วงหน้าโลว์ซีซัน ที่นักท่องเที่ยวสลิ่มจากกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมี จะมีก็แค่เรา กับคนอื่นๆ ที่มาไม่ตรงกับฤดูท่องเที่ยวสุดฮิต เหมือนเป็นสลิ่มหลงฤดู


หลงขนาดที่ว่าพอหันไปถามอีบิ๊ก หัวหน้าทริปนี้ แม่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชียงคานอยู่ตรงไหนของประเทศ และต้องนั่งรถนานขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งการสั่งเพื่อนให้ลางานวันจันทร์หนึ่งวัน เพื่อมาเที่ยว แต่ก็ไม่รู้ว่ามาแล้วจะได้เห็นอะไร หรือมีที่เที่ยวอะไร (คำตอบคือไม่มีไง)


ส่วนผมไม่ซีเรียสอะไรเลยสักอย่าง เพราะเชียงคานเป็นสถานที่ที่มาก็ได้ ไม่มาก็ได้ คิดภาพไว้ว่าคงเป็นอารมณ์เหมือนปาย ที่น่าจะมีอะไรๆ คล้ายเมืองเดิมที่มันน่ารักอยู่แล้ว แต่โดนคณะสลิ่มเมืองกรุงมาถล่มจนมันกลายเป็นจริตแบบกรุงเทพๆ ไป จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ภูมิต้านทานของสถานที่ว่ารับมือไหวแค่ไหนกับกรเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



ผมเคยเขียนเรื่องปายเอาไว้ในบล็อกนี้ (แต่ระบบเคยพังจนข้อมูลหายหมดแล้ว ช่างมัน) คราวนี้ก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากเดิม ที่คิดว่าถ้าเรามีสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ แนวชิวๆ แบบนี้ เราจะไม่อยากบอกใครเท่าไหร่ ไม่งั้นเกิดมันแมสขึ้นมา แบบปาย แบบอัมพวา แบบเชียงคาน หรือแม้แต่แบบสวนผึ้ง แบบดำเนินสะดวก แบบหัวหิน ฯลฯ


รับรองว่าเราจะไม่ได้เห็นบรรยากาศที่เราเคยหลงรักมัน แต่จะกลายเป็นบรรยากาศจำลองให้ชาวกรุงเทพฯ ที่มาเสพบรรยากาศประดิษฐ์แบบใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้กลายเป็นอัตลักษณ์เฟกๆ เหมือนๆ กันไปหมดทุกที่


เชียงคานก็คงเป็นแบบนั้น… ผมคิดไว้ตั้งแต่อ่านข่าวเห็นนักท่องเที่ยวเมืองกรุงมาถล่มที่นี่ในหน้าหนาวเมื่อสองสามปีก่อน


พอคาดหวังไว้ต่ำมาก การที่รถตู้ไปจอดลงตรงหน้าที่พัก และเราเดินไปถึงชานระเบียงที่พัก ซึ่งอยู่ติดฝั่งโขงพอดี จึงเป็นความรู้สึกที่ เออ เหนือความคาดหมาย


ดีเหลือเกินที่เรามาในช่วงเวลาที่ไม่ตรงเวลากับใคร เพราะตอนนี้กรุงเทพฯ ฝนตกทุกวัน แต่ที่นั่นไม่ (ที่จริงก็ฟ้าครึ้มๆ ทั้งวัน) ดังนั้นเชียงคานในส่วนถนนคนเดินที่ร่ำลือกัน เลยเงียบ สงบ และเหมือนเมืองท่องเที่ยวที่แต่ละบ้านแต่ละร้านก็ปิด ปรับปรุงซ่อมแซมต่อเติม (หรือประกาศขาย) ใเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูกาลถัดไป



เคยเจอบรรยากาศแบบที่ว่านี้มาแล้ว ตอนที่ไปเกาะลันตาเมื่อสักสิบปีก่อน เกาะลันตานั้นเงียบ สงบ เรียกว่าสงัดจะถูกกว่า โซนท่องเที่ยวที่มีแต่ภาษาอังกฤษนั้นปิดตาย เพราะเป็นหน้าโลว์ มีเพียงกลิ่นของสถานที่ท่องเที่ยวสุดคึกคักที่รอวันเปิดทำการอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน และถุงพลาสติกปลิวไปบนถนนนานๆ ครั้งเมื่อต้องลม


บรรยากาศในคืนวันอาทิตย์ที่เชียงคานในวันที่ผมเพิ่งไปมาแม่งเป็นแบบที่ว่าเลย เพียงแต่เปลี่ยนจากเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจฝรั่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจคนกรุงเทพฯ


แต่ได้บรรยากาศของความสงัดเหมือนกัน


โอเค เชียงคาน นายก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด ขอโทษที่มองนายเสื่อมไป อย่างอนนะ


ป.ล.

ที่พักผมมีดาดฟ้าชั้นสาม ที่ขึ้นไปยืนมองแม่น้ำโขงได้แบบพาโนรามมา มีช่วงค่ำๆ ขณะที่ลูกเมียหลับแล้ว ผมไปยืนเกาะระเบียงมองผืนน้ำและทิวทัศน์ฝั่งลาวยามราตรี (ที่ไร้แสงไฟและโคตรมืด) อยู่นิ่งๆ คนเดียว หันมามองนาฬิกาในโทรศัพท์ ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เออ ชิวสัส


ป.อ. (ยาวหน่อย) (มีรูปด้วย)

ยังรู้สึกชอบการแวะดูนั่นนี่ระหว่างทางเหมือนเดิม ถึงจะมีข้อจำกัดนิดนึงคือคนอื่นไม่ได้ชอบด้วย และเรามีลูก แต่ยังไม่ลืมภาพบรรยาากาศของสถานที่เจ๋งๆ ที่เคยค้นพบโดยบังเอิญ เช่นตอนปี 2549 ที่สุพรรณบุรี เคยไปงานแต่ง ขากลับเจอกองทัพเป็ดไล่ทุ่ง (ดูภาพ) จนต้องวิ่งลงไปกรี๊ด แหวกว่ายๆ และถ่ายคลิป (สมัยนั้นกล้องมันถ่ายได้ดีสุดแค่ 240p นะ) หรืออีกครั้งที่ไปเที่ยวสวนผึ้ง ขากลับหันไปเห็นลำธารข้างทาง สวยดี เลยจอดลงไปเดินดูกับภรรยา (ดูภาพ) ปรากฏว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศสุดเจ๋ง เจ๋งจนขออย่าให้มีใครมาเห็นและเอาไปทำรีสอร์ตเลยนะๆๆ ปล่อยให้มันอันซีนอยู่แบบนี้แหละ ชอบ รักเลย


ป.ฮ.

หยุดเที่ยวมาสองเดือนเพราะไปวุ่นกะอะไรอยู่ไม่รู้ ต่อไปนี้จะค่อยๆ เที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามปณิธานที่วางเอาไว้ รอก่อนนะ กาญจนบุรี ชัยนาท กำแพงเพชร อุดรธานี สกลนคร ชุมพร สุราษฎร์ และยะลา (อันสุดท้ายนี่เป็นโครงการยาวๆ รอให้เมียอนุญาตก่อน)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 25, 2013 08:59

June 22, 2013

เริ่มเริม

ผมเป็นเริมครับ

เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ ตอนนั้นใช้ชีวิตกินนอนอยู่ที่คณะซะมากกว่าหอพักของตัวเอง ที่มีไว้แค่เก็บของและเสื้อผ้า เวลาอยู่คณะก็ทำตัวสกปรกซกมกแบบเด็กถาปัดที่บ้านจนทั่วไปนี่แหละครับ ทำงานจนถึงตีสี่ตีห้า ตื่นมาก็ออกไปกินข้าวท่าช้าง ท่าพระจันทร์ตามเรื่องตามราว เวลาง่วงก็ล้มตัวลงนอนบนโต๊ะบ้าง ใต้โต๊ะบ้าง (พื้นสตูปูกระเบื้องเชียวนะ) ไม่เคยซีเรียสเลย เพราะใครๆ ในยุคนั้นเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น และรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็สุขสบายดี จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนมีสิวขึ้นมาเม็ดนึงตรงมุมปากล่างด้านขวา


ตอนนั้นก็เฉยๆ เพราะตัวเองเป็นสิวเต็มหน้าอยู่แล้ว (คือเป็นคนสกปรกน่ะครับ เจ๋งปะล่ะ) แต่ที่ต่างออกไปคือสิวนี่มันไม่ขุ่นแฮะ มันใส เหมือนตุ่มน้ำ และแสบแปลกๆ เหมือนเป็นแผลอยู่ ยิ่งสงสัยก็ยิ่งบีบ พอบีบมันก็แตกหน่อ กระจายตัวเป็นพุ่มไสว กินพื้นที่กว้างยาวประมาณเล็บนิ้วก้อย


คุณหมอที่อาศัยอยู่ในกูเกิลบอกผมว่า นี่แหละเริม


image


เอ้า เหี้ยแล้วไหมล่ะ เริมเลยเรอะ เริมเลยเรอะะะะะะ


ผมนึกภาพตามบอร์ดให้ความรู้ด้านสาธารณสุขตามโรงพยาบาล ที่ให้เกียรติจัดโรคเริมให้อยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คล้ายๆ หนองใน ซิฟิลิส หูดหงอนไก่อะไรเทือกนั้น พร้อมภาพประกอบสุดสยอง ที่เป็นกระเจี๊ยวมนุษย์ที่เป็นเริมระยะร้ายแรง หนุบหนับหยุบหยับฝีหนองพุพองแดงเถือกไปทั่วทั้งอวัยวะเพศ ใครนึกภาพไม่ออกผมว่าแค่ค้นกูเกิลอิมเมจด้วยคะว่าเริม รับรองภาพสุดคัลต์ที่ว่าน่าจะปรากฏให้เห็นนับร้อยพัน ดูไปกินข้าวไปรับรองอรรถรสมาเต็ม


อะไรทำให้เริมกลายเป็นโรคติดต่อที่น่ารังเกียจขนาดนี้กันนะ ในเมื่อคนที่เป็นเริมนั้นถือเป็นเหยื่อนะ คือโดนกระทำนะ ไม่ใช่เป็นโจรหรือซอมบี้นะ 囧


ไอ้ครั้นจะไปตั้งเพจทวงคืนสิทธิมนุษยเริม ก็มั่นใจว่าคนไทยหกสิบล้านคนแม่งไม่มีใครอยากจะไปกดไล้ให้มีชื่อตัวเองปรากฏอยู่ในนั้นเป็นแน่


แล้วใครล่ะที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติและช่วยปรับทัศนคตินี้ออกไปเสียที


ท่ามกลางความสิ้นหวังและแสงสปอตไลต์ที่ส่องลงมาเพียงลำพัง ผมก็ไปเจอป้ายข้อมูลจากโรงพยาบาลเอกชนที่จัดอาร์ตเวิร์กสะอาดๆ ไม่ดูอี๋แหวะ คงเพราะเขามองคนไข้ว่าเป็นลูกค้า และไม่ได้มาอย่างอนาถาอย่างที่พวกโครงการรณรงค์ต้านเอดส์แบบราชการๆ เขามองกัน


ทำให้สบายใจขึ้นมากครับ ว่าที่จริงแล้วเริมมันก็แค่คล้ายๆ โรคหวัดเหมือนกันนี่หว่า (ตรงไหน) ที่ใครเป็นก็ควรจะเสียเซ้วแค่นิดหน่อยกับร่างกายที่แสดงอาการป่วยออกมา รีบดูแลรักษาตัวเองให้หาย แล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข ไม่ใช่ถูกสังคมคว่ำบาตรเพียงเพราะการถูกประทับยี่ห้อ “โรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ” และพ่วงด้วยแท็กอัปมงคลมากมายให้หดหู่และเป็นปมด้อยในชีวิตเล่นๆ


ขอเพียงกำลังใจให้มนุษย์เริมทุกท่านได้มีพื้นที่เล็กๆ ไว้ยืนหยัดในสังคม เท่านี้ก็พอครับ กระซิกๆ


เข้าสาระกันสักนิด…


เริมนั้นเป็นโรคติดต่อที่มีตัวการคือเชื้อไวรัสตัวนึงที่ชื่อเฮอร์ปิ๊ด อีไวรัสบ้านี่สำแดงเดชได้ที่ปากและอวัยวะเพศ สำหรับผมนั้นเป็นที่ปาก แน่นอนว่าติดต่อทางอื่นที่ไม่ใช่เพศสัมพันธ์แน่นอน (เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย) แต่จากสาเหตุอื่นๆ ก็คือภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนรักยมนั้นเกิดงอแงขึ้นมา เพราะเราดันเลี้ยงดูไม่ดี น้ำก็กดกินจากก๊อกแถวประตูมหาลัย (ติดสนามหลวง มีลุงป้าข้างนอกมาใช้บริการกันเยอะจนเดี๋ยวนี้เขาเอาออกไปแล้ว) แถมยังใช้ชีวิตได้ผิดสุขลักษณะอย่างสุดๆ ซะด้วย มันก็ต้องโดนเข้าสักโรคจนได้


ทีนี้อาการของโรคเริมที่ผมเจอก็คือ ระยะแรกปากจะเป็นตุ่มใส แสบ แล้วตุ่มนั้นก็จะเพิ่มดาวน์ไลน์ ขยายสาขาออกมาจนได้พื้นที่ประมาณนึง ถ้าทายารักษาเริม (มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ซื้อเลย ไม่ต้องอาย) ก็จะหายเร็ว แต่ถ้าไปบีบให้แตกก็จะเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล ชัดกว่าเดิม แสบกว่าเดิม จังไรชีวิตมาก


ผ่านไปสักสิบวัน อาการนี้ก็จะหายไป


แต่อย่าเพิ่งดีใจไปครับ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นไวรัสทั้งที แม่งไม่เคยหายขาดอยู่แล้ว อีเฮอร์ปิ๊ดนรกเนี่ยไม่ได้ตายนะครับ แต่แค่หนำใจแล้ว มันก็จะไปหลบซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ในเส้นประสาทปลายสมองสักมุมของเรา จำศีลอยู่อย่างนั้นจนกว่ากุมารทองในร่างกายจะอ่อนแอ มันถึงจะกลับมาสำแดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ที่เดิม สเต็ปเดิมเลย


ถ้ามองในแง่ไสยศาสตร์ การเป็นเริมนี่ก็เหมือนมิเตอร์บอกอาการดวงตกเลยครับ ช่วงไหนดวงตก แม่งมาละ ปากเป็นตุ่มละ งดจูบเมียหอมลูกไปสิบวัน และต้องกักขังคัดแยกตัวเองไม่ให้ใช้ภาชนะร่วมกัน มือก็ต้องล้างให้สะอาดตลอดเวลา ตาก็ห้ามขยี้ จนกว่าจะหายจากอาการในอีกสิบวันข้างหน้า


แม่งเป็นช่วงที่เสียเซ้วสุดๆ เลยครับ


แถมตอนนี้ป่วยด้วย เป็นหวัดคัดจมูก ไอ เจ็บคอ แถมยังนอนดึกอีกต่างหาก (นี่คือสาเหตุที่ทำให้รักยมในร่างกายอ่อนแอลง) เลยเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อบำบัดความเสียเซ้วของตัวเอง ว่าจงรู้ทันโรค และรู้ทันตัวเอง จะได้เตือนตัวเองและคนอื่นด้วย ว่าจงใส่ใจสุขภาพตัวเองให้ดี จะได้ไม่ต้องมาคอยอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจว่าโรคนี้มันไม่ได้เกิดจากการตีกะหรี่อย่างเดียวเว้ยสัส


ป.ล.

เขียนและวาดภาพประกอบบนรถตู้ กำลังไปเชียงคานกับเพื่อน (ถนนคอร์รัปชั่น รถสั่นมาก วาดได้เท่านี้ถือว่าสวรรค์โปรดแล้ว)


ป.อ.

อ่านหนึ่งบทความทางการแพทย์ ที่เขาบอกว่าเริมจะหายขาดถาวรตอนเราอายุ 35 คือไม่กลับมาหลอกหลอนอีกแล้ว ตอนนี้เลยเห็นข้อดีของการแก่เพิ่มขึ้นอีกข้อ


ป.ฮ.

ช่วงนี้สงสารนิทานมากเลยครับ

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 22, 2013 01:57

June 15, 2013

ตะกี้ฝันแบบนี้

ตะกี้ฝันแบบนี้


แล้วลูกก็ปลุกตื่น

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 15, 2013 20:09

สัญญาว่าจะหัดเล่นเฟซบุ๊กอีกครั้ง

นี่เป็นคำพูดที่เคยประกาศอย่างจริงจังมาหลายที จนเหมือนเป็นสิ่งที่เชื่อถืออะไรไม่ได้แล้วนะ


คือผมเป็นพวกเสพติดการออนไลน์ โดยที่ไม่มีเฟซบุ๊กมาเกี่ยวข้องด้วยน่ะ ใครที่เข้าใจคำว่า “โลกออนไลน์ = เฟซบุ๊ก” อาจจะนึกภาพไม่ออก แต่ผมนึกออก เพราะตัวเองเป็นอยู่


ที่จริงตัวเองน่าจะเป็นคนไทยกลุ่มแรกๆ เลยมั้ง ที่ได้สัมผัสอีเว็บดังกล่าวจากคำชวนของน้องที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีใครคิดกันว่าวันนึงอาณาจักรไฮไฟว์จะพินาศลงได้


แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่แย่ เพราะเฟซบุ๊กไม่เคยทำให้ผมประทับใจได้เลย เนื่องจากแม่งไม่มีเพื่อนเล่น 5555


มันก็ชัวร์อยู่หรอกครับ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงนึกภาพไม่ออกกันแล้ว แต่ตอนนั้นเฟซบุ๊กแม่งเป็นเว็บสีขาวน้ำเงินน่าเบื่อๆ มีแต่การ poke กันไป poke กันมา อัปภาพ โพสต์ข้อความ เลี้ยงสัตว์ ทำควิซ และต้องคอยเฝ้าเพื่อรายงานตัวกับเพื่อนเป็นระยะๆ (ไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นมีปุ่มไลก์หรือยัง)


เชี่ย น่าเบื่อที่สุด เปลี่ยนตีม โมหน้ากากเล่นแบบฮิห้าก็ไม่ได้ ก็เลยเลิกเล่นไปนานมากๆ จนน่าจะจำรหัสผ่านไม่ได้ ต้องสมัครใหม่ด้วยซ้ำ (ไม่ชัวร์นะ คือยุคนั้นสมัครบริการนั่นนี่เปรอะมาก)


จนอีกสักพัก ผมก็ได้รู้จักทวิตเตอร์จากการสมัครเปรอะๆ เช่นกัน และพบว่ามันง่ายดีสำหรับคนที่มีโลกส่วนตัวอย่างเรา คือพอเข้าใจคอนเซปต์ของมันว่าเออ อยากทวีตอะไรก็ทวีตไป แล้วไม่ต้องคอยเฝ้าหน้าจอนะ ว่างเมื่อไหร่ค่อยมาเปิดและตอบคนที่มาถาม ไม่มีใครถือสาอะไร และไม่ต้องเร่งเร้า ไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่น


โอเค กูเล่นไอ้นี่แหละ


ก็เลยเสพติดโลกออนไลน์โดยมีทวิตเตอร์เป็นช่องทางหลักๆ (ควบคู่กับเว็บบอร์ดอายุเกือบสิบปีที่ชื่อฟอนต์.คอม ที่เหมือนกับเว็บบอร์ดทั่วโลกที่โดนผักตบชวาที่ชื่อเฟซบุ๊กมาทำลายระบบนิเวศไปซะมาก)


โดยที่เคยพยายามหัดเล่นเฟซบุ๊กถึงขนาดที่เคยตั้งเป็นปณิธานเลยก็มี แต่ก็ไม่สำเร็จสักครั้ง


คือเราไม่อินจริงๆ นะ 555


โปรไฟล์ตัวเองก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เพื่อนฝูงญาติมิตรก็ไม่ได้มีปัญหากับใคร เพจน่าสนใจก็มีมากมาย แต่ปัญหาคืออะไรวะ


เกลียดความรกของมัน?

เกลียดดีไซน์ที่ดูวุ่นวาย เกลียดการใช้ฟอนต์เล็กๆ เกลียดข้อจำกัดในการสร้างพื้นที่ส่วนตัว เกลียดความปิดกั้น เกลียดนโยบายที่ดึงดูดทุกเว็บให้ไปฝังอยู่ในระบบอันเทอะทะแต่ไม่เปิดระบบตัวเองให้เอาไปแปะตามเว็บชาวบ้านชาวช่องได้มั่ง (นี่มันเกลียดแบบเฉพาะทางสุดๆ เลยนะ) หรือเกลียดโฆษณาที่ดูรุกล้ำเรามากเกินไป เกลียดที่มันใช้ในมือถือไม่ถนัด เกลียดแคมเปญกลวง ห่าเหวจากนักการตลาดและเอเจนซีที่ไม่เก่งเท่าที่โม้ เกลียดวัฒนธรรมหลายอย่างในนั้นทั้งที่ระบบสร้างขึ้นมา กับที่ผู้ใช้บ้านเราสร้างกันเอง


เอ๊ะ หรือเกลียดความรู้สึกที่ว่าคนรอบข้างเกือบทุกคนเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนต้องเล่นเฟซบุ๊ก และต้องพร้อมออนไลน์เพื่อตอบข้อความเดี๋ยวนี้!!!


ก็ไม่ทราบได้


แต่นั่นเป็นข้อสงสัยที่ทำให้เราพยายามเท่าไหร่ก็ทำใจไม่ได้ ที่จะไปเสพติดมัน ทั้งที่เคยประกาศให้เพื่อนฝูงฟัง(อ่าน)หลายครั้งแล้วว่าปีนี้กูจะหัดเล่นให้ได้ คอยดูๆๆๆ เนี่ยเขียนลงบล็อกหลายทีแล้วด้วย คราวนี้เอาจริงสุดๆๆๆ


แต่ก็คึกได้แป๊บเดียว เลิก


ทุกวันนี้เฟซบุ๊กของผมจึงเป็นเพียงสถานที่สำเนาข้อความจากทวิตเตอร์อีกที (คือตั้งค่าในทวิตเตอร์ไว้ให้มันเด้งไปเฟซบุ๊กน่ะครับ ยกเว้นเวลาทวีตคุยกับใครมันจะไม่ขึ้น) ไม่ได้เคยสนใจจะไปพิมพ์คุยกับใคร หรือกดไลก์(ตามมารยาท)ให้กับคอมเมนต์ของเพื่อนที่อุตส่าห์เข้ามาเขียนคอมเมนต์ใส่ข้อความอัตโนมัติของเราโดยที่ไม่รู้ว่าไอ้บ้านี่ของแท้ต้องไม่เคยออนนะจ๊ะ


จนมีวันหนึ่งที่ตัวเองพอจะนึกออกว่าบรรยากาศของเฟซบุ๊กมันคล้ายๆ กับ MSN ในยุครุ่งเรือง นั่นคือมันจะมีความคิดมาตรฐานอย่างหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันว่า “ทุกคนต้องเล่นเอ็ม” และการไม่เล่นเอ็มถือเป็นความบ้าบอที่เห็นแล้วสงสัยว่ามึงอินดี้ไปหรือเปล่า เนี่ย มี MSN Plus ด้วยนะ แต่งอีโมได้ด้วยนะ ทำวิงก์กระพริบๆ ได้ด้วยนะ เปลี่ยนสีฟอนต์ได้ด้วยเหอะ ฯลฯ


นั่นแหละที่ทำให้ผมเลิกเล่นเอ็มอย่างถาวร ไม่สนใจสังคมมากมายที่อยู่ในนั้น คือมันจอแจไป


เออ พิมพ์มาถึงคำว่าจอแจปั๊บนึกออกเลย ใช่ๆๆ “มันจอแจ”


คือเฟซบุ๊กมันมีสาธารณูปโภคและสิ่งเร้ามากมายให้เราเสพติดและอยู่กับระบบของมันนานๆ เลยมีการไลก์ (และการไม่มีปุ่มดิสไลก์) มีโนติแดง ข้างบน พร้อมกับเด้งเตือนเมื่อเพื่อนเราทำอะไร (ผมแทบไม่เคยกดโนติเลย) มีแถบเสือกด้านข้างที่ยิ่งบิ๊วนิสัยเสือกของมนุษย์ขึ้นมาอีก มีนั่นมีนี่สารพัด ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วผลักดันให้เราต้องทำตามคำสั่งที่ระบบมันวางเอาไว้ โดยที่ผู้ใช้อาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เพลิดเพลินไปกับมัน และสร้างเป็นพฤติกรรมร่วมของมนุษย์ในยุคนี้ไปแล้ว (เช่นการชอบกดไลก์ ใช่กดแชร์ แคร์กดคอมเมนต์ อะไรแบบนี้)


ทุกอย่างดูดีและโซเชียลที่สุดเลยใช่ไหมครับ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเลย ที่จะทำให้เรารู้สึกว่า “มันเป็นพื้นที่ของเราจริงๆ” แม้แต่ในหน้าโปรไฟล์ของเราเอง ที่ทุกอย่างต้องระบุตามช่องกรอกของมัน ไม่สามารถเปลี่ยนอะไร หรือแหวกอะไรได้มากกว่านี้แล้ว คุณมีหน้าที่เพียงกรอกข้อมูลของคุณ พร้อมภาพถ่าย ภาพปก และหมั่นอัปเดตสเตตัสอยู่เสมอๆ เพื่อบอกความเป็นคุณให้โลก(หมายถึงโลกบนเฟซบุ๊ก)รู้ ส่วนอะไรที่ “เป็นคุณ” จริงๆ หรือเป็นเพียงสิ่งที่อยากจะบอกว่านี่คือคุณ อันนี้ก็แล้วแต่จะปรุงแต่งกันตามใจนะ


ผลก็อย่างที่เห็นเลยครับ ทุกคนประกาศความเป็นคุณกันโบ้มๆ


เหมือนเวลาเลี้ยงรุ่น เพื่อนๆ มากันเต็มห้องเลย แล้วดันมีแต่คนแย่งกันพูด ไม่มีพื้นที่สำหรับคนชอบความเงียบตรงมุมห้องอย่างผม


เราเลยหันไปเล่น Google+ แทน


ผมเลยยังคงมีความสุขดีกับทวิตเตอร์ที่ไม่รุกล้ำพื้นที่ของตัวเองนัก เพราะระบบของมันไม่ได้ถูกออกแบบมาด้วยวิธีคิดแบบผู้ผลิตยาเสพติดสักเท่าไหร่ แต่ถูกออกแบบมาให้มี “ช่องว่างระหว่างไทม์ไลน์” กว้างพอที่จะหายใจหายคอ และเรียกร้องความอิสระจากมันได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในพื้นที่ของคุณ เกิดพึงพอใจอยากทำอะไรขึ้นมาก็เชิญ


นั่น ทำไปทำมากลายเป็นบล็อกด่าเฟซบุ๊กอีกแล้ว


เอาจริงๆ ถึงจะไม่ชอบที่ตัวระบบและปรัชญาการออกแบบระบบของเฟซบุ๊กนัก แต่เราก็ไม่ได้เกลียดชังเพื่อนในนั้นนี่นา แถมเพื่อนที่เข้าใจว่า “ทุกคนต้องเล่นเฟซบุ๊ก” ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะมันเป็นความเข้าใจสากลไปแล้ว เช่นเดียวกับสมัย MSN หรือไฮไฟว์ หรือยุคนี้ที่คนใช้มือถือไอโฟนก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนแบบแอปเปิล (ที่ผมไม่ค่อยชอบปรัชญาการออกแบบระบบของมันเหมือนกัน) นี่นา


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมอยากหัดเล่นเฟซบุ๊กอีกครั้ง และอีกครั้ง


เห็นแบบนี้ก็อยากเข้าสังคมเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นพวกชอบอยู่เงียบๆ ตรงมุมห้องก็เถอะ


หวังว่าคราวนี้น่าจะทำได้นะ


ป.ล.

บล็อกตอนนี้ตื่นมาเขียนในมือถือตอนเช้ามืดเลยครับ ไม่มีคนอ่านก็ช่างมัน เพราะมันเป็นเรื่องปัจเจกมากเลยนะ 555 คือที่จริงนอนไม่หลับน่ะครับ เพราะเมียท่าทางจะไม่สบาย หลังจากไปบ้านพี่ชายที่เพชรบุรีมา แล้วบ้านนั้นก็ไอกันทั้งบ้าน พอเมียป่วย ผมเลยแยกมานอนที่พื้น แล้วมันเย็น เลยตื่นตั้งแต่ตีสี่ คิดนั่นนี่ไปมาเลยเขียนบล็อกแก้ว่างดีกว่า


ป.อ.

เออ จะบอกว่าหลายครั้งที่นั่งขี้อยู่ดีๆ ก็คิดไอเดียเพจเฟซบุ๊กสนุกๆ แบบที่น่าจะมีคนไลก์เยอะๆ ขึ้นมาทีไร ก็ต้องขยำทิ้งไปทุกที ก็ปัญหาคือเราแม่งดันไม่เล่นเฟซบุ๊ก ขี้เกียจคอยนั่งอัปเดตสม่ำเสมอน่ะสิ ถ้าทำเองแม่งต้องเบื่อและเลิกไปในในเจ็ดวันแน่ๆ (แล้วต่อมาไม่นานก็จะมีคนที่คิดได้เหมือนกันกับเราที่ทำเพจแบบนั้นเป๊ะๆ และประสบความสำเร็จจริงๆ อันนี้ดีใจนะ แต่อวดใครไม่ได้เพราะเราแค่ฝัน แต่เขาลงมือทำจริงๆ ต้องยกย่องครับ)


ป.ฮ.

เชี่ย เจ็ดโมงแล้ว บาย (เขียนเสร็จก็ทวีตลิงก์บล็อกนี้และให้มันไปโผล่ในเฟซบุ๊กเอง จบ)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 15, 2013 17:11

June 10, 2013

สรุปงาน WWDC 2013

image


ป.ล.

เขียนบล็อกนี้ในมือถือแอนดรอยด์ที่หน้าตาภายในทุกอย่างเหมือน iOS 7 เดี๊ยะๆ รวมถึงพื้นหลังที่พอเอียงเครื่องแล้วไหลตามเป็นเลเยอร์จากแอป 3D Image Live Wallpaper (ที่เมื่อคืนโดนก็อปไปเรียบร้อย สาวกฮือฮา โอ๊ยสวยเหี้ยไรงี้ อ้อเหรอ เออดีๆ 555) แต่ไม่มีไอคอนสีแว้นแดกแบบนั้นนะ

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 10, 2013 21:49

June 7, 2013

โลกหมุนที่ความเร็วสามแมวเดินคุยกัน

กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน


พอดีแอปทวิตเตอร์มันเด้งขึ้นก่อนโครม เลยทวีตไปทีนึงว่าจะเขียนบล็อกด่วน เสร็จแล้วก็เปิดหน้านี้ขึ้นมาเขียน จะได้ด่วนจริงๆ ไม่งั้นนั่งพิมพ์เป็นชั่วโมงแน่


เรื่องของเรื่องก็คือ ผมโคตรมีความสุขเลยครับตะกี้


พอดีลูกเมียไปค้างบ้านแม่ยาย เมื่อคืนผมเลยนั่งทำงานจนดึกไปหน่อย วันนี้หลังจากตื่น (สิบโมงครึ่ง) ลุกจากที่นอน (เที่ยงครึ่ง — พอดีเสพติดโทรศัพท์และอ่านการ์ตูนอยู่ ไม่ดีๆๆ) อาบน้ำแปรงฟัน เสร็จแล้วเอาโทรศัพท์ไปชาร์จทิ้งไว้ แล้วเดินลงมาหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจบ้านเพื่อขี่จักรยาน ออกเดินทางไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ซอยลาดปลาเค้า 62 (ก๋วยเตี๋ยวหมูเปื่อย อร่อยมาก อยากให้ทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้ได้ลองจริงๆ)


แล้วพอดีว่าแดดวันนี้มันไม่แรงไงครับ ลมกำลังเย็นสบาย ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก ก็เลยพบอณูความชิวกระจายอยู่ในมวลอากาศเป็นปริมาณหนาแน่นผิดปกติ (ขอเรียกว่า “ความชิวสัมพัทธ์”)


ผมเลยขับเลยปากซอยเข้าหมู่บ้านไปอีกหน่อย กะว่าจะไปเที่ยวตลาดลาดปลาเค้าเล่นๆ มันตอนบ่ายนี่แหละ ชาวบ้านเขาทำงานกัน แต่เราไม่


จอดรถซื้อถั่วหน้าปั๊มน้ำมัน แม่ค้าจะใส่ถุงพลาสติกให้อีกชั้น เราปฏิเสธ (ด้วยความโลกสวยและรักสิ่งแวดล้อม) แม่ค้าถามว่า “ไม่เอาเหรอ ไว้ใส่เปลือกไงน้อง” … เออ ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย วงการถั่วต้มนี่ร้ายกาจจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เอา เราหยิบถุงถั่วมาแขวนไว้ตรงแฮนด์จักรยานแล้วปั่นต่อ หาที่จอดหน้าตลาดไม่ได้ ก็เลยปั่นเลยไปเรื่อยๆ


เป้าหมายคือ…


ไม่มีว่ะ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำไม แต่ตีนมันปั่นไปแล้ว มือนึงกำแฮนด์ อีกมือล้วงเข้าไปในถุงถั่ว และแกะกินระหว่างปั่นไปด้วย


การปั่นจักรยานของผมนั้นไม่เคยคิดว่าจะปั่นให้เร็วเท่าไหร่เลย เพราะเคยพยายามปั่นเร็วๆ เผื่อจะได้เท่แบบคนอื่นที่เคยขับแว้นแซงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างกายเราบอกว่าปั่นไปมึงก็เมื่อย และที่สำคัญมากคือมันไม่ชิว


เมือสะกิดใจถึงสิ่งนั้น ผมเลยปั่นด้วยความเร็วระดับ 3 แมวเดินคุยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


และพบว่าบรรยากาศสองข้างทางนั้นเป็นของเราโดยสิ้นเชิง


ผมขับรถยนต์เวลาไปไหนมาไหนกับลูกเมีย


ผมขี่ฟีโน่เมื่อเดินทางไปทำงาน


ผมขึ้นรถเมล์เมื่อเบื่อรถไฟฟ้า


นี่ถ้าแถวบ้านมีท่าเรือ ผมก็อาจจะขึ้นเรือ เพื่อให้การเดินทางในแต่ละวันไม่ซ้ำกันก็ได้


แต่จักรยานสำหรับผมนั้นไม่ใช่การเดินทาง มันคือการโดดขึ้นขี่เพื่อย้ายตูดตัวเอง (สำนวนฝรั่งซะด้วย) จากที่นึงไปอีกที่นึง โดยไม่ได้ระบุพิกัดเป้าหมาย เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจริงๆ


อย่างเมื่อวานปั่นไปคืนหนังสือการ์ตูนแถวเสนา (ผ่านบ้านเศรษฐี ถ่ายรูปไว้ด้วย) ก็กะว่าจะไปทางปกติที่ขับรถยนต์ไป แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจ เลี้ยวเข้าซอยที่ไม่ค่อยได้เข้า และแวะชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ


ใช้เวลามากกว่าเดิมสองเท่า แต่ความสุขมันแทบจะล้นออกมาจากสองรูจมูก


แม้โอกาสจะเพิ่งอำนวยเมื่อไม่นาน หลังจากลดเวลาการทำงานที่บริษัทลง แต่นั่นก็ยิ่งย้ำให้ตัวเองรู้ว่า ผมชอบการเดินทางแบบนี้ คือไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็จอดแวะซื้อน้ำเก๊กฮวยกิน แล้วก็ปั่นต่อ


มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งเมื่อขี่แว้น และยากกว่านั้นอีกเมื่อขับรถยนต์ เรากำหนดจุดหมาย แล้วก็ขับไป มีสมาธิจนถึงจุดหมายปลายทาง


ซึ่งอารมณ์นี้ไม่เกิดขึ้นกับจักรยานเลย


ด้วยความเร็วระดับสาวแมวฯ ทำให้เห็นว่าสองข้างทางนั้นมีบ้านคน ทั้งแบบรวยๆ รั้วสูงๆ กับแบบจนๆ ที่ไม่มีรั้วเลย จนเราอนุมานได้ว่าความรวยนี้แปรผันตรงกับความสูงของรั้วบ้าน


มีถังขยะ 3 แบบ (แบบขุ่น แบบเขียวเหลือง และแบบถังสีน้ำเงิน) มีต้นไม้ใบหญ้าที่ปกติเราไม่ได้เจรจากับมัน แต่พอปั่นจักรยาน เราเลยได้โยนเปลือกถั่วลงไปเป็นปุ๋ยไนโตรเจนให้มัน (แต่มันเป็นวัชพืชนะ)


มีหมาที่บางตัวเป็นมิตร บางตัวกลัวเรา บางตัวเตรียมโจมตี เราก็เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์เดียวกับมัน (เกียร์หมา) แล้วปั่นหนีสุดชีวิต


มีร้านรับปะ ซ่อม เย็บเสื้อผ้าจำนวนมาก คือแถวๆ นั้นเป็นแฟลตทหารน่ะครับ แล้วเมียจ่านี่แหละ เป็นทรัพยากรแรงงานด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าที่สำคัญยิ่งต่อประเทศเรา


มีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ว่าเด็ด (ธรรมดา 30 พิเศษ 35) แต่ดูแล้วงั้นๆ อยู่ติดกับร้านข้าวแกงที่ดูไม่น่าอร่อยเหมือนกัน แต่มีตู้แช่น้ำยี่ห้ออาร์ซีโคล่า ซึ่งดูเจ๋งมาก ไม่แคร์สงครามน้ำดำเจ้าอื่นทั้งสิ้น น่าเสียดายเรากินน้ำอื่นไปแล้วก่อนหน้านี้


มีคลองน้ำเน่าที่เหม็นมาก กลิ่นงี้โชยมาแตะจมูก ทิวทัศน์ก็ไม่สวยเลย ผักตบงี้เต็ม แต่ที่เต็มกว่าคือผักบุ้ง ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผักบุ้งที่ขึ้นจากน้ำเน่านี่มันกินได้ไหม แล้วแม่ค้าผักบุ้งที่ตลาดบัวนี่เขาเก็บจากแถวนี้ไปขายหรือเปล่า


มีถนนที่สร้างไว้เปล่าๆ เหมือนงบเหลือ นานๆ ที จะมีรถผ่านมาสักคันให้พอหายเหงา แต่นั่นกลับทำให้สภาพผิวถนนดีมากๆ ลองปั่นไปปั่นมา วนซ้ายวนขวาบิดๆ เบี้ยวๆ เพราะต้องแกะถั่วกินไปด้วย ก็พบว่าปลอดภัยดี ไม่มีแท็กซี่มาตำ


สรุปว่าเมื่อกี้ผมปั่นไปรอบๆ ราบสิบเอ็ด (คือสถานที่เดียวกับที่รัฐบาลพี่มาร์คเข้าไปตั้ง ครม.อยู่ในนั้น ขณะที่มีชุมนุมเสื้อแดงปี 53 น่ะ) แล้วจอดคุยกับทหารยามที่เฝ้าประตูทางเข้าในโซนทหารช่าง ว่าที่นี่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาปั่นจักรยานชิวๆ เล่นไหม และได้คำตอบว่า “เข้าได้จ้ะ หลังเวลาราชการคือบ่ายสามครึ่งก็จะเปิดให้เข้ามาออกกำลังกายได้จ้ะ”



อันที่จริงผมเคยขับรถหลงเข้าไปเพราะคิดว่ามันเป็นทางลัดไปร้านขายต้นไม้ในราบ 11 ที่เยอะๆ และหาทางเข้ายากฉิบหายน่ะครับ ที่ไหนได้มันเป็นคนละโซนกัน (ตอนออกมาโดนทหารที่เฝ้าประตูนี่แหละดุเอาด้วย ว่าทำไมไม่ถามผม เขา ว.กันให้วุ่นเลยว่ามีรถภายนอกเข้าไปในเขตหวงห้าม 55555 T-T) แต่วิวงี้สวยเช็ดเม็ดจนไม่คิดว่านี่คือกรุงเทพฯ เลยครับ เพราะโซนนี้มีโบกี้รถไฟเก่าๆ วางทิ้งไว้ริมบึงน้ำด้วย น่าถ่ายมิวสิกมากๆ คือช่วงพระอาทิตย์กำลังอ่อนล้านี่ บรรยากาศบริเวณดังกล่าวแม่งชิวระดับแปดจุดเก้าเลยทีเดียว


เอาไว้เดี๋ยวลูกเมียกลับมาถึงบ้าน จะพาเข้าไปเดินเล่นในนั้นกันอีกที หวังว่าคุณทหารจะไม่ดุแล้วนะ


ส่วนคราวนี้ ผมไม่ได้เอามือถือไป เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดครับ แวบนึงก็เสียดาย เพราะเราแม่งเป็นทาสโซเชียลไง เจออะไรก็ต้องอัป ต้องทวีตอวดชาวบ้าน แต่นี่ไม่ได้เอาไป เลยตัดโหมดนี้ทิ้งไป เลิกเสียดาย แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางเต็มที่


เสร็จแล้วก็กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน..


(อ่านบรรทัดแรกอีกครั้ง)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 07, 2013 01:53

June 5, 2013

งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

จริงเหรอวะ


ใครเป็นคนเริ่มพูดวะเนี่ย แล้วมันฝังหัวด้วยนะ เพราะเราได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก

แต่ถามว่าเชื่ออย่างที่เขาว่าไหม? ถามตัวเองในตอนนี้คงจะได้คำตอบว่าไม่เชื่อแน่นอน เพราะเราไม่ได้จนกรอบแบบเมื่อก่อนแล้ว อุดมการณ์น่าจะเปลี่ยนไป


จึงขอย้อนกลับไปถามตัวเองเมื่อมัยเรียน ตอนที่ไม่มีเงินเลย แม้จะแบมือขอพ่อแม่ก็ยังไม่พอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสำหรับคนอยู่หอพักในกรุงเทพฯ (ถูกๆ ด้วยนะ) จนต้องทำงานพิเศษระหว่างเรียนเป็นการรับจ็อบออกแบบนั่นนี่ จนทำให้เราเป็นเราในวันนี้


พอถามไอ้แอนตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบ มันก็บอกว่าจริง ถ้ามึงอยู่ในสถานะปากกัดตีนถีบ สิ่งสำคัญในชีวิตคือการเอาปากท้องตัวเองให้รอดก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน


แต่ไอ้แอนตอนอายุยี่สิบ (นั่งถัดจากไอ้แอนคนก่อนหน้านี้ 1 ปี) มันเริ่มเริ่มมีเพื่อน มีสังคมนอกคณะ เรียกว่ากบาลเริ่มเปิดเพราะพอจะรู้จักโลกภายนอกแล้ว มันชิงตอบว่า พอมีเงินเข้ามาพอให้ตัวเองพ้นจากสภาวะปากกัดตีนถีบปั๊บ สิ่งที่ต้องการในชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนที่อีตามาสโลว์แกเคยกล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์มันไล่มาจากพื้นฐานสุดๆ คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยกระดึ๊บเป็นลำดับถัดไปเป็นสเต็ปๆ (ใครไม่เคยอ่านที่แกกล่าวก็กดเข้าไปซะนะ)


ทีนี้ลำดับถัดไปของใครจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ของผม มั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบันเลยว่า “ธง” ในชีวิตคือความชิว ไม่ใช่เงิน


ผมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางมนุษย์อีกหลายหมื่นแสนล้านคน ที่มีความต้องการถัดจากขั้นพื้นฐานแตกต่างกันออกไป บางคนมีความสุขที่จะได้แฟนที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000 บาท (ที่เพิ่งเป็นกระแสฮือฮาดราม่าในทวิตเตอร์เมื่อวันก่อน ลองกดอ่านดู) บางคนแฮปปี้ที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทตอนอายุ 31 บางคนอยากมีชื่อเสียง บางคนอยากมีอำนาจ บางคนอยากได้รับการยกย่อง บางคนคิดว่าพอตายไปแล้วอยากทิ้งอะไรให้โลกไว้สักอย่างให้คนยังพูดถึงอยู่ (ผมก็เป็นประเภทนี้) บางคนอยากมีเพื่อน บางคนอยากปี้ให้ครบทุกประเทศทั่วโลก (มีจริงๆ เคยอ่านมา อิจฉา เอ๊ยทึ่งมาก ที่มึงอุทิศชีวิตเพื่อการขยายพันธุ์ได้ขนาดนี้) บางคนอยากนิพพาน บางคนอยากเห็นโลกสงบสุข บางคนอยากได้ประชาธิปไตย และบางคนอาจอยากจับนมสาวเกิร์ลเจนสักครั้ง


ส่วนผม บวกลบคูณหารดูแล้วยังมั่นใจว่า ธงในชีวิตตัวเองไม่ใช่เงินแน่นอนครับ แต่มันคือความชิว (แล้วจะพูดซ้ำกับย่อหน้าข้างบนทำไม) ให้นึกภาพว่ายอดเขาที่ตัวเองกำลังปีนอยู่และหวังว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปยืนปักธงอยู่บนนั้น มันต้องชิวมากแน่ๆ


ว่าแต่ความชิวคืออะไร?


คำว่าชิวของผม (ที่จริงมันต้องเขียนว่า ชิล หรือ ชิลล์ แต่เพื่ออรรถรสส่วนตัวผมเขียนชิวละกัน เหมือนคำว่าโซเชี่ยวอะ) หมายถึงการนอนกลิ้งๆ ขี้เกียจๆ แคะขี้มูก อ่านการ์ตูน อ่านหนังสือ ไปขี่จักรยาน ไปเที่ยวดูนกดูไม้ โดดน้ำเขื่อน พาลูกเมียไปทะเล ฯลฯ


แค่นี้เอง ต้องการแค่นี้จริงๆ แต่กว่าจะได้มานั้นก็พบว่ามันต้องใช้เงินครับ ก็เลยมีบ้างที่ตัวเองต้องทนทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชอบ (อย่างกลางเมืองหลวงในกรุงเทพฯ เนี่ย) เพื่อแลกเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และตอบสนองความต้องการขั้นที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของตัวเอง


ผมเกลียดชีวิตมนุษย์เงินเดือน เกลียดระบบการทำงานที่ซ้ำๆ กันทุกวัน ถึงจะได้เงินเยอะ แต่เมื่อแลกกับเวลาที่หดหายไปกับการเดินทางนั้น ก็พูดได้เต็มปากว่าโคตรไม่คุ้มเลย


เออ พออ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นพวกมีปัญหากับบริษัทนะ ไม่หรอกครับ กับวิชาชีพที่เราทำอยู่นี้ (งานออกแบบเว็บและอินเทอร์เฟซต่างๆ รวมถึงการเป็นสถาปนิกเว็บด้วย) เรามีความสุขดี เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็น่ารักและเป็นมนุษย์ประเภทที่เคมีตรงกัน เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แค่นี้ก็ถือว่าโคตรน่าอยู่แล้ว จึงสรุปได้ว่าเราไม่ได้ไม่ชอบบริษัทนี้ เราไม่ได้มีปัญหากับใคร ยกเว้นตัวเอง ที่รับไม่ได้กับการหมดเวลาของชีวิตตั้งเยอะกับการทำงานบริษัท


ซึ่งไม่ชิวเลย


ต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงไปขอลาออก ถึงจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังได้ข้อเสนอที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิม คือไปทำงานอาทิตย์ละสองวันพอ แน่นอนว่าเงินเดือนตอนนี้ก็ถูกปรับลดลงตามสเกล ตอนนี้ถ้านับงานนอกงานใน ก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีรายได้พอที่จะไปเป็นแฟนบางคนในทวิตเตอร์ได้แล้ว 55555


แต่ถามว่าแคร์ไหม บอกได้เลยว่าไม่แคร์ และยินดีมากด้วย เมื่อได้แลกมากับ “เวลา” ที่เป็นหัวใจของความชิว


ตอนนี้เราตื่นแปดโมงทุกวัน ตื่นเองแบบไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกก็ได้ นี่ก็ชิว / ลุกขึ้นจากเตียง หยิบการ์ตูนที่อ่านไว้จนสัปหงกเมื่อคืนขึ้นมาอ่านต่อ พร้อมกับดินไปแปรงฟัน นี่ก็ชิว / พอลูกเมียอาบน้ำเสร็จ ก็นั่งจับลูกใส่เสื้อผ้า แล้วใช้เวลาไปอีกชั่วโมงกับการอ่านนิทานให้นิทานฟัง นี่ก็ชิว / ก่อนจะเปิดมือถือและเข้าไปจมปลักในโลกออนไลน์ที่เราเสพติดอยู่ นี่ก็ชิว / ว่างๆ วันไหนก็ได้ที่นึกอยากจะออกนอกบ้านก็ไปเที่ยวพักผ่อนกะลูกกะเมียก็ได้ไป นี่แหละคือความชิว


ใช่แล้ว ความชิวคือความขี้เกียจ!


และก็ใช่แล้ว เราเป็นมนุษย์ขี้เกียจ เราทำทุกอย่างได้เพื่อบูชาความขี้เกียจ!


ทำทุกอย่างได้แม้กระทั่งต้องเบนไปนอกลู่นอกทางนิดนึง ด้วยการไปทำงานบริษัทด้วยความจำใจ


เปล่า เราไม่ได้ปฏิเสธเงิน แต่ไม่ค่อยชอบคำขวัญที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”


เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการบันดาลของเงินเท่านั้น เงินน่ะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร้อยพันสิ่งที่จะสามารถบันดาลความสุขให้กับเราได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่ได้รับการปลูกฝังมา


แถมเมื่อชั่งนำ้หนักกับ “เวลา” แล้ว เราให้ราคากับเวลามากกว่าเงินมากมายนัก (ฟังดูเป็นคำพูดของคนมีเงินแล้วดีนะ ไม่หรอก เราเป็นงี้มาตั้งแต่เป็นไอ้แอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบละ) ก็เลยพาลเกลียดวัฒนธรรมที่เป็นผลพวงจากคำขวัญปลุกใจมนุษย์เงินเดือนดังกล่าว นั่นคือพอคนเราทำงานกันจนชินชาแล้ว เราก็จะคิดว่าชีวิตนี้ข้าขออุทิศเพื่องาน เป็นพนักงานบัญชีก็ทำบัญชีต่อไป เป็นเด็กเสิร์ฟก็เสิร์ฟต่อไป เป็นคนทำเว็บก็ทำเว็บต่อไป


แล้วเวลาแนะนำตัวเองกับใคร จะต้องมี bio ห้อยท้ายต่อจากชื่อของตน คือพูดชื่อก่อน “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน” แล้วคำถามต่อมาที่เจอทันทีหลังจากรู้จักชื่อก็คือ “ทำงานอะไรอยู่ครับ”


เฮ้ย มึงถามอายุ ถามแนวเพลงที่ชอบ ถามสเป็กสาว ถามว่าเมื่อวานกินอะไร กินพริกหยวกได้ไหม อะไรงี้ก่อนได้ไหมอะ


มนุษย์เรามีวิธีการเขียน bio ตั้งมากมายไว้ระบุถึงความเป็นตัวเองนะครับ ไม่ใช่แค่เขียนถึงวิชาชีพที่ตนสังกัดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันแบนไป


และไม่ชิวเลย


.


ป.ล.

บล็อกตอนนี้เขียนวกวนหน่อย ช่างมันเนอะ ขี้เกียจรีไรต์ ขนาดสรรพนามตอนแรกๆ ยังเรียกตัวเองว่าผม พอหลังๆ มาเป็นเราเฉยเลย


ป.อ.

เออ ลืมเขียนไปเรื่องนึง การปลดหนี้ได้คือต้นทุนของความชิวนะ ที่ผ่านมาเราทำงานนั่นนี่สารพัดเพื่อการปลดหนี้ให้หมด จนตอนนี้บ้านที่ซื้อก็ผ่อนหมดแล้ว รถก็ผ่อนหมดแล้ว และมีเงินทองเก็บอีกนิดหน่อยพอที่จะเอาตัวรอดได้ แถมยังวางแผนการหาเงินของตัวเองไว้พอสมควร ไม่ได้ถึงกับลงมือศึกษาหรือโดดไปเล่นหุ้น(มันไม่ชิว) แต่ก็ไม่ได้ผยองหรือประมาทในการใช้ชีวิตบนโลกของทุนนิยมนี่นา ดังนั้นการมีเงินเดือนเท่าเด็กจบใหม่แบบนี้ ก็น่าจะเลี้ยงลูกเมียได้นะ 55555


ป.ฮ.

ว่าจะวาดภาพประกอบ แต่ตอนที่ผ่านๆ มาก็วาดแบบตีนปาด(เพราะขี้เกียจ) … อายว่ะ ไม่วาดดีกว่า

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 05, 2013 23:27

May 29, 2013

เราอาจจะได้เห็น Adobe CS7 คืนชีพอีกครั้ง?

adobe-cc-cs


ใครที่ไมไ่ด้ตาม ลองอ่านข่าวนี้ก่อนนะครับ: Adobe ยกเลิก Creative Suite ต่อไปนี้จะกลายเป็น Creative Cloud

ส่วนใครที่ขี้เกียจอ่านน้ำๆ จะข้ามไปเนื้อเลย ก็โดดไปย่อหน้าที่มีคำว่า “ขี้” สีแดงๆ ข้างล่างเลยครับ



สำหรับผมที่มีภาระผูกพันกับชุดโปรแกรมตระกูล Adobe โดยตรง คือใช้ Photoshop มาตั้งแต่เวอร์ชัน 4.0


สมัยนั้นคอมตัวเองมันกากเกิน ลงไม่ได้ ก็ไปใช้คอมโรงเรียน ตัดต่อหัวหมามาสวมหัวตัวเอง พรินต์ใส่กระดาษไปอวดเพื่อน ก็สนุกสนานเฮฮากันตามประสาเด็กเนิร์ดล่ะนะ แต่ปรากฏว่าโดนครูสวดยับเลยว่าไม่เหมาะสม เธอเอาหมามาใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนเราได้ยังไง @#$@%^#$%^@$…


พอเข้ามหาลัยก็เริ่มจับโปรแกรม Flash โดยเริ่มตั้งแต่รุ่น 4.0 เป็นต้นมา สนุกมาก พอหัดเองแล้วขยัน ไปหาตัวช่วยตัวสอนในเว็บ (เว็บสมัยนั้นน่ะแหละ) เขียน ActionScript ได้เพ้อเจ้อ แต่พอสวมดีไซน์ลงไปแล้วมันมีเสน่ห์มาก เอามาทำเว็บรุ่น เว็บคณะ พรีเซนต์กลุ่มทีนึงก็ไม่ต้องคิดงานละ นั่งผลิตพรีเซนเทชันอย่างเดียว และก็ได้ผล มันช่วยให้งานกลุ่มดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก และเราเองก็สบาย เพราะไม่ถนัดงานเรียนอยู่แล้ว เอาเวลามาพรีเซนต์ซะเลย 5555


พอจบมาก็ได้ทำงานด้านนี้แหละ ต้องเรียกว่าโดนเรียกตัวไปเข้าออฟฟิศตั้งกะยังไม่จบดีกว่า (คือจะอวด) ตอนนั้นทำอาชีพเป็น Flash Designer เพราะพอร์ตงานเรามีแต่แฟลชทั้งนั้นเลย แต่แล้วพอฟ้าฝนไม่เป็นใจ ก็จับใบแดงได้ทหารเกณฑ์สองปี (บอกแล้วตอนนั้นยังเรียนไม่จบมหาลัยดี)


เหี้ยมาก วิชาความรู้ที่ได้สั่งสมมา หายไปหมดเลยจริงๆ จนออกจากกองร้อยมานี่ จะให้เขียนปุ่มที่จิ้มแล้วตัวการ์ตูนหยุดเดินก็ทำไม่เป็นแล้ว ก็เอาวะ เพื่อจะได้ลองปีนเขายอดอื่นดูบ้าง เลยปล่อยให้ความรู้ด้านนั้นตายไปให้หมด (พร้อมๆ กับเทคโนโลยีของแฟลชเองที่ตอนนี้ก็ตายสนิทแล้ว ยกเว้นวงการเว็บเอเจนซีบ้านเรา..)


เอ๊ะ แล้วจะเล่าเรื่องของตัวเองทำไมวะ (แล้วมึงจะทำไม)


จนตอนนี้ก็ได้เปิด Photoshop และ Illustrator (เพิ่งหัดเมื่อปีก่อน) เพื่อทำงานเล่นอยู่ทุกวัน ชีวิตก็สุขสบายดี จนตัดสินใจซื้อของแท้แม่งเลย เป็นความตั้งใจมานานแล้วครับ แต่กระเป๋าตังค์ไม่อำนวย พอมันอำนวยปั๊บก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองอย่างจริงจัง หยุดใช้โปรแกรมเถื่อนทุกชนิด มาเป็นมนุษย์โปรแกรมลิขสิทธิ์ดูกับเขาซะที จะได้อวดใครได้ง่ายๆ หน่อย แถมเวลามีดราม่าประเภท “มึงใช้วินโดวส์แท้รึเปล่า” จะได้ถุยกลุบอย่างสบายใจ (มึงใช้วินโดวส์แท้รึเปล่า / กูใช้แมค / แล้วออฟฟิศล่ะ เถื่อนล่ะสิ / กูใช้ Google Docs ไงสัส)


ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นตอนที่ตัดสินใจซื้อนี่แหละครับ ด้วยราคาที่ไม่เป็นมิตรต่อกระเป๋าเงินนัก คือชุดแพงแม่งแพงเฉียดแสน แต่ชุดถูกก็ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด แถมไอ้ที่ Adobe มันจัดชุดมาให้นั้นมีทั้งแบบขาดๆ และแบบเกินๆ ผมเลยเลือกอยู่นานว่าจะเอาอะไรดี โดยส่วนตัวคือใช้อยู่แค่ไม่กี่โปรแกรม (เอาเข้าจริงถ้าตัดทุกอย่างทิ้งไป เหลือแค่ Photoshop และ Illustrator ก็อยู่ได้นะ) ไอ้ครั้นจะซื้อแค่ 2 ตัวนี้โดยเฉพาะ ราคาปลีกแม่งก็แพงกว่าชุด CS6 Design Standard ที่มีสองตัวนี้ แถมยังได้ Indesign กับ Acrobat Pro อีก คือแม่งไม่เคยคิดจะใช้ก็ลงไว้เกร๋ๆ ได้รึเปล่าวะ


คือสมัยใช้ของเถื่อนนี่จัดเต็มมากครับ มีชุด Super Premium Ultra Deluxe Untimate Professtional ห่าเหวอะไรลงได้หมด ไม่มีปัญหา แต่พอจะควักตังค์เองนี่อย่างเขียมเลย แล้วไม่ต้องมาโทษคนไทยโอนลี่ครับ ฝรั่งญี่ปุ่นแม่งเป็นกันทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่รู้จักก็ไม่ต้องไปบูชามันมาก


เข้าเรื่อง! สรุปแล้วพอมีโปรโมชันสำหรับสมาชิกสมาคมเว็บหรือสิ่งพิมพ์ไทยก็ได้ จะได้ลดราคาของชุด Standard ตั้ง 30% แน่ะ ผมก็เลยสมัครสมาชิกสมาคมเว็บซะเลย 555 สองร้อยบาทมั้ง ลดได้ตั้งเป็นหมื่นแน่ะ (เลว)


แต่การซื้อโปรแกรมผ่านตัวแทนจำหน่ายนั้น หน่ายสมชื่อจริงๆ ครับ กว่าจะออกเอกสาร กว่าจะต้วมเตี้ยมเช็กเอยอะไรเอย ทุกอย่างดูโบราณมากเมื่อเทียบกับการจ่ายเงินซื้อแอปใน AppStore หรือ Play Store ที่กดจึ๊กเดียวดูดตังค์กูไปแล้ว


แต่นี่ต้องรอคอนเฟิร์ม รอ Serial Number รอนั่นนี่ แถมยังต้องแฟ็กซ์เอกสารส่งอีก!!!!!!! เชี่ย ยังกะหน่วยงานราชการ สรุปคือกว่าจะซื้อเสร็จ ล่อไปเป็นอาทิตย์ครับ ได้ตัวเลขมาชุดเดียว (ไม่เอากล่องหรอก เพราะแม่งต้องจ่ายค่าความเท่เพิ่มอีกหลายร้อย) ก็โหลดโปรแกรมมา แล้วกรอกตัวเลข ลงทะเบียนผ่านเว็บ เสร็จแล้ว


555555555 เท่านี้ 5 55 55 เราก็ได้เป็น 55 555 5 ผู้ใช้โปรแกรมถูกลิขสิทธิ์ 5 555 แล้ว 55555


5 55 555 5 อีกแป๊บนึงแม่งเปิดตัว Adobe CC เฉยเลย ของที่กูซื้อมาตะกี้แม่งตกรุ่นทันที 5 555 สัสเอ๊ย ขี้จะแตกแล้ว


พอได้ตามข่าวเรื่อง Adobe เปิดตัวชุดโปรแกรมเช่าในราคาที่บวกลบดูแล้วยังนึกภาพไม่ออกว่าจะสมเหตุสมผลดีไหม ก็ทำให้รู้สึกว่า คนอย่างเราที่เพิ่งซื้อเวอร์ชันกล่องไป (ถึงจะไม่ได้กล่องก็เถอะ) แม่งโดนทิ้งเลยครับ ก็นั่งเจ็บช้ำอยู่ลึกๆ แค่คนเดียว เพราะหาคนคุยด้วยที่มันจ่ายตังค์ซื้อของแท้และตกรุ่นทันทีเหมือนกันไม่ค่อยได้


ผมบวกลบราคาดู ไอ้ที่เราซื้อมามัน 30,000 บาท สมมติว่ารอบการออกโปรแกรมปกติของค่ายนี้คือ 18 เดือน แล้วค่อยไปคิดอัปเกรดใหม่อะไรก็ว่าไป ก็จะได้ราคาเฉลี่ยต่อการใช้งานครั้งแรกก่อนอัปเกรดใดๆ คือเดือนละ 1,666 บาท แต่หลังจากนั้นจะเลือกอัปหรือไม่อัปก็แล้วแต่ ถ้าไม่อัป ราคาเฉลี่ยต่อเดือนก็จะถูกลงเรื่อยๆ แต่ถ้าอัป ก็น่าจะได้โปรแกรมที่ใหม่อยู่เสมอ ในราคาอัปเกรดที่ถูกกว่าซื้อใหม่แน่ๆ


นั่นจึงเป็นสาเหตุให้คนที่ซื้อโปรแกรมลิขสิทธิ์มาใช้ เช่นพวกสตูดิโอถ่ายภาพ หรือบริษัทที่มีฝ่ายกราฟิก จึงไม่ซีเรียสถ้าจะใช้โปรแกรมเก่าที่มีอายุเป็นสิบปี อย่างที่ไปเห็นมาคือใช้ CS2 ก็ยังได้สบายๆ อยู่ (ก็แหงสิ เกิดมายังไม่เคยใช้ฟีเจอร์พวก 3D ในโฟโต้ช็อปเลย คือมึงทำมาทำไม ช่วยเอาออกแล้วลดราคาให้ได้ไหม)


ในขณะที่คนเช่าใช้ชุด Creative Cloud นั้นเหมาะกับบริษัทที่มีระบบเบิกงบจ่ายเป็นงบประจำอยู่แล้ว ก็นึกซะว่านี่เป็นค่า Service แบบเดียวกับค่าน้ำค่าไฟค่าเน็ต ไม่ต้องมานั่งบำรุงรักษามากมาย ตีงบเป็น fixed cost รายเดือนไปเลยง่ายดี แล้วงบพวกนี้ก็ค่อยไปขูดเอากับลูกค้า… แฮ่


ส่วนฟรีแลนซ์หรือผู้ใช้ทั่วไปอย่างเราๆ เนี่ย การเช่าใช้นั้นคุ้มค่ามากถ้าใช้งานระยะสั้นๆ ครับ ถ้าจ่ายราคาเต็มต่อเดือนนั้น ราคาอยู่ที่ $49.99 ก็คือพันห้า ใช้ได้แม่งทุกอย่างและโปรแกรมสดใหม่อยู่เสมอ (ถ้ายังมีเงินจ่ายอยู่น่ะนะ) ราคาพันห้านี้อยากจะเขียนดอกจันไว้ตัวโตๆ ว่าคุณอาจตกหลุมพรางเรื่องราคาของ Adobe ก็ได้นะ เพราะเอาเข้าจริงๆ คุณใช้แค่กี่โปรแกรมเอง? คนทำงานตัดต่อวิดีโอนี่จะใช้โปรแกรมทำเว็บไหม? อะไรแบบนี้ แต่จ่ายเหมารวมไปหมดแล้วจ้า


หรือจะตัดช่องเล็กๆ จ่ายแบบสบายๆ แค่ 2 โปรแกรม คือ $19.99 x 2 ต่อเดือน อ้ะ ตีไปเดือนละพันสอง คูณยังไงก็ถูกกว่าการซื้อแบบกล่องของผมใช่ไหมครับ… แต่อย่าลืมว่า การเช่านั้นหมายถึงภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายต่อเนื่องไปทุกเดือน จะไม่มีราคาเฉลี่ยที่ถูกลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ใช้ไปเหมือนกับที่ซื้อมาเป็นกล่องๆ และฟีเจอร์ที่ยัดเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ นั้น บางอย่างก็จำเป็น (เช่นพวกการจัดการตัวอักษรไรงี้) แต่บางอย่างก็ฟุ่มเฟือยไปมากๆ (อย่างพวก 3D งี้)


เลยบอกว่ามันคุ้มกับการใช้งานในระยะสั้น เช่นเหี้ยแล้ว มีโปรเจกต์ต้องตัดต่อวิดีโอด่วน เดือนนึงคงเสร็จ ยังงี้เช่าไปเลยครับ โปรแกรมเดียว $19.99 ก็คือหกร้อยบาท แล้วปิดงานใน 1 เดือน คุ้มเงินและสบายใจ แต่ถ้าใช้ยาวๆ ก็อย่างที่บอก โปรแกรมแบบกล่องมันดีกว่าอยู่แล้ว


แต่ประเด็นคือ Adobe ประกาศเลิกทำแบบกล่องซะแล้ว ต่อไปนี้เช่าใช้เอาหมดเลยนะ เงินจะได้เข้ากระเป๋าบริษัทเราอย่างต่อเนื่อง ไม่กระจัดกระจายเหมือนที่แล้วๆ มา โอเคป๊ะ


มันเลยมีฝรั่งโวยครับ


ไม่ได้ว่าจะบอกว่าฝรั่งโวยแล้วมันน่าฟังกว่าเรา คือที่บอกว่าฝรั่งโวยนี่เพราะผมไม่เห็นคนไทยโวยนะ 5555


ฝรั่งเริ่มทยอยโวยกันเรื่อยๆ มีทั้งแบบโวยภาษาหยาบคาย (ช่างมัน) และโวยแบบเตือนสติบ้าง เสนอตัวเลือกอื่นๆ บ้าง ทีแรกผมก็คิดว่าเป็นแค่เสียงพวกอนุรักษ์นิยม ที่ชินกับวิถีชีวิตแบบเดิม ก็เปลี่ยนเป็นเช่าใช้ มันจะไปต่างอะไรกับการครอบครองกล่องแข็งๆ (ที่จ่ายเพิ่มแปดร้อยถ้าจะเอาดีวีดีด้วย) เล้า


ปรากฏว่าเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ครับ เคยอ่านเจอว่ามีการร่วมกันเข้าชื่อ เพื่อยื่นข้อเสนอ ขอร้องให้ Adobe กลับมาทำคลอด Adobe CS7 อีกครั้ง จะขายคู่ขนานไปกับ Adobe CC ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่เราอยากได้โปรแกรมที่เป็นของเราจริงๆ ไม่ใช่แบบเช่าอยู่ มันเสียเซ้วไง


ความเห็นของผมต่อเรื่องนี้ก็คือ เออ ดีๆ อย่างน้อยคนอย่างเราน่าจะได้ประโยชน์ในระยะยาวด้วย คือพออยากทันสมัยก็ค่อยไปกดซื้อ อัปเกรดเป็น CS7 ซะ


พอนานๆ เข้า วันนี้เมื่อตอนตีสี่ครึ่งตามเวลาประเทศไทย เราก็เริ่มเห็นสัญญาณอันดีที่ดังมาจากฝั่ง Adobe ครับ (ที่มา: +Adobe Photoshop) เขาบอกว่า


We understand that Creative Cloud is a huge change. We want you to know that we’re listening, and we’re currently researching how we can address your concerns while still maintaining our focus on delivering the next generation of creative software. http://adobe.ly/133vruD


กดตามไปดูในลิงก์ ก็อย่างที่พอเดาได้ มันเป็นจดหมายสวยๆ จาก Adobe ที่บอกว่าเออ เข้าใจว่าว่าพวกคุณเหวอกัน (และด่ามาเยอะเกิ๊น) ตอนนี้เราได้ยินเสียงของพวกคุณแล้ว (อีห่า ฟังดูยิ่งใหญ่) และกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะนำซอฟต์แวร์แบบกล่องกลับมาขายอีกครั้ง เอ๊ะ หรือเปล่านะ ยังไม่สัญญาเท่าไหร่นะ แต่ยังไงก็ช่วยคอมเมนต์กันสร้างสรรค์ๆ หน่อยนะ


เลื่อนไปอ่านคอมเมนต์แรกก็เจอไอเดียจากคุณ Garry Clayton เลยครับ แกบอกว่าแกมีไอเดียที่จะทำให้บริษัทคุณยังได้เงินเป็นกอบเป็นกำ และลูกค้าไม่บ่นอยู่ นั่นคือแยกขายตัว Core Program ออกมาในราคาที่ไม่แพง แล้วไอ้พวกอัปเดตยิบย่อย หรือความสามารถเสริมจากแกนหลักก็แยกขายซะเลย (นึกภาพนะ เช่นมีหัวแปรงแบบเมพ ขายร้อยนึง เอาเปล่า) คนที่ซื้อจะได้ไม่บ่นว่าได้ของที่แพงเกินความจำเป็นไง


แล้วก็มีคอมเมนต์ตอบว่าฉันอยากได้แบบเต็มๆ มากกว่า แต่ช่วยแยกขายแบบจัดชุดแล้วมีโปรโมชันราคาตามความต้องการการใช้งาน ไม่เอาแบบเหล้าพ่วงเบียร์อย่างที่ผ่านมาได้ไหม


บางคนก็บอกว่าที่บ้านฉันไม่มีเน็ต จะให้เช่าใช้ (ซึ่งระบบมันจะตรวจ license ทุกเดือนเพื่อหาทางต่ออายุและดูดเงินจากลูกค้าไรงี้ใช่มะ) ก็ไม่ถนัดสิ หาทางออกให้ที


ฯลฯ


โดยรวมๆ แล้วหลายๆ ความเห็นมีจุดร่วมเหมือนกันก็คือ Adobe นั้นมีนิสัยชอบขายพ่วงครับ เป็นมานานแล้ว และจะเป็นต่อไปตราบใดที่ชุดโปรแกรมของตัวเองนั้นยังสามารถครองโลกได้อยู่ อย่างของผมที่ซื้อเป็นกล่องและบ่นไปข้างต้นก็โดนไอ้การขายพ่วงนี่มาทำให้รู้สึกอยู่เสมอว่า “ไม่คุ้มเท่าไหร่เลยแฮะ” หรือแม้คนที่คิดจะเช่าใช้ Creative Cloud ก็ต้องเจอคำถามเหมือนกันว่าเอ๊ะ ตกลงเราเป็นเจ้าของโปรแกรมพวกนี้จริงเหรอวะ เรามีสิทธิ์ใช้เฉพาะที่ตัวเองต้องการ และจ่ายเท่าที่ใช้จริงๆ ไม่ได้เหรอวะ มึงจะยัดมาให้เยอะเกินไปจนเป็นบุฟเฟ่ต์โพนยางคำทำไม


แต่พอจะแยกขายให้มันราคาถูกลงมากก็ลำบากใจเนอะ ในขณะที่แอปเปิลและไอโฟนได้ปฏิวัติวงการ ด้วยการกดราคาแอปให้มันถูกติดดินขนาด $0.99 ก็เล่นเกมดีๆ แอปเจ๋งๆ ได้สบ๊าย เลยกลายเป็นว่าโลกของซอฟต์แวร์เลยต้องโดนผลกระทบกันยกใหญ่เลย ไอ้ที่เคยขายได้ตัวละเป็นแสน วันหนึ่งก็เจอแอปที่ทำได้แบบเดียวกันมาขายในไอแพดในราคาไม่ถึงร้อยงี้


ในขณะที่โลกกำลังหมุนไปเรื่อยๆ นี้ ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไปว่า โมเดลการหารายได้จากซอฟต์แวร์แบบไหน แบบเก่า แบบใหม่ หรือแบบที่ยังไม่คลอดออกมาอีกนี้มันเวิร์กแค่ไหน


คอยติดตามกันต่อไปครับ


ป.ล.

ตัว Google นั้นก็เปิดให้เช่าใช้บริการหลายๆ อย่างเหมือนกัน แต่ที่คนไม่บ่นกันเดาว่าเพราะกูเกิลทำตัวเป็น “ผู้ให้บริการ” มาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเวลาเราจ่ายเงิน ก็จ่ายเพื่อบริการ ไม่ได้จ่ายเพื่อตัวซอฟต์แวร์นะครับ คนเลยรู้สึกโอเคและยอมจ่าย (เมียผมก็จ่ายค่าเนื้อที่เก็บจดหมายเพิ่ม)

ส่วน Microsoft ที่มีข่าวว่าจะทำ Office เวอร์ชันออนไลน์มาให้เช่าใช้หลายปีแล้วนั้น ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเสียงตอบรับจากผู้ใช้เป็นยังไง เพราะไม่ได้อยู่ในวงโคจรนั้นจริงๆ ครับ รอบตัวมีแต่คนใช้โปรแกรมทดแทน พวก LibreOffice หรือ OpenOffice ส่วนรอบนอกๆ หน่อยที่ใช้ออฟฟิศเถื่อน ก็ดูจะไม่ซีเรียสคอยอัปเกรดตาม และตัวผมเองก็เลิกใช้ไปตั้งกะสมัย Office 2000 แน่ะ ทุกวันนี้ความจำเป็นในการทำงานเอกสารทั้งหมดนั้น Google Docs + Spreadsheets ก็เพียงพออยู่แล้ว… พอมากๆ ด้วยแหละ


//อัปเดตเพิ่มนิดนึง ปรากฏว่า Office 365 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนั้นขายดีล่ะ!

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on May 29, 2013 21:32

May 28, 2013

5001


ไม่ซ้ำใช่ไหมมุกนี้ พอไม่มีมือถือแล้วตกมุกไปเยอะเลย

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on May 28, 2013 19:01