iannnnn's Blog, page 22

August 26, 2013

คุณเคยรำคาญตำรวจจราจรที่เป่านกหวีดให้รถรีบไปเร็วๆ ไหมครับ

เหตุการณ์จริงครับ เจอมาวันนี้เลย


ตำรวจจราจรชูป้ายไฟ

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 26, 2013 10:09

August 21, 2013

การลาออกครั้งล่าสุด

ที่จริงควรจะเขียนว่าการลาออกครั้งสุดท้ายตามชื่อหนังสือเล่มที่เคยซื้อมาอ่าน (อ่านรู้เรื่องแค่ครึ่งเล่มแรก ส่วนครึ่งหลังที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ กับการลงทุนนั่นไม่อินเลย อ่านอะไรพวกนี้ไม่รู้เรื่อง โง่เรื่องตัวเลข 5555)


แต่มานึกดู ใครจะไปรู้ว่านี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะอีตอนลาออกจากอาร์เอสนั่นก็คิดว่าจะเกษียณตัวเองก่อนอายุ 30 เพื่อมาทำอะไรที่บ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ได้แล้วเชียว แต่ก็ไม่ เพราะดันมีงานประจำที่น่าสนุกมากวักมือเรียกให้ไปลองทำดู


จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบๆ 2 ปี 5 เดือน การทำงานที่สามย่าน นับเป็นงานประจำในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ผมอยู่กับมันนานที่สุด นานจนตกใจตัวเองว่าเราขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า รถตู้ ซ้อนวิน ขี่แว้น (และขี่จักรยานแค่ 2 ครั้ง แต่อยากนับรวมด้วยเพราะมันพูดแล้วดูเท่) ไปทำงานซ้ำๆ กัน แบบไปสายกลับค่ำแบบนี้ได้ยังไงตั้งสองปีกว่าๆ


ถ้าไม่นับที่งานมันสนุกดี วิชาออกแบบเว็บ ออกแบบแอป ออกแบบกราฟิก รื้อระบบหน้าบ้านหลังบ้าน ปรับปรุงหน้าตา อินเทอร์เฟซนั่นนี่ และทำงานกับเทคโนโลยี มันสนุก ยิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ แล้วยิ่งสนุก เหมือนเด็กเนิร์ดจับกลุ่มคุยเรื่องสตาร์วอร์ส (แต่ผมไม่ดูสตาร์วอร์สนะ) หรือโอตาคุมาล้อมวงสนทนาเรื่องกันดั้ม (ตูก็ไม่รู้จักกันดั้มสักตัว)


สรุปว่าสามย่านเป็นบริษัทที่มีระบบนิเวศน่าอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เจอมาเลย ถึงแม้บางอย่างจะขลุกขลักไปบ้าง ซึ่งก็ควรเป็นเรื่องปกติของโลก (เช่นเว็บบริษัทที่ว่าจะทำใหม่มาชาตินึงแล้วก็ยังไม่ได้ทำซะที จนพนักงานในหน้าแรกของเว็บนั่นเปลี่ยนถ่ายย้ายเข้าย้ายออกกันไปหมดแล้ว 5555 คือที่จริงเมื่อสองปีก่อนคิดไว้ว่าพอเอาเมาส์ชี้จะให้มันนั่นนี่ แต่ก็ไม่ว่างทำซะทีเลยเอาแบบนั้นไปก่อนมาจนถึงทุกวันนี้)


แต่หลังจากพบว่าวิถีชีวิตของตัวเองนั้นดันมีปัญหากับสังคมเมือง ที่จะต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับปลากระป๋องตัวอื่นๆ บนท้องถนน ผมก็เลยตัดสินใจลาออก เพื่อจะกลับมาอยู่บ้านและซุ่มทำอะไรอยู่ในถ้ำเงียบๆ แบบที่เคยเป็นมา แต่ครั้งนั้นดันเป็นการลาออกที่ไม่สำเร็จ ซะฉิบ


ขอต๊ะเรื่องลาออกไว้ก่อนแป๊บนะ…


จนเวลาผ่านไปหกเดือน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตแค่หกเดือนมานี้ หลังจากลดเวลาทำงานบริษัทลงจนได้มีเวลาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ผมกับลูกเมียก็เวียนกลับบ้านที่เพชรบุรี เพื่อไปซ่อมบ้านหลังเก่าให้แม่ (ฟังดูเป็นคนดี… ไม่หรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเป็นพวกเดือนสองเดือนจะกลับไปหาแม่ที โทรหาก็ไม่โทร) และพอวนไปเวียนมาหลายๆ ครั้งเข้า มันก็เกิดการเปรียบเทียบแล้วครับ ว่าสำหรับมนุษย์ชิวอย่างเรา การที่ต้องทนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ มันทำให้พลังชีวิตลดลงถึงขั้นเหี้ยจริงๆ เรียกว่าชิวมิเตอร์บนหน้าอกงี้กระพริบรัวๆ เลย เทียบกับตอนอยู่เพชรบุรี มันให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนเดินโลตัส (เชี่ย แถวบ้านกูมีโลตัสแล้ว)


พอได้ลองขี่จักรยานวนไปรอบๆ ตัวอำเภอท่ายางหลายๆ ครั้งเข้า ก็รู้สึกว่ามันใช่ มันมีน้ำ มันมีคลอง มันมีเขื่อน มันมีนา มันได้อารมณ์มานี (ไม่มีแชร์) และสารพัดองค์ประกอบแห่งความชิว ที่ทำให้พลังชีวิตพุ่งขึ้นถึงขีดสุด มันคือสถานที่ที่มีแต่อณูความผูกพันส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ (ตอนเด็กผมเป็นหนึ่งในแก๊งจักรยานแบบเรื่องแฟนฉันเป๊ะๆ — อ้อ เรื่องแฟนฉันเขาก็ถ่ายทำกันที่ท่ายางนี่แหละ ดังนั้นตัวเองเลยอินกว่าชาวบ้านหน่อย เพราะโดดน้ำก็โดดที่เดียวกัน จักรยานก็ขี่ที่เดียวกัน) แม้ลองสลัดความรู้สึกโหยหาอดีตออกไป มองให้เป็นปัจจุบัน ดูการเจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปของเมืองเก่าแก่นี้ มันก็ยังรู้สึกว่าใช่


เท่านั้นยังไม่พอ มันยังไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านของผม (เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ได้ด้วย แต่คนที่เลือกดันไม่ได้ แพ้ไปล้านกว่าเสียงเอง) แต่จะแคร์อะไรในเมื่อยุคนี้ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันไม่ได้เกี่ยวกับอุปสรรคทางภูมิศาสตร์แล้ว ขอเพียงออนไลน์ปั๊บ ทุกคนก็มายืนเรียงหน้ายื่นนิ้วโป้งกดไลก์กันนัวไปหมด


เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างแข็งแรงว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นทำลายความจำเป็นของเมืองหลวงลงไปอย่างราบคาบ


แถมลงไปท่ายางครั้งล่าสุด ก็เพิ่งเอาเน็ตสิบเม็กไปติดไว้บ้านแม่อีก ให้สามารถทำงานง่ายๆ ที่บ้านวันละ 3-5 ชั่วโมงได้ในสตูดิโอหนองบ้วย (ชื่อหมู่บ้านผม โคตรงงเลย อะไรวะหนองบ้วย จะบ๊วยก็ไม่บ๊วย) และถือเป็นการเริ่มเดินเครื่องโครงการทดลองใช้ชีวิตอยู่เพชรบุรีสลับกับกรุงเทพฯ ตั้งแต่บัดนี้ไป!


แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ การจะไปสิงเนียนอยู่บ้านแม่ที่หนองบ้วยก็คงไม่เป็นการถาวรนัก (อีกสามปี ครอบครัวของพี่ชายคนโตจะมาอยู่) ผมก็เลยหารือกับเมีย และได้ข้อสรุปว่า เราจะทุบหม้อข้าวกันเฮือกใหญ่ เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบกันมาไปหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่กันแถวๆ นี้แม่งเลย (เห็นชิวๆ นี่ไมไ่ด้รวยนะครับ เพิ่งมาลืมตาอ้าปากได้หลังจากปลดหนี้บ้านพ่อตาแม่ยายหมดและผ่อนบ้านตัวเองหมดนี่แหละ แถมเราตั้งกฎของบ้านไว้ว่าจะไม่ยอมเป็นหนี้อีก ก็เลยต้องมีวินัยทางการเงินพอสมควร)


คิดได้ดังนั้นจึงฝากภาระไว้กับแม่ในการไปถามหาชาวบ้านแถวๆ บ้านเราที่ประกาศขายที่ดิน หรือที่นา (คือหาในเน็ตมันมีแต่พวกนายหน้า ซึ่งดูแล้วแพ้งแพง) ซึ่งได้ผล โซเชียลเน็ตเวิร์กของลุงๆ ป้าๆ แก่ๆ ที่อยู่นอกโลกออนไลน์ยังขลังอยู่เสมอ เราไปเจอที่ดิน 1 ไร่ ที่เจ้าของประกาศขายในราคาไม่แพงนัก อยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ชื่อ “หนองแฟบ” ซึ่งตรงตามสเป็กที่ต้องการทุกอย่างเลย ดังนี้



มีแหล่งน้ำสาธราณะใกล้ๆ 20 คะแนน (มีคลองชลประทาน ซึ่งสวยมาก ใสมาก น่าโดดน้ำที่สุด)
มีชุมชนสงบๆ 30 คะแนน (เช็กแล้วยังไม่มีเด็กแว้นหรือแหล่งค้ายาแถวนั้น)
มีสีเขียว อากาศดี มีภูเขา มีนา อารมณ์มานี 50 คะแนน (นี่เหมือนเอาแผนที่มานีมากางดูเลยแหละ)
มีเซเว่น โลตัส และอินเทอร์เน็ต 20 คะแนน (ทุนนิยมนี่มันสะดวกจริงๆ)
จุดหมายจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน บอกทางง่าย ถามกูเกิลแมปส์แล้วไม่เครียด 20 คะแนน
เกินยังวะ
มีอณูความชิวอัดแน่นอยู่ในห้วงบรรยากาศ 5,000,000 คะแนน (สรุปว่าไอ้ที่บวกๆ มาไม่ต้องก็ได้)

จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของที่ซึ่งต่อไปจะมาเป็นเพื่อนบ้านกันเรียบร้อย เรียกว่าหมดตูดอย่างสิ้นเชิงครับ


วิทยาเขตหนองแฟบ


และในที่สุด เราก็มีที่ทางเป็นของตัวเอง หนองงงงงแฟบบบบบบบ (สะกด Nong Fab ไม่ใช่ Nong Fap นะ)


เกิดหนองบ้วย โตมาเรียนท่าช้าง ซื้อบ้านอยู่ลาดปลาเค้า แล้วนี่จะไปหนองแฟบอีก แต่ละชื่อนี่นะ ดูไฮโซโก้หราพารากอนซะจริง


เลยวางโครงการในระยะสิบยี่สิบปีเอาไว้ว่า ตอนนี้เราจะอยู่ใกรุงเทพฯ สลับกับเพชรบุรี (บ้านแม่ที่หนองบ้วย) ไปก่อน ไปๆ มาๆ แบบนี้จนลูกโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว (สมัยนั้น ม.ปลายก็คงมีผัวแล้วมั้ง นี่พูดติดตลกแบบเอาจริงๆ ก็โออยู่นะ) เราสองผัวเมียจะลาออกจากกรุงเทพฯ กันเป็นการถาวร กลับไปอยู่ที่เพชรบุรี


แต่งานก็ยังทำอยู่นะ เพราะเราต้องเริ่มหยอดกระปุกกันใหม่ตั้งแต่แรกเลยอีกครั้ง โชคดีที่วิธีการหาเงินของเราสองผัวเมียมันถูกออกแบบมาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่า จะต้องเป็นงานที่ทำที่ไหนก็ได้ เลยสะดวกหน่อย (เมียเปิดร้านเดรสนลินฟ้ากับแม่ยาย ส่วนผมกำลังจะเทกกิจการสกรีนเสื้อโมนามาเฟีย แหะๆ .. แล้วก็รับออกแบบ ทำเว็บ ดีไซน์นั่นนี่หนุกๆ) เมื่อไหร่อยากได้ตังค์ขึ้นมาก็ทำงาน ทำกันซื่อๆ นี่แหละ ไอ้พวกการลงทุน หรือไปยุ่งกับตัวเลชยากๆ อย่างหุ้นเหิ้นนี่เล่นไม่เป็น ไม่เอา ไม่ชิว ไม่ใช่แนว ด้วยเหตุผลนี้มั้ง ก็เลยอ่านหนังสือการลาออกครั้งสุดท้ายครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง


ก็เนอะ มนุษย์แต่ละคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ถึงจะเรียกร้องให้แต่ละคนเสมอกัน แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่สร้างเรามาให้เกิดมา มีรสนิยม ต่อสู้ปัญหา และใช้ชีวิตต่างๆ นานาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นโลกคงน่าเบื่อแย่เลย


ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณบริษัทสามย่าน ขอบคุณกรุงเทพฯ ขอคารวะความอดทนของมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน


เออ พอพูดถึงลาออก เลยขอกลับมาเรื่องเดิม ผมเพิ่งยื่นใบลาออกอีกครั้งเมื่อวานนี้ พี่อาทเข้าใจในความขี้เกียจของเรา คราวนี้เลยอนุมัติ ปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งสล็อธแมนให้เป็นอิสระเสียที แต่ถ้ามีงานอะไรก็โยนมาให้ทำได้นะะะะ ถึงจะชิ่งไปแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ตังค์อยู่นะะะะ


ป.ล.

ตอนถ่ายภาพแต่งงานผมมาถ่ายที่นี่ด้วย ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่จริงๆ 5555


nongfab


ป.อ.

ระหว่างที่เขียนบล็อกอยู่นี้ก็เพื่อรอคิวของสำนักงานที่ดิน… พอได้รู้ศัพท์ในวงการที่ดินว่า “หยอดน้ำมัน” (ยัดใต้โต๊ะ) เพื่อให้ดำเนินการเร็วขึ้นจากปกติที่ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดที่ดินแบ่งขายอะไรแบบนี้ มันต้องรอคิวประมาณสี่เดือน! ผมถึงกับสบถออกมาด้วยชื่อสัตว์เลื้อยคลานหนึ่งพยางค์ ใช่ครับ — เต่า (บ้า ใครจะไปด่าระบบราชการว่าเหี้ยล่ะ ไม่มีหรอกครับ ใช่ไหม ไม่มี้)


ป.ฮ.

ไว้ใครมาเที่ยวเพชรบุรี หรือท่ายาง บอกด้วยนะครับ จะพาไปปั่นจักรยานชมวิวแถวๆ หนองแฟบ-ตาลกง ชิวระดับแปดแสนริกเตอร์ คือภาวนาอย่าให้มันดัง อย่าให้มีรีสอร์ตอะไรมาเปิดเหมือนเชียงคาน เหมือนปายเล้ย เพี้ยงงงง

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 21, 2013 22:55

August 9, 2013

พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

เอาจริงๆ คือผมอยากไปเองนั่นแหละ อยากรู้ว่ามันจะเจ๋งจริงไหม เพราะเคยไปแต่หว้ากอ อ่าวคุ้งกระเบน อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็มีปลาแปลกๆ ให้ดู แถมด้วยอุโมงค์ใต้น้ำ ก็ถือว่าใช้ได้นะครับ แต่มันเป็นสถานที่ของทางราชการ เลยมีบรรยากาศที่มันราชก๊ารราชการอยู่บ้าง ก็อยากรู้มานานแล้วว่าแบบเอกชนมันเป็นยังไง ก็เก็บค่าเข้าแพงขนาดนั้น


พอเห็นว่าอีตู้กดโปรโมชันบัตรกระต่ายของบีทีเอสเขามีส่วนลด (40% แน่ะ ผู้ใหญ่เหลือ 240 บาท ส่วนเด็กสูงไม่ถึง 80 เซ็นต์เข้าฟรี — นิทานสูง 79 ละ) ผมเลยลองเปิดบล็อกของคนนั้นคนนี้ที่เคยไปสมัยมันเปิดตัวใหม่ๆ ก็พบว่าน่าสนใจ แถมลูกกำลังโตได้ที่ พอที่จะสนใจอะไรแบบนี้ และเหมาะกับการไปเที่ยวครั้งแรก (เอาไว้โตกว่านี้เยอะๆ แล้วค่อยไปอีกที ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาก่อนรอบนึง)


ที่สำคัญคือลูกสาวผมเป็นเด็กที่บ้าปลามาก รู้จักและเรียก “ปลาๆๆๆ” ได้ก่อนเรียกพ่อแม่มันอีก (เป็นสัตว์ที่ตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอ พอๆ กะนก ไว้ว่าจะไปสวนนกชัยนาทอีกที)


ก็เลยไปมาวันนี้ครับ ดูภาพกันเลยนะ


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ตอนแรกผมไปคุยงาน ส่วนเมียพาลูกไป TK Park พอคุยเสร็จก็แวะไปรับลูกเมีย ที่จริงนิทานก็ฟินไปรอบนึงละกะดงหนังสือ (นอกจากบ้าปลา บ้านก แล้วก็บ้าหนังสืออีกด้วย)


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

กินข้าวกันที่ร้านญี่ปุ่นสักร้าน จำชื่อไม่ได้ อยู่บนเซ็นทรัลเวิล์นั่นแหละ ไม่อร่อยเลย


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ตัดภาพมาที่สยามโอเชียนเวิลด์เลยนะครับ มันอยู่ใต้ดินพารากอน ถ้าลงบีทีเอสก็ให้ลงฝั่งที่เป็นโรงหนัง แต่แทนที่จะขึ้นก็ลงกระไดไปแทน สถานที่ใหญ่โตกว้างขวางพอสมควรเลยแหละ สัดส่วนนักท่องเที่ยว มีคนไทยประมาณ 3 คนได้ นอกนั้นฝรั่ง ญี่ปุ่น อินเดีย จีนหมดเลย ถือเป็นน่านน้ำสากล



พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

พอนิทานซึ่งกำลังง่วงจะหลับแหล่มิหลับแหล่ได้เห็นปลาเข้า ก็พลังงานเต็มเปี่ยมทันทีครับ ร้องปลาๆๆๆ ตลอดทาง


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

นอกจากปลาก็มีสัตว์อื่นๆ เยอะแนะเลยครับ อ้อ ที่จริงตรงทางเข้าเขามีปูยักษ์ (แบบที่เรียกว่า King Crab น่ะครับ ตัวใหญ่มาก กางเขนออกมาก็เป็นเมตรเลย อร่อยด้วย) อยู่ในตู้ใหญ่ แต่ไม่ได้ถ่ายมา คือลืมไงว่าควรถ่ายซะหน่อย ต่อมสลิ่มยังไม่ทำงาน แถมนิทานดันกลัวปูของจริงอีก ทีโมเดลยักษ์ข้างหน้าล่ะไม่กลัว


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ก็จะมีตู้เล็กตู้น้อยไล่ไปเรื่อยๆ พอเข้าด้านในก็มืดๆ สลัวๆ นิทานเห็นไฟหมุนๆ ก็ไปเต้นทันที คือลูกผมชาติก่อนเป็นโคโยตี้น่ะครับ


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ถัดไปเป็นตู้กลมๆ ข้างในมีหอยคล้ายๆ แอมโมไนต์ แต่มันคืออะไรไม่รู้ ไม่ได้ดูป้าย พอดีลูกกำลังบ้าพลังวิ่งไปรอบๆ ต้องช่วยกันจับ เลยเป็นนักท่องเที่ยวนิสัยเสียที่ดูส่งๆ แต่ไอ้ตัวนี้ผมกรี๊ดมากนะครับ ไม่รู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ คิดว่าตายห่าไปหมดแล้ว (แต่ก็ดันไม่ได้ดูชื่อว่าคือแอมโมไนต์หรือเปล่า)


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

แน่นอนว่ามาดูปลาๆๆ ก็ต้องมีปลาๆๆ อันนี้เป็นตู้ใหญ่เลยครับ ปลาที่เห็นนั่นตัวใหญ่เลยนะ ตัวนึงเอามาทำต้มยำคงได้สัก 6 หม้อ


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ฝูงปลาทั้งไหลและไม่ไหลกำลังชุมร่วมนุมกอสสิปข่าวดาราแย่งผัวกันอย่างสนุกสนาน


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ทาโกะยากิตัวเป็นๆ ใหญ่มาก เอาแค่ไอ้ตัวจุ๊บกระจกนั่นก็เท่าฝาพริงเกิลส์แล้ว


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

ปลาสิงโต เป็นปลาที่ต้องมีทุกพิพิธภัณฑ์ใต้ทะเล เพราะมันดูอลังการเหมือนกะเทยเต็มยศตามงานลอยกระทงมหาลัย


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

แต่ตัวนี้ (จำชื่อไม่ได้ เลวจริงๆ) ดันเป็นกะเทยควาย เลยอายๆ เอาทรายกลบตัว หลบอยู่อีกตู้เงียบๆ


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์


ลืมไปแล้วว่าโฆษณา “ม้วนหางสิลูก” มันคือโฆษณาอะไร รู้แต่เกิดทัน แต่ไม่ยอมรับ


พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์

พันธุ์นี้มีเขาด้วย ท้องป่องด้วย


เออใช่ๆ มันมีไอ้ตัวที่คล้ายๆ ม้าน้ำอีกพันธุ์นึง เรียกว่า “มังกรทะเลวี้ดดี้” (Weedy Sea Dragon) ซึ่งเท่มาก รักมาก ยืนส่องนานมาก แต่เขาไม่ให้ถ่ายรูป (แต่มีอีทัวร์จีนคนนึงไปยืนแชะเฉยเลย เปิดแฟลชด้วย อีห่า) หน้าตาผิวพรรณมันเป็นอบบนี้ครับ



เดี๋ยวหน้ามันยาวเกิน หั่นไปหน้าสองดีกว่า..

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 09, 2013 10:13

August 7, 2013

คุณสุภาพบุรุษหลายท่านอาจเคยประสบปัญหาแบบนี้

image


แน่นอนครับ เขียนในส้วมจากเหตุการณ์จริง

คือถ้าห้องน้ำกว้างๆ นี่ ปัญหานี้จะหมดไปเลยนะ แต่นี่มันแคบ ตดเอยขี้เอย เสียงงี้กระหึ่ม กลิ่นก็ไม่ไปไหน ขอทำตัวนิรนามซะหน่อยเพื่อความสบายใจในการขี้ครับ

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 07, 2013 06:05

July 24, 2013

ทดลองเล่น Leap Motion

ก่อนอื่นขอแนะนำก่อนว่าไอ้เจ้า Leap Motion นี่มันคืออะไร แต่ขี้เกียจอธิบาย ดูคลิปเอาละกันนะ



พอดีพี่อาท (@chaiyosart) เจ้าคณะแห่งสามย่าน แกซื้อไอ้เครื่องนี้มาตามที่ผมเคยง้องแง้งอยากได้อยากเห็นอยากเล่นอยากจับมาตั้งกะปีที่แล้ว แต่ของมันยังไม่ขายซะที (มีแต่รุ่นสำหรับนักพัฒนา ซึ่งไอ้เราก็ไม่ใช่) คือตอนเห็นครั้งแรกนี่ตื่นเต้นมากครับ เพราะมันดูเจ๋งมากในราคาแค่ประมาณ 2000 บาท (พอๆ กะเมาส์แอปเปิล!) คือถ้ามันผลิตเสร็จพร้อมขาย และเกิดฮิตขึ้นมา หรือแอปเปิลไม่ก็กูเกิลซื้อกิจการเอาไปทำนั่นนี่ต่อ รับรองว่าโลกเราจะไม่เหมือนเดิม และเมาส์ก็จะกลายเป็นไดโนเสาร์ไปเลย (นี่เอามาจากท็อปคอมเมนต์ใต้คลิปนะ)


แล้วอยู่ดีๆ เมื่อเช้า พี่แกก็เดินเอากล่องใส่ของเล่นชิ้นนี้มาวางไว้ แล้วบอกให้เอาไปเล่นให้ที อ้าว ก็เสร็จโจรสิครับ


ทีแรกว่าจะถ่ายตอนแกะกล่องแต่ก็ไม่ได้ถ่าย (แต่ก็มีอวดบน Google+ นะ) ก็เล่นที่ออฟฟิศไปแล้วรอบนึง แล้วพอดีจิ๊กกลับมาลองที่บ้าน (ยังไม่ได้ขออนุญาตด้วย น่ารักจริงๆ) เลยลงโปรแกรมในคอมที่บ้าน แล้วลองต่อเล่นอีกที


เพื่อให้เข้าใจง่ายและขี้เกียจพิมพ์ยาวๆ เพื่ออธิบาย ขอให้พี่น้องทุกท่านจงดูคลิปนี้ครับ เป็นการแกะกล่องออกมาและติดตั้งโปรแกรม รวมถึงการกดๆ ดูว่าใน Airspace (ก็คือ AppStore ของ Leap Motion) เขามีอะไรบ้างคร่าวๆ



และต่อไปนี้จะเป็นการอวดครับ อย่าเรียกว่ารีวิวเลย เรียกว่าอวดดีกว่า


Leap Motion


ตัวเครื่องหน้าตาเป็นงี้ กว้างประมาณยางลบ ยาวเกือบเท่านามบัตร และหนาเท่าการ์ตูนค่ายเนชั่น ด้านหน้าเป็นตัวรับสัญญาณ



เขาว่ามันจะรับสัญญาณเป็น “ทรงกรวย” เหมือนมีโคนไอติมที่มองไม่เห็นคอยดักจับการเคลื่อนไหวของวัตถุที่โฉบไปโฉบมาเหนือเซ็นเซอร์ ซึ่งจับได้ละเอียดยุบยิบโดยเฉพาะวัตถุที่หน้าตาคล้ายมือเราเนี่ยแหละ แต่เท่าที่เล่นๆ นี่ มันรองรับมือได้สองข้าง อย่างละเอียดและไม่มีหน่วงเลยนะ แปลกดี ทำได้ไง กินอะไรถึงได้โตมา



พอลงโปรแกรมเสร็จแล้วมันก็จะมีแนะนำนั่นนี่ ออกมาเป็นกราฟิกง่ายๆ เห็นแล้วเข้าใจเลยว่าแบบนี้


สุดท้ายก็ลองมาดูกันครับว่าจะเล่นมันยังไง ทีแรกว่าจะจับภาพให้ดูเยอะๆ แต่คิดดูอีกทีถ้าอธิบายไปคืนนี้คงไม่ได้อ่านการ์ตูนกันพอดี เลยถ่ายเป็นคลิปแม่งเลยละกัน (ขออภัยที่วันนี้เจมส์จิไม่ค่อยสบายครับ เลยหน้าตาดูอิดโรยนิดนึง)



โดยสรุปคือ มันทำได้อย่างที่คุยจริงๆ ครับ เพียงแต่โปรแกรมที่รองรับยังไม่เยอะ (แถมพอจะกดซื้อแอปนึงในนั้นมันก็ดัน error เลยไม่ได้เสียตังค์) แต่ทั้งนี้เขาก็เปิดให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เข้ามามีส่วนร่วมเยอะๆ เผื่อต่อไปการร่ายรำอยู่หน้าจอจะได้ฮิตติดลมบนกะเขาบ้าง วงการที่ได้ประโยชน์ที่ได้จากการร่ายรำแบบนี้ก็คงเป็นพวกเกม หรือวงการแพทย์ หรือพวกงานอีเวนต์เปิดตัวนั่นนี่ก็น่าจะมีไอ้เจ้านี่ไปให้ผู้ร่วมงานมาเล่น แบบเดียวกับที่ Wii และ Kinect เป็นพระเอกอยู่ในทุกวันนี้


เพียงแต่ระยะทำการมันจะแคบหน่อยนะ อาจจะต้องนั่งเบียดๆ แนบๆ กับน้องพริตตี้นิดนึง

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on July 24, 2013 10:11

July 22, 2013

พุทธศาสนาที่ข้าพเจ้ารู้จัก

เขียนก่อนนอน จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจ ตั้งชื่อหัวข้อเหมือนจะกว้างและมีประเด็นเยอะแยะแหลมคม แต่ไม่หรอก แค่บ่นๆ ตื้นๆ เหมือนเดิม


พอดีวันนี้วันอาสาฬหบุชา แม่ยายและครอบครัวเมียพร้อมน้องเมียก็ขับรถพากันไปที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี (เป็นวัดที่สวยและมีหลวงพ่อจรัญเป็นดิ ไอดอล)


แล้วแบบ คึกครับ ไม่ได้เข้าวัดหรอก แต่หยิบจักรยานพับท้ายรถไปปั่นดูบรรยากาศแถวนั้น (แน่นอนว่าขี่ไป จอดไป ถ่ายรูปสลิ่ม และโพสต์ขึ้นบล็อกตีนใหม่หัดปั่นไปด้วย)


บรรยากาศโคตรดีเลยครับ ดีทั้งในวัด และนอกวัด ที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาตีคู่กับถนน ทุ่งนา และคันคลอง ปั่นไปชิวไปตลอดทาง แม้จะเป็นช่วงเพลที่ร้อนโคตรๆ


เลยนึกได้ว่า เออ เราแม่งไม่เข้าวัดว่ะ นี่ขนาดวันพระขนาดใหญ่แล้วนะ แถมมาถึงวัดที่เจ๋งระดับนี้แล้ว เลยลองสำรวจอคติที่ตัวเองมีต่อศาสนาพุทธดูว่าทำไม


แน่นอนว่าคงไม่พูดถึงกรณีพระปลอม พระกาก พระเดนที่ทุกคนแม่งรู้กันหมดแล้วว่ามี แต่ทำอะไรได้หรือเปล่า หรือทำแล้วจะส่งผลอะไร ตัดปัญหา แก้ปมมารศาสนาได้ไหม นั่นเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของผม


ไอ้ที่เกี่ยวจริงๆ คือมันส่งผลกระทบต่อผมโดยตรง เช่นเวลามีคนชวนไปทำบุญ ปล่อยนกปล่อยปลาปล่อยหมาแมว ทำไมกับบางคน บางวัด จึงรู้สึกอึดอัด ก็พอจะนึกได้ดังนี้ ว่า


ผมไม่ชอบเลย เวลาคนมาทำบุญแล้วต้อง “ได้” บุญ


ถึงพระเท่ๆ อย่างสายท่านพุทธทาส (ซึ่งผมว่าโอเคสุดๆ แล้ว) จะบอกว่า “ทำดี ดี!” (ไม่มีคำว่าได้) ซึ่งเฮ้ยมันเท่มาก คุณจะไปโยงเหตุโยงผลอะไรแล้วเอามาเหมาเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ผลบุญ หรือศัพท์แสงอะไรที่จะบอกว่าการเอาตังค์ไปถวายวัดหนึ่งร้อยบาทแล้วจะส่งผลให้เรามีหน้าที่การงานที่ดี หรือชีวิตสุขสบาย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อะไรนั่น … ก็บอกเลยว่าไม่เชื่อ


แล้วก็ต้องขอขัดขาไว้ก่อนว่า “ยังงี้มึงก็เลวสิ”


โน้ๆๆๆ


คือมันจะมีระบบความคิดประหลาดๆ ที่ชอบกีดกันคนอื่นที่ไม่ได้เห็นด้วยกับเราให้เป็นคนอื่นเนี่ย คือผมโอเคกับการทำดี ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีนิยามความดีแตกต่างกันออกไป จะสมาทานเป็นของตัวเอง หรือพยายามโน้มน้าวคนอื่นให้เชื่อว่าหลักเกณฑ์ความดีของตนนั้นมันถูกต้องสมควร ก็ว่ากันไป


แต่ผมเชื่อว่า “ความดีมันเป็นค่าสัมพัทธ์” (เคยกล่าวไปแล้วในบล็อกเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งบล็อกพังไปแล้ว) ที่เกิดจากคนหนึ่งทำกับสิ่งหนึ่ง แล้วแต่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กใหญ่ หรือส่งผลกระทบอะไรต่อไป เสียดายคืนนี้ง่วงแล้วเลยไม่ได้อธฺบายซ้ำว่าไอ้ทฤษฎีความดีสัมพัทธ์น่ะมันอะไรยังไง แต่น่าจะพอเดากันออกเนอะ ขี้เกียจเขียนซ้ำ


ฉะนั้นเมื่อผมมีอคติกับนิยามของความดีแบบที่เห็นต่อหน้าต่อตาบ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการกอบโกยหรือคาดหวัง “ผลตอบแทนจากการทำบุญ” ผมจึงไม่ให้เงินขอทาน ผมจึงไม่ทำบุญกับวัด ผมจึงขี้เกียจนั่งฟังพระเทศน์เป็นภาษาต่างประเทศที่ตัวเองไม่เข้าใจ หรือพิธีกรรมแบบไทยๆ (ไม่ใช้คำว่าพุทธ) ที่ดูไม่เห็นจะจำเป็นเลย รวมถึงพฤติกรรมอื่นๆ ที่ดูแล้วไอ้นี่แม่งมารศาสนาแน่ๆ


แต่ผมเชื่อว่าไอ้การทำแบบนี้มันก็ไม่ได้ชั่วหรอก เพราะเชื่อว่าไอ้ที่ตัวเองทำ และเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันก็เป็นความพยายามจะดีอยู่ไม่น้อย เรียกว่าค่อนข้างเนิร์ดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมยังเป็นคนหัวเก่าที่คิดอะไรแบบเก่าๆ ยังประทับใจเวลาเห็นคนทำอะไรดีๆ (ที่เป็นนิยามความดีในแบบสากล ฝรังเขามีศัพท์ด้วย แต่จำไม่ได้ ถึงจำได้เอามาเขียนในวงเล็บตรงนี้ก็ไม่ออกสอบ)


เพียงแต่มีอคติที่รุนแรงต่อการโปรโมตเรื่อง “ผลบุญ” ที่ตัวเองไม่เชื่อเอาเสียเลยเท่านั้นแหละ


สำหรับเรื่องวัดวา ผมก็เหมือนหลายๆ คน (ไม่ได้เหมารวม แต่แค่จะบอกว่าตัวเองก็ไม่ได้แนวอะไร) คือเกลียดวัดที่ทำตัวเป็นสถานที่ปลุกเสก เกลียดพระ (อ้าว ไหนบอกจะละไว้) ที่ทำตัวเป็นนักธุรกิจ รู้ว่ามันต้องมี และมันต้องขับเคลื่อนอะไรต่ออะไร แต่ถ้าเลือกได้ก็จะไม่ข้องเกี่ยวเลย ปล่อยให้คนที่เชื่อเขาเชื่อไป เราไม่ได้ไปโดดขวางเขา แต่เราแค่ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยเท่านั้นแหละ


แต่บางทีจะบอกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ลำบาก เพราะมันจะมีหลายๆ เคสที่ความเชื่อของแต่ละคนมันจะมีโอกาสมาไฝว้กันบ่อยๆ (แค่นึกภาพช็อตที่มีญาติโยมชวนไปนั่งสมาธิที่วัด X นี่ก็ถือเป็นความอึดอัดแล้วนะ) และเราไม่สามารถใช้ชีวิตแบบหลีกเลี่ยงการโคจรผ่านก้อนความเชื่อของคนอื่นๆ ออกไปได้ อย่างการนับถือสิงศักดิ์สิทธิ์ (ไม่เชื่อโซ้ย) ความเป็นสิริมงคล (ไม่เชื่อโว้ย) ผีสางเทวดา หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ (ไม่เชื่อโว้ยยยยย) และป่วยการที่จะมาอธิบายว่าไอ้พวกนี้ไม่ได้เรียกว่าพุทธเลยเหอะ ดังนั้นก็ลำบากน่อย แต่ก็โอเค


ขนาดไปวัดเจ๋งๆ อย่างวัดหลวงพ่อจรัญ แต่ประตูเข้าวัดยังมีพ่อค้าแม่ค้าจับเต่าเผือกมาใส่กะละมังโชว์ให้คนมาทำบุญ หรือมีตาลุงจูงช้างเด็ก (เด็กมาก) มาให้คนจ่ายเงินให้อาหารมันเลย หรือแม้แต่ของวัดเองยังมีท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผ้าเจ็ดสีพันไว้รอบๆ พร้อมชุดนางรำสารพัด ทำเป็นเพิงใหญ่ๆ เลยนะ เห็นแล้วก็เออ หลวงพ่อท่านคงปรามไม่หมดจริงๆ แล้วก็คงเซ็งๆ ด้วยแหละ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเหตุผลคล้ายๆ กับที่ว่าไว้ข้างบน (อันนี้ไม่ได้มโนเอาเอง อ้างอิงจากประวัติรูปปั้นหลวงพ่อโตในวัด ที่เขียนบอกไว้ว่า คนนั้นคนนี้ก็ฝันว่าหลวงพ่อโตมาบอกให้สร้างรูปปั้น แต่หลวงพ่อจรัญไม่เชื่อ แต่ก็ทานไม่ไหว โดนบิ๊วจนยอม อะ สร้างก็สร้าง ในเขียนดุไว้ในแผ่นป้ายด้วยว่าเป็นสมภารที่ดื้อ แต่สรุปก็ต้องยอมๆ ไป)


ในเมื่อศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ การที่หัวใจจะไปยึดเหนี่ยวกับอะไรทั้งที มันก็ต้องเท่ๆ หน่อย ไม่ใช่แบบ อะไรวะ มึงอีกแล้ว งมงายอีกแล้วงี้


โอ๊ย เขียนแล้วก็ด้น วกวนจับประเด็นไม่ได้เลย แต่ก็เอาเหอะ


มาขนาดนี้แล้วต้องบอกไหมว่าเป็นความคิดเห็น(อคติ)ส่วนตัว

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on July 22, 2013 11:37

July 10, 2013

ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนทำรายการเพื่อเรา


ทำไมต้องขยัน?


เมื่อยังเด็กเราคงจะได้ยินคนบอกอยู่เสมอว่­าให้ขยัน เมื่อทำงานบางทีเราขยันไปเองโดยไม่ต้องมีใ­ครมาบอก แต่เราเคยตั้งคำถามกันไหมว่า ‘ทำไมเราต้องขยันกันขนาดนี้ และเรามีสิทธิ์ที่จะขี้เกียจกันบ้างไหม’


วัฒนธรรมชุบแป้งทอดอยากจะชวนคุณผู้ชมไปสำร­วจดูว่า ในสังคมปัจจุบัน ความขยันและความขี้เกียจมีหน้าตาเป็นอย่าง­ไร ความขยันและขี้เกียจเป็นเรื่องส่วนตัวจริง­หรือ ทำไมเราจึงถูกสอนให้ขยันตลอดเวลา คนในสังคมอื่นขยันเหมือนเราหรือไม่ และทำไมคนบางคนถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะขี้เกีย­จ


ร่วมทำความเข้าใจ สังคมแห่งความขยันกับ รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, คุณ พลอย จริยะเวช นักเขียนผู้เห็นคุณค่าของการหยุดพัก, และคุณจิตร์ ตัณฑเสถียร ศิษย์หมู่บ้านพลัมที่มองเห็นความศักดิ์สิท­ธิ์ของวันขี้เกียจ


ออกอากาศพุธที่ 10 ก.ค.นี้ 20.20 น. ทางไทยพีบีเอส


นี่สินะที่ต้องเรียกว่า “น้ำตาจะไหล ขอแชร์นะคะ”


ป.ล.ถ้างง อ่านย้อนตอนเก่าได้ครับ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on July 10, 2013 08:25

June 30, 2013

สวัสดีกล้องใหม่ Olympus E-P5

(คำเตือน: นี่คือบล็อกตอนที่ว่าด้วยกิเลสและทุนนิยม)


(เตือนอีกที: นี่ไม่ใช่รีวิวกล้องนะครับ แต่ถ้าใครสนใจจะถามอะไรเชิญที่คอมเมนต์ครับ ถ้าพอตอบได้ก็จะตอบจ้ะ แต่อย่าหวังคำตอบแนวน้าๆ นะ)


สวัสดี E-P5


ผมวางโครงการเปลี่ยนกล้องมาหลายเดือนแล้วครับ ตั้งใจว่าจะเกษียณเจ้า GF1 กล้อง mirrorless สีแดงแปร๊ดที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน คือเรียกว่าเป็น “ของเล่น” ที่ใช้ทำมาหากินควบคู่กันไปด้วย (ใช้ถ่ายแบบแฟชันของร้านนลินฟ้าครับ ทำสตูดิโอถ่ายกันบ้านๆ นี่แหละ แต่ก็ช่วยให้ครอบครัวเรามีตังค์ซื้อข้าวกินทุกวันนี้) ใช้มาจนตรงนั้นขัด ตรงนี้สนิม แต่ยังถ่ายภาพได้ดีอยู่ โดยที่รู้สึกแค่ว่าคุณภาพของภาพถ่ายในระยะสามสี่ปีหลังจากการเกิดมาบนโลกของ GF1 เนี่ย มันน่ามีอะไรพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากๆ แล้ว และเทคโนโลยีที่เคยราคาแพงในสมัยนั้น ก็น่าจะปรับราคาลงจนเราเอื้อมถึงได้ ทำให้การถ่ายรูปเล่นและใช้ทำงานไปด้วยก็คงจะสะดวกมือขึ้นนะ


โจทย์ที่วางเอาไว้ก็คือ กล้องตัวต่อไป ต้องถือแล้วดูหล่อ อวดความเป็นสลิ่มได้เต็มที่ แต่ไม่เอากล้องใหญ่ๆ หนักๆ ที่พกยากนะ คือเลิกคบ DSLR ขายทิ้งหมดตั้งแต่สมัยที่เจอ GF1 แล้วหลงรักนั่นแหละ


ส่วนประเด็นรองคือความเก่งของกล้อง ตามสเป็กที่โอตาคุและน้าๆ เขาชอบเอาตัวเลขนั่นนี่มาข่มกัน คือมีอะไรที่ดูเลขเยอะๆ ได้ก็ดี แต่ไม่ได้สนใจจะเน้นมันเท่ากับประสบการณ์การใช้งานที่ดี (เป็นนิสัยของพวกคนทำงานออกแบบรึเปล่าวะ)


ถ้าให้เรียงลำดับความสำคัญก็จะได้ สวย > นิสัยดี > เก่ง


หลังจากอ่านนู่นนี่อยู่นาน ก็มาชอบ E-PL5 สีขาวขอบน้ำตาล เพราะมันดูตุ๊ดๆ ดี (ผมชอบใช้ของที่มันดูตุ๊ดๆ ครับ) และน่าจะใช้กับเลนส์เก่าของเราได้ด้วย แต่พอไปดูของจริง แม่งไม่สวยอย่างที่เห็นในเว็บเลย บายนะ นี่ยังไม่ได้ดูสเป็กใดๆ ทั้งสิ้น แต่บายไว้ก่อนละ


พอได้ติดตามฟีดข่าวจากเว็บกล้องและวงการภาพถ่ายบ่อยๆ (ของฝรั่งนะ ของไทยไม่รู้เขาดูกันที่ไหน) ก็ได้เห็นการเปิดตัวของกล้องที่เห็นแล้วกรี๊ดเลย คือใช่เลย ดีไซน์นี้แหละ มันคือ Olympus E-P5 ต้องสีเงิน-ดำด้วยนะ ถึงจะดูแคลสสิก ถูกใจมาก บ้าคลั่งมาก ขนาดตอนที่ไปญี่ปุ่นในช่วงเดียวกับที่มันกำลังจะวางขาย (เออ ยังไม่ได้เขียนบล็อกเล่าเลยนี่หว่า) ก็ออกตามหาเพื่อจะหิ้วกลับมาไทย และก็พบว่ามันยังไม่วางขาย เลยกลับบ้านแบบหงอยๆ พร้อมโบร์ชัวร์ภาษาญี่ปุ่นที่มีแต่ข้อมูลและภาพตัวกล้อง ไม่มีของติดมือมาจริงๆ


จนพอเวลาผ่านไปไม่นาน ได้คุยกับคนนั้นคนนี้ ปรึกษาทั้งมนุษย์ตัวเป็นๆ และมนุษย์ที่แปลงสภาพเป็นตัวอักษรในจอคอมพิวเตอร์แล้ว (คุยกับคนนี้ด้วย!) ก็ได้ตัวเลือกระดับสุดยอดมา 2 ตัวที่กินกันไม่ลงจริงๆ นั่นคือ Fujifilm X-E1 และ Olympus OM-D EM5 ซึ่งมีข้อดีข้อด้อยต่างๆ กันออกไป ใครจะมีวิธีตัดสินใจยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผมใช้เกณฑ์พิจารณาด้วยรสนิยมส่วนตัวต่อไปนี้



X-E1-vs-OM-D


โดยสรุปคือ ฟูจิไฟล์โคตรสวยกว่า, ราคาถูกกว่า(เมื่อขายเลนส์ไปซะ), เทคโนโลยีในการใช้งานกล้องเก่ากว่า, ความสามารถน้อยกว่า, แต่หน้าตาน่าจะดีกว่าโอลิมปัสที่ผมไม่ชอบยอดพีระมิดของมันเลย


ทั้งสองตัวก็มีดีมีด้อยต่างกันไป เรียกว่าคนละสายกัน ที่แน่ๆ คือผมเลือกไม่ถูกจริงๆ ถึงขนาดตื่นก็คิด นอนก็คิด ว่ากูจะฟันธงยังไงดีว้า ยิ่งถามใครก็ได้ความเห็นแตกเป็นสองฝ่ายที่น้ำหนักเท่าๆ กัน มันเหมือนขั้วการเมืองเลยครับ กินกันไม่ลง อยู่ที่ใครจะรสนิยมและวิถีชีวิตเป็นแบบไหน ผมก็เลยตัดสินใจว่า วันนี้แหละ (30 มิ.ย.56) จะไปงานมหกรรมสินค้าดูดเงินพ่อบ้านที่พารากอน ที่เขาว่ามีโปรของค่ายกล้องเอามาลดแข่งกันในงานด้วย (ชื่องาน Electronica Showcase 2013)


ไปถึงงานก็พุ่งไปหาโอลิมปัสก่อนเลย เพื่อดูหน้าตา OM-D ว่าตัวเป็นๆ มันสวยไหม และราคาจริงๆ คือเท่าไหร่ ก็ได้รู้ว่า “หน้าตาแม่งไม่ถูกจริตจริงๆ” แต่ราคานั้นกลับถูกกว่าที่คิด คือหลังจากหักส่วนลดนั่นนี่แล้ว มันจะเหลือไม่ถึงสามหมื่นห้า แถมยังได้เลนส์มาตัวนึงที่ขายทิ้งได้สักหกพัน


ส่วนฟูจิที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผมแวะไปดูแป๊บเดียว พนักงานไม่สนใจ เห็นเราแต่งตัวแว้น คือแว้นจริงๆ ไม่ได้ดูเหมือนคนที่พร้อมจะจ่ายเงินเลย (ผมชอบแต่งตัวงี้เวลาจะซื้อของ จะได้รู้ว่าคนขายใส่ใจไหม ถามตอบรู้เรื่องไหม แต่เอาเข้าจริงเราศึกษาข้อมูลทางเทคนิคมามากกว่าพนักงานขายแน่ๆ อันนี้กล้าปากดีอวดได้เลย) แต่พอลองเล่นก็พบว่า เออ ตัวกล้องมันไม่ค่อยสวยเลยว่ะ..


สรุปคือรู้สึกเฟลนิดๆ ที่เราดันเลือกความสวยเป็นที่ตั้ง แล้วคู่แข่งทั้งสองดันทำให้ผิดหวัง


แต่แล้วคดีก็พลิก


เพราะพอเดินผ่านไปอีกมุมของโอลิมปัส ก็ไปเจอกล้องตัวใหม่ที่หน้าตาคุ้นๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเห็นมันตามบล็อกข่าวลือกล้อง mirrorless แล้วกรี๊ดคาจอมาตั้งนานแล้วนี่หว่า


เฮ้ย E-P5!


มาครบทุกสีและทุกออปชันเลยนะครับ คือทุกอย่างดูดี สวยงาม และความสามารถตอบโจทย์ที่เราต้องการได้หมดเลย แต่เราเลิกหวังกับมันไปแล้วเพราะใครๆ ก็เรียกมันว่า อีแพง แต่เอ๊ะ มันเข้าไทยแล้วเรอะ เอ๊ะ ดูราคาโปรโมชัน มันก็ 35XXX บังคับขายพร้อมเลนส์คิด 14+42 ตัวนึงที่ราคาปล่อยต่อมันอยู่ที่ 3000 บาท พร้อมบัตรเงินสดที่เอาไปช็อปปิ้งได้อีกพันนึง แถมกระเป๋า แถมเม็ม 32 กิ๊ก… บวกลบดูแล้ว เออ มันก็ไม่ได้ต่างจากอีสองตัวที่ตบตีกันมาตั้งนานนี่หว่า


แต่ แต่


แต่ E-P5 มันตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยของตัวกล้อง (เหตุผลน่าหมั่นไส้นี่แหละครับ ที่ผมถือเป็นจริงเป็นจังกว่าเรื่องอื่นๆ) ความสามารถเอย เทคโนโลยีเอย อายุของการเปิดตัวเอย สรุปได้ว่าเหมือนซื้อมือถือรุ่นท็อปตัวใหม่ที่สวยและเร็วฉิบหาย (แน่นอนว่าแพงกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วย)


พิจารณาอยู่นาน ปรึกษาเมีย ปรึกษาสมาคมที่ไปกันด้วย (ป้าหน่อยและอีเอ) เมียบอกโอเค สวย ชอบ ถึงจะแพงก็จริง แต่ถ้ามันใช้งานได้จริงและเตงพอใจ ก็อนุมัติงบ (กรี๊ด!!!) เลยเดินไปซื้อ ยืมบัตรเครดิตอีเอ รูดซะ แล้วเดินยิ้มออกมาจากร้าน ไปคาเฟ่แมวตามคำชวนของป้าหน่อย เพื่อหัดใช้งานได้แค่แป๊บเดียว แบตก็หมด กากจริง


เดี๋ยวไงก็ค่อยๆ หัดไปละกันเนอะ แต่เมื่อรักไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ผิดหวังละ ถึงแม้อีกหกเดือนราคามันจะตกลงมาห้าพันก็ตาม


ป.ล.

ภาพประกอบบนสุดนั่นถ่ายด้วย GF1 ตัวเดิมที่เตรียมเกษียณ และคงส่งไม้ต่อ ยกให้ญาติสักคน เพราะมันขายต่อแล้วไม่คุ้มแน่นอน (ภาพอาจจะเหลืองๆ ก็ช่างมันเนอะ ไม่ได้ถ่ายไปออกสอบ)


ป.อ.

24 ชั่วโมงนี้เขียนบล็อกตั้งสามตอน ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย มีทั้งเรื่องกล้อง เรื่องคอนเสิร์ตเบเกอรี่ / P.O.P และมุกแป้กเรื่องฮอร์โมน (ปรากฏว่าไอซ์เอาภาพไปทวีต คนอาร์ทีตั้งเจ็ดร้อยกว่า เออดี ไม่แป้กละ 555)


ป.ฮ.

ขอบพระคุณคุณเมียมากครับ ผมจะตั้งใจทำงานและตั้งใจถ่ายเล่นให้คุ้มกับที่อนุมัติงบประมาณมาครับ (ก้มกราบสามที)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 30, 2013 10:14

June 29, 2013

แบบนี้เรียกเงิบนะครับน้อง

เงิบ


ป.ล.

เพิ่งดูฮอร์โมนรีรันในทีวีเสร็จ ไม่ได้ดูอะไรในทีวีมานานแล้วนอกจากหนัง ปกติดูย้อนหลังบนยูทูบตลอด เลยพบว่าการรอโฆษณามันช่างยาวนานมาก 5555 (อ้อ คลิป HD ตอน 6 มาแล้วนะครับ กดดูที่นี่เลย)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on June 29, 2013 22:51