iannnnn's Blog, page 24
May 25, 2013
ยาวไปไม่อ่าน
ผ่านงานหนังสือมาเกือบสองเดือนแล้ว ผมเพิ่งหยิบหนังสือเล่มแรกจากงานนั้นมาอ่าน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซื้อหนังสือจากงานมาดองไว้ เหมือนกับว่าพอเห็นปก เห็นชื่อคนเขียนปั๊บ ก็อยากจะครอบครองมันเพื่อความเท่และแสดงตัวตนอะไรบางอย่าง เอาเข้าจริงไม่ได้อินหรือสนใจเนื้อหาข้างใน เท่ากับการได้อวดคนอื่นว่า “อ๋อ เล่มนี้เหรอ เราซื้อแล้ว”
แน่ะ ดูหล่อเลยเห็นไหม มีรสนิยมจริงๆ เมื่อได้บอกใครว่ามีหนังสือเล่มนี้ของนักเขียนคนนี้ (แต่อ่านหรือไม่นั่นอีกเรื่อง — อ่านแล้วเก็บอะไรไปได้แค่ไหนนั่นก็อีกเรื่อง)
เมื่อก่อนก็แปลกใจพฤติกรรมนี้ของตัวเองเหมือนกันนะครับ แต่พอผ่านงานหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็พบว่าตัวเองมีหนังสือประเภทดังกล่าว (ซื้อมาไว้เท่ๆ) เยอะขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมาสำรวจตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร
ก็สรุปได้ว่า ระยะหลังมานี้ เราเหลือสมาธิในการอ่านหนังสือน้อยลงจริงๆ
เราเล่นทวิตเตอร์ ซึ่งสรุปจบเนื้อหาทั้งหมดภายในการกวาดสายตาแค่เสี้ยววินาที เราเปิดแต่เพจเฟซบุ๊กที่แอดมินเพจเข้าใจหลักการโพสต์ ว่า “ยาวไปก็ไม่มีใครอ่าน” เราเปิดรายการทีวีย้อนหลังบนยูทูบที่นับวันจะสั้นและคัดเอาเฉพาะเนื้อๆ มาเปิดให้ดูเท่านั้น (เกิน 5 นาทีก็ไม่ดูละ อาจจะยกเว้นรายการที่ชอบจริงๆ)
และเราติดการอ่านฟีดข่าวและบทความจากเว็บไซต์ อันนี้คนอื่นคงไม่เป็น แต่เราเป็น และรู้ด้วยว่าอาการหนักแล้ว (ก็ตรงที่พอ Google Reader จะปิดตัวลงในเดือนหน้ากว่าๆ นี้แล้ว ผมงี้ลนลานควานหาที่พักพิงแห่งใหม่รัวๆ) ซึ่งการอ่านฟีดนี้คือการเก็บทุกๆ ข้อมูลที่ผ่านตาอย่างคร่าวๆ บางครั้งอ่านแค่หัวข้อข่าวแล้วมโนว่าเราเข้าใจสาระของมันทั้งหมดแล้ว (ซึ่งคนเขียนข่าวก็ถูกสอนให้สรุปเนื้อข่าวลงในพาดหัว ไม่งั้นก็ไม่มีใครคลิกอ่าน) วันๆ กิจกรรมยามเปิดมือถือของผมกว่าครึ่ง ตกเป็นของการเปิดอ่านข่าว อ่านบทความนั่นนี่
ไหนจะกองการ์ตูนที่ซื้อมาอีก ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนชอบอ่านการ์ตูนมากๆ และมีอุดมการณ์ว่าต้องอ่านแบบเล่มถูกลิขสิทธิ์เท่านั้น พวกสปอยล์ในเว็บนี่อย่าได้หวัง มันไม่ได้บรรยากาศในการซึมซับจากการกวาดสายตาไปทั้งหน้าแล้วสูดกลิ่นกระดาษเปื้อนหมึกเข้ามาด้วย ซึ่งความละเมียดละไมนี้ทำให้ผมกลายเป็นมนุษย์ประหลาด ที่อ่านการ์ตูนเล่มนึงช้ามากๆ ต่างจากการอ่านหนังสือที่เป็นตัวๆ เพียวๆ อย่างเดียว เพราะไม่มีศิลปะอะไรต้องให้เสพมาก เลยติดนิสัยมองตัวอักษรกวาดสายตาไปให้สุดบรรทัด แล้วเริ่มบรรทัดใหม่แบบลวกๆ แล้วจับประเด็นเอาเท่านั้น
ด้วยนิสัยลวกๆ นี้เอง ผมจึงชอบ “อ่านตัวหนังสือ” ผ่านหน้าจอมากกว่าผ่านกระดาษที่ต้องใส่ใจกับรูปเล่มของมันมากกว่า ส่วนในหน้าจอซึ่งปรับซุม เปลี่ยนฟอนต์ให้สบายตาได้เท่าที่ต้องการนั้น ระหว่างบรรทัดก็มีเพียงประจุไฟฟ้าที่ขับสีของจอภาพออกมาให้เห็น ไม่ได้มีสำนักพิมพ์ใดๆ ซ่อนอยู่ในนั้น..
ทั้งหมดนี่ไม่ได้บอกว่าพอฉาบฉวยแล้วจะเป็นความเลว หรือความไม่เลว แต่จะบอกว่าพฤติกรรมเราเปลี่ยนเป็นแบบนี้จริงๆ โดยยังไม่ต้องไปตัดสินอะไรมัน
เมื่อก่อนผมเช่าหนังสืออ่านได้วันละเล่ม นี่ขนาดเป็นสมัยเรียน (ที่ส่งโปรเจกต์โหดๆ อย่างที่เขียนในบล็อกที่แล้ว) นะ แต่เดี๋ยวนี้หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มหนึ่งถ้าจะได้หยิบมาอ่านจริงๆ ก็ต้องว่างสุดๆ หรือไม่มีฟีดอ่านแล้ว (นี่ยังดองบทความไว้หลายชิ้นใน Pocket อีกนะ) แล้วต้องเป็นตอนขี้ด้วย เพราะถ้าไม่ขี้ ก็จะหาอะไรโน่นนี่ทำมากกว่าการหยิบหนังสือสักเล่มมาอ่าน แล้วก็จมอยู่กับมัน
โชคดีที่มือถือผมเสีย ส่งซ่อมศูนย์ซัมซุงอยู่
ทั้งหมดนี้จึงเป็นคำแก้ตัวง่ายๆ ว่าทำไมผมถึงเพิ่งหยิบหนังสือเล่มแรกที่ตัวเองสนใจที่สุดจากงานหนังสือครั้งที่ผ่านมา เอามาอ่านก่อน ไม่งั้นก็ไม่ได้เริ่มซะที
แล้วก็คิดไม่ผิดครับ หนังสือ “เงินไม่ใช่พระเจ้า” ที่แปลจาก “What Money Can’t Buy” โดยพี่ยุ้ย @Fringer (กดเข้าไปอ่านคำนำเอาเองนะ) นั้นว่าด้วยโลกและสังคมที่ถูกกรอบ “ตลาด” (เป็นคำในภาษาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็หมายความว่าทุนนิยมนี่แหละ) มาครอบคลุมการตัดสินใจทุกอย่าง ไม่ได้บอกว่าทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริงๆ นะ แต่มันบอกว่าไอ้กรอบทุนนิยมที่กลายเป็นเทรนด์มาหลายสิบปีจนมันหยั่งรากลึกให้มนุษย์ยุคหลังการประกาศและยอมรับทฤษฎีนี้ เราใช้มันเป็นแว่นมองทุกอย่างโดยมีตลาดเป็นแกนกลาง จนบางทีหลงลืมไปว่า โลกเราแม่งมีกรอบแว่นให้มองอีกตั้งหลายประเภท และบางครั้งการมองด้วยกรอบของตลาด
มันทำให้คำเชยๆ อย่าง “ศีลธรรม” กลายเป็นตาลุงแก่ๆ โง่ๆ เชยๆ อะไรไม่รู้ที่ไม่มีใครพูดถึงกันอีกแล้ว ทั้งที่มันมาก่อนตั้งมากมาย (มาก่อนใช่ว่าจะดี?) แต่ในเล่มนี้มีคำอธิบายอีกมากมายที่บอกเราได้ว่า คำว่าศีลธรรม (จริยธรรม ธรรมาภิบาล ฯลฯ) น่ะ จริงๆ มันไม่เชยเลยนะ แต่เราลองถอดแว่นตาแห่งความเคยชินในวิถีชีวิตทุกวันนี้ออกมา แล้วมองกลับเข้าไปที่พฤติกรรมหลายๆ อย่างที่กำหนดตัวตนของเราอีกทีสิ แล้วจะเริ่มเห็นภาพว่า ทำไมเงินจึงไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง และหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกเราบิดเบี้ยว เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนที่ใช้ตลาดเป็นแกน เป็นตัวกำหนดทุกอย่าง
จนเราหลงลืมอะไรไปบางอย่างจริงๆ
ผมไม่มีความสามารถในการอธิบายเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้หมด แต่จะบอกว่ายิ่งอ่านยิ่งมันส์ ไม่อยากอ่านแค่ในส้วมอีกแล้ว ต้องพกมาข้างนอกและนอนกลิ้งอ่านกับลูกเลยครับ
จนเมื่อวานนี้คุยกับเมียตอนขับรถกลับบ้าน ว่าเออ ที่เราอินกับหนังสือเล่มนี้จริงๆ ก็คงเพราะเราไม่ได้เป็นมนุษย์ที่ขับเคลื่อนด้วยเงินนะ (ถ้าไม่รู้จักกันจริงๆ พูดแบบนี้ไปก็น่าหมั่นไส้ แต่ถือว่าเขียนให้คนรู้จักกันอ่านละกัน) ซึ่งเมียผมให้คำตอบกลับมาว่าตัวเธอเองน่ะเป็นนะ มนุษย์พันธุ์ที่หายใจเข้าออกเป็นเงินเนี่ย และยอมรับด้วย ทุกวันนี้จึงแฮปปี้กับโลกที่มีปัจจัยชี้วัดความสุขด้วยเงิน เพราะหลังจากใช้หนี้รถ หนี้บ้าน หนี้ครอบครัวสารพัดจนหมดแล้ว ก็ยอมรับเลยว่าชีวิตมีความสุขขึ้นมากๆ
ส่วนผมก็บอกไปเหมือนกันว่าตั้งแต่ถอยออกจากงานบริษัทมาอยู่บ้าน มีเวลาให้กับตัวเอง ถึงรายได้จะน้อยลงมากๆ แต่ก็มีความสุขเพิ่มขึ้น ผกผันกันโดยสิ้นเชิงล่ะนะ 55555
เออ เป็นผัวเมียที่ต่างกันแบบนี้ก็ดีนะ จะได้ถ่วงดุลกัน ไม่จูงมือกันเลยเถิดไปโลกใดโลกหนึ่งจนเกินไป
May 23, 2013
อีก 26 วัน โลกจะแตก
ถ้าไม่มีมือถือ มึงจะอยู่ได้ไหม?
1.
ถ้าไม่มีมือถือ มึงจะทำอะไรได้?
นี่เป็นคำถามที่ถามตัวเองเมื่อคืนนี้ครับ หลังจากพบว่ามือถือ (โน้ตสอง) ของตัวเองชาณ์จแบตไม่เข้า แบบเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ไม่ได้แตะอะไรเลยเดี๋ยวอยู่ดีๆ ก็ร้องจ๊ากว่าที่ชาร์จหลุดไรงี้ ซึ่งอาการนี้เป็นมาสักพักใหญ่แล้ว แต่มาเป็นหนักหน่อยในระยะหลังๆ พอเอาไปถามอินเทอร์เน็ต ก็พบว่าผู้ใช้โน้ตสองจำนวนมากที่เกิดอาการเดียวกัน มีทั้งแบบสายชาร์จผลิตมาไม่พอดี จนเสียบหล่นเสียบหล่น ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้เลยนะ แต่ก็เกิด (จนสายชาร์จของผมลงถังขยะไปเป็นอย่างแรก ก่อนจะมารู้จากชาวบ้านว่ามันเอาไปเคลมได้)
พอมือถือทำท่าจะเสีย ก็ตัดสินใจว่าวันนี้แหละ จะเอาไปเข้าศูนย์ ทวีตถามก็มีคนบอกว่าเจอกันเยอะ เยอะขนาดที่ศูนย์เองก็มีอุปกรณ์พร้อมเปลี่ยน ไปถึง รับบัตรคิว (รอนานเพราะคนเยอะแน่) เสร็จแล้วก็แจ้งอาการ ออกมาเดินเล่นแป๊บนึง แล้วรับเครื่องกลับได้เลย
ใจหนึ่งก็อยากเห็นบรรยากาศแบบนั้น แต่ก็คิดว่าเป็นไปได้ยากแหละ เพราะเอาเข้าจริงเคสแบบนี้มันต้องเอาเครื่องไปแงะ ไปตรวจอาการก่อน เลยทำใจไว้ว่า เราจะทิ้งมือถือไว้ที่ศูนย์ ไม่รู้แหละว่ากี่วัน แต่ช่วงนี้เราจะกลายเป็นมนุษย์ผู้ไร้โทรศัพท์ไปเลย
อ่านดูแล้วกระแดะสุดๆ เลยนะครับ สลิ่มมากอะ นี่มึงจะเป็นจะตายให้ได้เลยใช่ไหมกับการที่ไม่มีมือถือเนี่ย?
ใช่ครับ ผมจะเป็นจะตายให้ได้เลย
2.
ผมจะเป็นจะตายให้ได้เลย
ที่จริงค่าโทรศัพท์ของผมเดือนนึงๆ จ่ายอยู่ไม่เกินสามร้อยนิดๆ โดยสามร้อยนั้นเป็นค่าโปรโมชันระดับต่ำสุดเท่าที่ค่าย กสท จะอนุญาตให้ใช้เล่นเน็ตได้ (เป็นคนอินดี้ เลยใช้ My by CAT ไง โอเคนะ) แต่ในโปรดังกล่าวไม่ได้นับรวมค่าโทรออกด้วยเสียงเอาไว้ด้วย ดังนั้นเดือนๆ นึงผมจึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถ้ามีเหตุจำเป็นต้องโทรออกด้วยเสียง นั่นคือบางเดือนก็ 1.25 บาท (นาทีเดียว) หรือบางเดือนหนักๆ หน่อย ก็ไม่เกิน 7 บาท เป็นแบบนี้มาเกืิอบปีแล้วครับ
นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องติดต่อทางโทรศัพท์จริงๆ
แต่โทรศัพทพ์ไม่ได้มีไว้แค่โทร แถมไอ้ที่อยูในมือก็ดันเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นท็อป (ของเล่นคนรวยว่างั้น) ที่ตอนซื้อก็หาข้ออ้างให้ตัวเองว่าเราใช้มันคุ้มค่าจริงๆ มันมีปากกา มันวาดรูปได้ มันถ่ายรูปเอยโซเชียลเอยสารพัด อ่านหนังสือก็จอใหญ่สบายตาด้วยนนะ แถมนานๆ ทียังมีประโยชน์กับหน้าที่การงานอีกด้วยนะ นั่นแหละครับคือเหตุที่ทำให้ใช้งานมันวันละเกินครึ่งของเวลาตื่น จนเรียกได้ว่าเสพติด
สำหรับผมที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก การใช้งานมือถือเพื่อทำอย่างอื่นที่เหลือนอกจากการโทร พอมาเจอสถานภาพของตัวเองที่ถูกปลดอาวุธออกแล้ว เลยมานั่งรำลึกว่า เราสูญเสียความสามารถด้านอะไรไปบ้าง
ด้านโซเชียล
แน่นอน ผมงี้เหวอแดกครับ ตอนที่พนักงานศูนย์ซัมซุงเรียกคิวถึงตัวเองอย่างเร็ว เพราะคิวก่อนๆ หน้านั้นแสนจะอืด จนทวีตบ่นออกมาครั้งนึงว่าทำไมมันช้าจังวะ เลยตั้งตัวไม่ทัน เครื่องก็ไม่ได้กดรีเซ็ต (ตามคำแนะนำของคนในชุมชนมือถือที่ไปอ่านคำปรึกษา) ทวิตเตอร์ก็ยังค้างอยู่แบบนั้น ไม่รู้ป่านนี้เจ้าหน้าที่จะเห็นข้อความของผมหรือเปล่า
แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นความท้าทายตัวเองแบบหนึ่งที่เราจะอยู่ได้ไหม ถ้าไม่มีมือถือไว้พิมพ์สนทนากับชาวบ้าน
ผลคือสิบนาทีแรกที่นั่งนิ่งๆ ในรถเมล์ ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ เจอภาพเจ๋งข้างทาง นึกมุกโคตรฮาได้ แต่ไม่มีอะไรไว้ปลดปล่อย จิตหงุดเงี้ยวไปพักนึงครับ (นานเหมือนกันนะ) แล้วก็ค่อยๆ คลายลง บำบัดนะลูก บำบัด..
ด้านการอำนวยความสะดวก
ผมไม่ได้ไปสีลมบ่อยๆ เพราะมันอยู่ในเมือง พอซ่อมมือถือเสร็จก็กะจะไปตึกจามจุรีเพื่อเปลี่ยนโปร (ของ กสท นี่แหละ) คือถ้าเป็นครั้งอื่นๆ ก็จะหยิบมือถือมาเปิดดูแผนที่ว่าไกลไหม หน้าตาตึกเป็นยังไง แต่คราวนี้เผลอตบกระเป๋ากางเกงตัวเอง มันว่างเปล่า แต่ก็อยากลองเดินดู เดินไปเรื่อยๆ สบายดีนะ ถ้าไม่ติดที่อุณหภูมิยามบ่ายของกรุงเทพฯ .. เอ๊ะ เท่าไหร่วะ Google Now? เชี่ยแม่งไม่อยู่นี่หว่า สรุปเดินเหงื่อท่วมครับ
ด้านงานอดิเรก
วันๆ ผมมีนิสัยชอลเสพข่าวสารครับ ประโยคนี้ฟังดูดีนะ แต่เดี๋ยวก่อน ข่าวสารที่ว่านั่นเป็นขยะล้วนๆ เลยครับ แต่ละวันมีข้อมูลรกสมองมากมายผ่านตาด้วยแอปอ่านฟีดในมือถือ ส่วนมากจะไม่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติหรอกนะ แต่มันก็เพลินดี อันไหนที่ไม่อยากรู้ก็กดผ่าน อันไหนรู้แล้วบอกต่อปั๊บตัวเองจะดูเท่ ก็แชร์ต่อ (มนุษย์ยุคนี้มันดูแย่นะเนี่ย)
ซึ่งประโยชน์สูงสุดของแอปอ่านฟีดคือเอาไว้ฆ่าเวลาครับ เวลาว่างๆ ตอนอยู่บนรถไฟฟ้า รถเมล์ หรือนั่งกินข้าว ผมก็จะควักอะไรมาอ่าน แต่นี่ ไม่มี เหี้ยแล้ว รู้สึกโล่ง นั่งสั่งก๋วยเตี๋ยวก็ได้แต่มองผนังร้านไปทีละด้าน มันโหวงนะ
อ้อ ทั้งนี้เวลาขี่แว้น ผมชอบใส่หูฟัง แล้วเปิดฟังเดอะช็อกแก้ว่างครับ จะได้ไม่เบื่อเวลาขี่รถนานๆ ในแต่ละวัน ปรากฏว่าวันนี้ไม่มีอะไรให้ฟังเลย บิดยาวกว่าที่เคยเลยแฮะ
ด้านเมีย
ผมติดต่อกับเมียทั้งทางทวิตเตอร์ ไลน์ และอีเมล (ตามลำดับ) ปกติผมไม่ชอบแช็ตน่ะครับ แอปที่ลงไว้ก็เพื่อเอาไว้คุยกะเมียเท่านั้น พอมางี้เลยยังไม่ทันบอกเมียเลยว่ามือถืออยู่ในศูนย์ การเดินทางกลับบ้านจึงเป็นไปด้วยความร้อนรน ไอ้ครั้นจะหยอดเหรียญตามตู้โทรบอกเมีย ก็หาตู้ยากเสียเหลือเกิน พอเจอก็เจอตู้ที่เขาเอาถั่วงอกเป็นกระจาดๆ เข้าไปวางกองไว้ (ข้างร้านผัดไทย) งี้ กลายเป็นสมบัติส่วนตัว ที่ภาพสวยดี (เชี่ยเอ๊ย อยากถ่ายมาทวีตมาก) แต่ก็ทำให้ติดต่อเมียไม่ได้ รีบกลับบ้านมาเปิดคอมพิมพ์บอกเมียดีกว่า
นึกออกเท่านี้ ที่จริงนึกออกอีกเพียบเลย แต่ไม่ได้จด (ปกติจะจดใน Google Keep ง่ะ)
3.
ผมต้องอยู่แบบนี้ 3-5 วัน
เป็นประกาศิตจากพนักงานศูนย์รับซ่อมของซัมซุง (น้องเขาน่ารักดีนะ มาทำอาชีพที่ต้องปะทะคนเยอะๆ แล้วจะเครียดไปไหมหนอ) ผมฟังข้อแม้เรื่องการรับเครื่องไว้ตรวจเช็กอาการก่อนที่จะถอดซิมออก และส่งมอบให้แต่โดยดี ซิมที่มีก็เป็นไมโครซิม ถ้าจะหาซื้อมือถือกากๆ มาใช้ก็ต้องไปหาอะแดปเตอร์ของซิมอีก ก็เลยช่างมัน ไม่ต้องใช้ไปเลย กลับบ้านตัวเปล่า แล้วลองท้าทายตัวเองดังๆ ดูว่า
ถ้าไม่มีมือถือ มึงจะอยู่ได้ไหม?
May 12, 2013
แจกฟรี วอลเปเปอร์ล็อกอินด้วยเลือด
บอกก่อนว่าผมไม่ได้คิดว่าจะมาเอาดีทางนี้หรอกนะครับ 555 พอดีช่วงนี้กำลังทยอยเปลี่ยนวอลเปเปอร์ตัวเอง ก็เลยลองทำมาเล่นๆ แล้วทวีตอวด ปรากฏว่ามีคนอยากได้หลายคน เลยทำมาเผื่อแจกด้วยครับ
นี่ขนาดแอนดรอยด์และแท็บเล็ตทั่วไป 800×1200 พิกเซล
นี่ของไอโฟนห้า 640×1136 พิกเซล ออกแบบหลบอีตัวแถบเลื่อนปลดล็อกแล้ว
(ใครที่ใช้ไอโฟนสี่ ก็โหลดๆ ไปเหอะ ขนาดมันพอๆ กัน)
และนี่ขนาดวอลเปเปอร์คอมครับ ทำมาใช้ในไอแมคยีบเจ็ดนิ้ว ก็เลยใหญ่หน่อย 2560×1440 แน่ะ
สนใจตัวไหนกดเข้าไปโหลดกันเองนะ (พอกดที่ภาพแล้วต้องกดอีกที มันจะมีให้โหลดหลายไซส์) ส่วนแบบอื่นๆ ที่เพิ่งแจกก่อนหน้านี้ก็มี วอลเปเปอร์สำหรับคนกลัวเมีย, วอลเปเปอร์ไม่สวยจากสะพานควาย จ้ะ
May 5, 2013
อีอ้ากเอ็นอี๋
May 4, 2013
แจกฟรี วอลเปเปอร์ไม่สวย
ถ่ายจากสะพานควายตอนเดินตามล่าหาร้านน้ำเต้าหู้กลางวันแสกๆ 5555
ใครหน้ามืดเห็นว่ามันสวยก็กดเข้าไปในภาพ แล้วกดอีกที จะมีขนาดใหญ่ให้เลือกโหลดครับ
ป.ล. ที่จริงฉากหลังตอนถ่ายรูปแต่งงานของผมกะเมียเมื่อหลายปีก่อนก็แบบนี้เลยครับ รสนิยมคนนี่นะ..
วอลเปเปอร์ไม่สวย แจกฟรี
ถ่ายจากสะพานควายตอนเดินตามล่าหาร้านน้ำเต้าหู้กลางวันแสกๆ 5555
ใครหน้ามืดเห็นว่ามันสวยก็กดเข้าไปในภาพ แล้วกดอีกที จะมีขนาดใหญ่ให้เลือกโหลดครับ
ป.ล. ที่จริงฉากหลังตอนถ่ายรูปแต่งงานของผมกะเมียเมื่อหลายปีก่อนก็แบบนี้เลยครับ รสนิยมคนนี่นะ..
May 1, 2013
หมั่นคอยดูแล และรักษาไรฟัน
สิ่งที่เป็นอุปสรรคลำดับต้นๆ ในชีวิตของผมตลอดมา ก็คือฟันครับ
ผมเป็นคนที่มีสุขภาพฟันเหี้ยมาก ตั้งแต่เกิดมาก็ผ่านประสบการณ์ฟันผุ ฟันคุด หาหมอฟันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะสมัยเด็กๆ ที่ตอนนั้นตัวเองยังเป็นเด็กต่างจังหวัดมอมๆ คนหนึ่ง ที่ใส่ใจกับเรื่องอื่นๆ มากกว่าการดูแลสุขภาพของตัวเอง (ที่จริงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่)
คือตอนนั้นเด็กไง ยังไม่ขึ้น ป.1 เลยมั้ง เลยยังไม่ได้คิดว่า ไอ้น้ำผสมฟลูออไรด์ที่โรงเรียนเขาแจกมาให้อมบ้วนปากก่อนนอนตอนบ่ายหลังแปรงฟันเสร็จแล้วนั้น ถ้ากินเข้าไปแล้วจะทำให้ฟันเราเป็นรอยด่างๆ ดวงๆ ไปตลอดชีวิต หรือการที่ไม่กี่ปีต่อมา เด็กชายแอนซึ่งมีฟันแท้ขึ้นแล้ว เกิดรำคาญฟันตัวเองที่ผุเต็มปาก แล้วนึกเปรี้ยวขึ้นมา เดินเข้าไปหาหมอฟันที่โรงพยาบาลประจำอำเภอเพื่อถอนฟันที่ผุทีเดียวสามสี่รวด โดยที่ไม่รู้ว่าการรักษาฟันผุเนี่ย มันมีวิธีอื่นด้วยนะ นอกจากการถอน.. แล้วแม่งฟันแท้ด้วยนะ แล้วคุณหมอก็จัดให้ทันทีโดยไม่ถามเรื่องสุขภาพสักคำเลยนะ..
ผลคือทุกวันนี้เลยเป็นช่วงชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ด้วยการต้องแวะไปหาหมอฟันแถวบ้านจนแทบจะทำบัตรสมาชิกแบบแพลตินัมได้แล้วเนี่ย เนื่องจากฟันของผมมันเรียงตัวกันได้นรกมาก ไอ้ส่วนที่พอจะดีก็ดันหลอเพราะถอนเล่นสมัยนั้น แถมฟันกรามที่เคยทยอยผุแค่นิดหน่อยตั้งแต่เด็กๆ ก็มาลุกลามเอาตอนโต
กลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่มั่นใจในกลิ่นปากตัวเอง เวลาดูตลกถั่วแระเล่นมุกปากเหม็น เห็นคนอื่นเขาขำกัน แต่เราแม่งใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เชี่ย กูแม่งเป็นถั่วแระแน่ๆ อะ สุขภาพฟันไบโอฮาซาร์ดขนาดนี้
ผมเลยพลอยกลายเป็นวัยรุ่นเก็บกด ไม่กล้าหันหน้าเข้าหาหมอฟันอีกเลย
จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปเนินนานหลายปี ตอนนั้นเป็นทหารเกณฑ์ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกปวดฟันกรามล่างซี่ในสุดขึ้นมา จนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ด้วยการเดินทางไปปรึกษาหมอฟันที่คลินิกแถวๆ เมืองเอก (ตอนนั้นประจำการอยู่ดอนเมือง)
แล้วก็เขียนรายงานไว้ด้วยนะ ย้อนกลับไปอ่านแล้วตลกดี ที่ผมตอนนั้นแม่งไม่มีตังค์ทำฟัน จนต้องยอมทนปวดเอาจนมันหายไปเอง
(แทรกนิดนึง บล็อกเก่าผมที่เขียนมาสิบกว่าปี ไม่นานมานี้อยู่ดีๆ ฐานข้อมูลก็หายหมดเลยครับ สงสัยโดนอุบัติเหตุหรือโดนลบไปง่ะ ส่วนอันที่อ่านอยู่นี่คืออันใหม่แล้วนะ ทีแรกว่าจะทยอยก็อปเนื้อหาบางตอนมายังที่ใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ก็อปไม่หมด มันหลายร้อยตอนเกินไป … ช่างมันเนอะ มัวเสียดายก็เสียเวลา)
หลังจากปลดประจำการจากทหาร ผมก็มาอาศัยอยู่แถวๆ ลาดพร้าว แน่นอนว่าวันหนึ่งอาการปวดฟันซี่ดังกล่าว มันก็ต้องหวนคืนกลับมาอีก แต่ครั้งนี้เราไม่เหมือนเดิมแล้ว เราไม่ได้เป็นทหารเกณฑ์ที่มีเงินเดือน 1900 บาท (สมัยนั้นน่ะ) อีกต่อไปแล้ว
ผมจึงตัดสินใจ.. ยังไม่ไปหาหมอฟันในทันที แต่ปรึกษาหมอฟันในบอร์ดฟอนต์ซะก่อน (อ่านถูกแล้วครับ บอร์ดฟอนต์มันหลังบ้านของคือเว็บฟอนต์ แต่ดันมีเรื่องให้คุยกันทุกเรื่อง และมีคนมาตอบคำถามแทบจะครบทุกวิชาชีพ) ก็ได้คำตอบให้ไปค้นต่อ ว่ามันคืออาการของฟันคุดครับ
นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมที่เริ่มรู้สึกว่าเราต้องลงทุนอะไรสักอย่างเพื่ออนาคตบ้างแล้ว จึงไปหาหมอฟันที่คลินิกใกล้บ้าน และจัดการผ่าฟันคุดซี่นั้นออก
ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นก็คือ ผมเจ็บมากๆ เจ็บแบบสงสัยเลยว่าเฮ้ย ไอ้ตอนเราถอนฟันสามซี่สมัยเด็กๆ นั่น เราไม่เจ็บเลยนี่หว่า ทำไมคราวนี้เจ็บวะ มารู้เอาทีหลังว่าคลินิกนั้นหมอโคตรมือหนัก และทำแบบส่งๆ ด้วยเอ้า คือไม่ได้ให้คำปรึกษาอะไรที่ดีเลย คงเพราะเห็นว่าสภาพปากเรามันระยำจนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดีละมั้ง
แล้วความคุโรมาตี้ก็บังเกิด คลินิกรักษาฟันหน้าโลตัสแห่งนั้นก็เจ๊งบ๊งไป.. อ้าวเหี้ยละ
เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมก็รู้สึกว่าตัวเองปวดฟันอีกครั้ง ที่ตำแหน่งเดิมตรงที่เคยปวดเพราะฟันคุดนั่นแหละ เลยเอาความสงสัยนี้ไปถามหมอฟันในบอร์ดอีกที ก็ได้คำตอบว่าฟันซี่ที่ขึ้นมาผิดปกติ (ก็คือคุดน่ะนะ) แล้วมันไปเบียดซี่ข้างๆ ทำให้มีปัญหานั่นนี่มากมาย เช่นผิวฟันจะบางอะไรแบบนี้ จำไม่ได้แล้ว สรุปว่ามันเบียดกันจนเป็นสาเหตุให้ฟันซี่ติดกันผุไปด้วย และคราวนี้มันผุลึกมาก… ลึกจนต้องรักษารากฟัน!
ตายห่า การรักษารากฟันนี่เป็นสิ่งยิ่งใหญ่มากเท่าที่ชีวิตของคนปากเสีย (ความหมายในเชิงกายภาพ) คนหนึ่งจะได้เจอเลยนะ แต่ตอนนั้นตัวเองมีความตั้งใจไว้อย่างแรงกล้าแล้วว่า กูจะฟอร์แมตปากให้เอี่ยมเรี่ยมเชียว ก็เลยยอม จะเจ็บปวด หวาดเสียว อับอาย หรือเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม
เลยไปหาคลินิกอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลบ้าน และได้แทบทุกอย่างตามคำขอเลยครับ คือเจ็บไปเยอะ เสียวก็เยอะ เสียเงินก็เยอะ แต่ที่ผิดหวังคือความอาย
ผมบอกคุณหมอที่ใจดีมาก (ประเด็นที่แท้จริงคือน่ารักมาก ขาวหมวย แต่ท้องแก่ จบนะ) ให้ตัดสินใจปู้ยี่ปู้ยำปากผมได้ตามใจชอบเลย ตรงไหนแย่ ซ่อมซะ ตรงไหนดีเก็บไว้
ไม่แน่ใจว่าการจะมาเป็นทันตแพทย์ได้นั้นต้องผ่านหลักสูตรแต่งหน้าศพมาก่อนหรือเปล่า แต่การกำจัดฟันผุเล็กผุน้อยประมาณยี่สิบจุดในปากผมจนเกลี้ยงเกลา พร้อมด้วยการรักษารากฟันแบบทรหดอดทน วิ่งวนเวียนไปมากับคลินิกหมอฟันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
จนในที่สุด ฟันคุด 2 ซี่ และฟันกรามที่ผุขนาดใหญ่จนต้องรักษารากฟัน พร้อมครอบฟันอีแบบที่ราคารวมได้ซี่ละหมื่นกว่าบาทถึงสองครั้ง ก็เสร็จสิ้นลง เงินหายไปกับการซ่อมปากเยอะมากๆ แต่ก็พบว่าคุณภาพชีวิตตัวเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จนตัวเองมั่นใจทุกครั้งว่าถ้ามีคนถามว่า “อยากจะให้แนะนำอะไรแก่น้องๆ เยาวชนบ้าง” ก็จะตอบว่า มึงไปหาหมอฟันเถอะ ทุกหกเดือนน่ะ แล้วชีวิตมึงจะดีขึ้นมาก
แต่กรรมที่เคยสร้างมาก็ยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ พอย้ายบ้านมาตั้งรกรากอยู่แถวลาดปลาเค้า ผมก็ยังต้องแวะเวียนไปคุยกับหมอฟันอยู่เนืองๆ เนื่องจากต้องตรวจสุขภาพฟันรายครึ่งปีเป็นปกติ และในปากยังมีอยู่อีกสองซี่ที่ต้องรักษาราก (ต้องย้ำว่าปากผมเหี้ยมากจริงๆ) ซึ่งตอนนี้ก็เคลียร์ไปซี่นึงแล้ว ดีที่ไม่ต้องเสียเงินใส่ครอบฟัน เพราะมันพอจะสามารถอุดแบบใหญ่ๆ ได้ แต่ก็ทำวัสดุอุดหลุดไปสองที จนมารู้จากหมออีกคนที่เพิ่งไปหามาล่าสุดว่า ฟันซี่นี้มันเป็นเคสโคตรยาก ต้องระดับเซียนอย่างหมอคนนี้ (เอ่ยชื่อหมอที่ทำให้ผม) เท่านั้นถึงจะทำได้ .. และแลกมาด้วยข้อห้ามของหมอว่า ต่อไปนี้ ปากซีกซ้ายเนี่ย ห้ามเคี้ยวอะไรกรุบๆ อีกเลยตลอดชีวิตนะ ถ้าจะเคี้ยวก็ให้เคี้ยวข้างขวาเอา
ซึ่งอีข้างขวานี่ก็เป็นซี่สุดท้ายแล้วที่จะหมดเวรหมดกรรมกับการซ่อมปากตัวเองเสียที เนี่ยวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ก็จะไปใส่ครอบฟันสีเงินเข้มอีกซี่ เอาให้ครบองค์ประชุมเลย
และด้วยการที่ทั้งปากมีแต่วัสดุประหลาดที่หมอเขาเอามาครอบแทนฟันซี่เดิมที่ถูกเหลาจนเหลือนิดเดียวนี้เอง ผมจึงไม่ค่อยอยากจะอ้าปากให้ใครเห็น เพราะอายไงครับ ฟันกรามทั้งปากผมเป็นสีเข้มๆ บางทีก็ดำ เหมือนพี่มาร์คเขอะพระโขนงเคี้ยวหมากอะไรประมาณนั้น ไม่ได้มีสีฟันขาวอมเหลืองเหมือนมนุษย์ทั่วไป
ขณะที่ผมกำลังค่อยๆ กลายร่างเป็นไซบอร์กไปทีละหน่อย ก่อนสติของร่างมนุษย์จะหลุดลอยไป ผมขอสัญญาว่าจะนำพลังพิเศษนี้ไปปกป้องเด็กๆ ทั่วโลกจากเหล่าร้ายแน่นอนครับ ผมสัญญา.
ป.ล.
คุณหมอเจ้าของคลินิกเคยเชียร์ให้ไปจัดฟัน เพราะผลจากการถอนฟันตั้งกะเด็กเลยทำให้ฟันหลอ ไม่เท่ ซึ่งผมก็โอเคนะ ยอมก็ได้ แต่พออีกวันเข้าไปปรึกษาคุณหมอจัดฟันเฉพาะทางโดยตรง พอแกเห็นปากผมและจับไปเอ็กซ์เรย์นั่นนี่เสร็จก็ส่ายหน้า บอกว่าแบบนี้มันไม่ธรรมดานะ ต้องผ่าตัดเลย คือตัดกรามหรืออะไรแบบนั้นเลย ให้ไปปรึกษาหมอแอดวานซ์ด้านนี้ที่จุฬาฯ แล้วก็ยื่นใบอะไรสักอย่างมาให้เสร็จ ผมซึ่งยังทำใจกับการศัลยกรรมไม่ได้ กลัวว่าตัวเองจะหน้าเปลี่ยนเป็นดาราเกาหลี เลยขอถอดใจ บายละกันครับ
April 20, 2013
อยากเขียนก็ต้องเขียนสิ
เขียนบล็อกสิบตอนก็จะมีสักตอนนึงแหละที่มาบ่นเรื่องบล็อกตัวเอง ดูจมปลักกับตัวเองดีนะครับ 5555
ไม่รู้ว่าเป็นความกดดันที่ตัวผมเองสร้างข้อแม้บางอย่างขึ้นมา แล้วก็ติดกับเสียเองอีกหรือเปล่า จึงทำให้การตัดสินใจเขียนบล็อกใหม่แต่ละทีกลายเป็นเรื่องยาก ทั้งที่มันควรจะง่ายพอๆ กับทวีตข้อความไปสักครั้ง
คิดอยู่หลายวันว่าเป็นเพราะอะไร แต่จับทางได้แล้วว่าสาเหตุหนึ่งก็เพราะอยู่ดีๆ เราก็ได้สวมหมวกหนึ่งใบในนามของนักเขียน แถมมีผลงานเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเองในระบบสำนักพิมพ์ที่ดูมีคุณภาพเสียด้วย สิ่งนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความเหิมเกริม ลำพองใจ หรือประหม่า แต่มันก็ทำให้ธรรมชาติในการเขียนอะไรแบบไม่ต้องคิดของเรานั้นหายไป เหมือนกับที่เคยหายไปพักใหญ่ตั้งหนึ่งปีเต็มๆ ช่วงที่ไม่ได้เขียนบล็อกเลย
ผมรู้สึกว่ามันแย่ว่ะ อยากเขียนก็ต้องเขียนสิ ไม่ใช่รอให้รู้สึกว่าเป็นประเด็นที่หล่อพอแล้วค่อยลงมือเขียน เราไม่ได้เป็นพวกลึกซึ้งแบบที่เขียนอะไรจบประโยคแล้วเปลี่ยนโลกได้ซะหน่อย เหี้ยเอ๊ย
ขอบคุณแรงบันดาลใจจากบล็อกของคุณ @etalorkครับ คือเหี้ยมาก อยากเขียนก็เขียน เขียนออกมาแล้วเสือกดีด้วยนะ (*คำว่าดีในความหมายของผมคงไม่ใช่ดีแบบสาธารณะสักเท่าไหร่) ผมได้รับแรงบันดาลใจจากเขาจนต้องกลับมามองตัวเองและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (แล้วก็บ่นแบบเดิมๆ งี้อีกครั้ง)
สัญญากับตัวเองครับ ว่าต่อไปนี้จะเขียนบล็อกเมื่ออยากเขียน และไม่ต้องห่วงหมวกบ้านั่นอีก (ส่วนเรื่องแคร์คนอ่านหรือไม่ อะไรยังไง ฯลฯ นั่นคงพูดจนไม่รู้จะพูดยังไงละ ก็ละไว้ละกันนะคราวนี้)
เย!
ทีนี้มาเข้าเรื่อง อยากจะฟื้นพลังตัวเองน่ะครับ เลยจะขอหัดเขียนอะไรสั้นๆ ง่ายๆ ให้เป็นนิสัยอีกครั้ง ผมเปิดบล็อกใหม่สองบล็อก จะเรียกว่าบล็อกก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าเป็นโน้ตสั้นๆ ที่คิดว่าจะบันทึกได้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่เบื่อ และจะได้มีที่ทางรวบรวมอะไรที่ตัวเองอยากทำมานานเสียที โดยไม่ต้องมาปะปนกับบล็อกหลักนี่ (ที่ก็จะขยันเขียนมากกว่าเดิมแน่นอน)
บล็อกแรกคือ “ตีนใหม่หัดปั่น” (ride.iannnnn.com) เกิดจากการไปซื้อจักรยานพับสีขาวมาคันนึง (ทีแรกจะซื้อสีแดง แต่เมียบอกขาวสวยดีเลยเอา จบนะ) ตอนนี้ใกล้หมดภาระหน้าที่ความเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ที่ต้องออกเดินทางเช้าเย็นทุกวันซ้ำๆ กันแล้ว เลยจะหาโอกาสมาหัดขี่รถเล่นเสียที เลยหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองด้วยการแวะจอดตามทางแล้วถ่ายรูป เห็นว่าระบบของ Tumblr มันง่ายดี ไม่ต้องมานั่งบริกรรมคาถามาก ยกมือถือถ่ายแชะปั๊บ ก็ออกมาเป็นบล็อกได้เลย เลยเอามาใช้กะมัน
บล็อกที่สองคือ “นิทานสี่ช่อง” (nitan.iannnnn.com) พอดีช่วงนี้ลูกกำลังมีพัฒนาการน่าสนใจ เลยอยากบันทึกไว้ เลยเล่าเป็นการ์ตูนละกัน ถือว่าเป็นภาคต่อจากการ์ตูนท้ายเล่มใน “คือปะป๊าครองพิภพ” ที่ได้รับเสียงตอบรับดีมากกๆๆๆๆๆกกๆๆๆๆๆ จนน้ำตาแทบไหล แถมอันนี้นี่ก็พยายามจะให้ง่ายด้วยการหยิบมือถือขึ้นมา วาดลงในนั้น (ใช้โน้ตสองจ้ะ) แล้วก็กดปุ๊บ โผล่ออกมาเป็นบล็อกเลย ไม่เยอะนะ โอเค แต่สวยไม่สวยหรืออ่านรู้เรื่องหรือมุกแป้กรึเปล่า นั่นก็แล้วแต่สติปัญญาในตอนนั้น ไม่กล้าให้ความหวังครับ 5555
ป.ล.
บล็อกหลักนี่ระบบหลังบ้านใช้ WordPress
บล็อกจักรยานใช้ Tumblr (ตั้งค่าให้มันยิงมาในโฮสต์เรา)
ส่วนบล็อกวาดการ์ตูนแซวลูกใช้ Blogger (นี่ก็ให้มันยิงเหมือนกัน)
สนุกดีนะครับ ได้ลองหลายๆ ระบบแล้วเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกัน เพลินดี
ป.อ.
ส่วนบล็อกเดิมที่เมียเป็นเจ้าของคือ bow.iannnnn.com นั้นก็เขียนแต่เรื่องลูกเหมือนเดิม แต่เมียขี้เกียจเลยไปโพสต์ใส่เฟซบุ๊กทวิตเตอร์มากกว่า 555 ก็มันง่ายดีหนิ ไม่เห็นแปลก
ป.ฮ.
สิ้นเดือนนี้ก็จะได้พักผ่อนละครับ ถึงต่อไปจะต้องเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละครั้ง แต่เชื่อว่าเราจะเริ่มชิวอย่างจริงจังสมความตั้งใจละ เย้ๆๆ
March 31, 2013
แนะนำหนังสือ “คือปะป๊าครองพิภพ”
หลังจากปล่อยทีเซอร์ก็แล้ว ปล่อยอีกรอบก็แล้ว แจกวอลเปเปอร์ก็แล้ว ผมก็ยังไม่กล้าแนะนำหนังสือที่ตัวเองเขียนครับ
นั่นเพราะตลอดระยะเวลาสี่เดือนที่ผ่านมา “คือปะป๊าครองพิภพ” มันเป็นเพียงจินตนาการร่วมกันของผมและเหล่ากอง บ.ก.สำนักพิมพ์แซลมอน ที่ต่างก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ และกังวลกันว่า มันจะเสร็จรึเปล่าวะ ใครที่เล่นทวิตเตอร์ ติดตามผมช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก็จะเจอแต่เหตุการณ์หนีหนี้ ไม่สิ หนีเอาตัวรอดจากการทวงต้นฉบับ ไล่ล่าแม่งทุกโซเชียลเน็ตเวิร์กจากอี @freeclub จนจะโดนมันต่อยหลายครั้ง แต่ในที่สุด วันนี้ (31 มี.ค.56) ชาวบ้านแถบลาดปลาเค้าก็ต้องจารึกเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ว่า หนังสือของผมพิมพ์เสร็จแล้วครับ! จะได้เห็นของจริงละครับ! ตื่นเต้นฉิบหายเลยครับ!
ด้วยความตื่นเต้น วันนี้ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของงานหนังสือประจำปิดเทอมใหญ่ปีนี้ แต่เป็นวันแรกที่จะได้เห็นหนังสือของตัวเอง เพราะได้รับข่าววงในมาว่าหนังสือจะเสร็จจากโรงพิมพ์ร้อนๆ พอดีในตอนเช้า ถึงแม้ไม่มีคิวเซ็นหนังสือตามตาราง แต่ผมก็หอบลูกหิ้วเมียไปยืนหน้าบูธของสำนักพิมพ์ (แผนที่บูธ) แล้วเปิดบูธเถื่อนอยู่ข้างๆ นั่งพูดคุยกับเพื่อนฝูงและน้องนุ่งที่ทยอยกันมาเจอกันทั้งแบบที่นัดและไม่ได้นัดซะเลย ดีใจจริงจริ๊งงงง
เอ้า ทีนี้มาเข้าเรื่อง เริ่มขายของกันซะที
หนังสืออะไรนะ
ด้วยความที่ผมดันเป็นพวกอีช่างจดอยู่แล้ว เวลาเจออะไรต่อมิอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็มักจะถูกบันทึกไว้ไม่ทางใดก็ทางนึง เป็นนิสัยติดตัวมาตลอด (ก็ดูเขียนบล็อกนี่มาสิบกว่าปีละกัน ที่จริงเป็นมาก่อนหน้านั้นอีกนะ แต่เขียนลงสมุด แล้วเพื่อนแม่งก็ชอบแย่งไปอ่านแล้วก็ล้อ แม่ง) พอไปเข้าหูอี บ.ก.แบงค์ @natchanon แห่งแซลมอนเข้า มันก็เลยชวนแกมบังคับให้มาเขียนเป็นเล่มๆ คนอื่นจะได้อ่านด้วยไง… ดังนั้น “คือปะป๊าฯ” เนี่ยเลยเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตมนุษย์พ่อลูกอ่อน ผ่านประสบการณ์การมีลูกด้วยตัวเองของผม นับตั้งแต่แต่งงาน เมียท้อง จนคลอดออกมาและค่อยๆ โตขึ้นเป็นเด็กหญิงนิทานตัวน้อยๆ ในที่สุด (สปอยล์ยันจบเลยนะเนี่ย)
ว่ากันตรงๆ ทีแรกผมได้ยินคำชวนของอี บ.ก.ก็ไปไม่ถูกเหมือนกันครับ ถามมันไปว่าเฮ้ย แล้วใครมันจะไปอยากรู้เรื่องของกูวะ คนอ่านที่ยังไม่มีลูกเขาจะไปอินได้ยังไง แต่พอเริ่มลงมือเขียนเข้าจริงๆ ก็พบว่า… (เริ่มอวยตัวเองละ… ทนอ่านต่อไปนะ) มันมีประเด็นเจ๋งๆ ให้พูดถึงอยู่เต็มไปหมด ทุกๆ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้นช่างแปลกใหม่และส่งผลให้ชีวิตไม่เหมือนเดิมไปตลอดกาล แต่มันเกิดขึ้นทุกวันไง!
เอาเข้าจริงแล้ว คนที่เป็นพ่อเป็นแม่มือใหม่ทุกคนก็น่าจะได้สัมผัสประสบการณ์ร่วมกันกับผม ทั้งเรื่องความตื่นเต้น ประหม่า กังวล กลัวนั่นนี่ ดราม่ากรุบกริบ การปะทะกับความเชื่อโบราณๆ ของญาติผู้ใหญ่ ไปยันช่วงเก็บเกี่ยวความสุขจากลูกที่โตขึ้นทุกวันๆ และมีเรื่องเล่าให้หัวเราะร้องไห้ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ผมเลยขออาสาหยิบเรื่องราวเหล่านั้นมาถ่ายทอดให้คนที่ยังไม่เคยมีลูกได้อ่านกันครับ
และก็อย่างที่พอจะเดาได้ว่า เรื่องราวในหนังสือนั้นถูกเขียนจากมุมมองของผมเอง… ฉะนั้นโลกที่ผมเจอ กับโลกที่มนุษย์พ่อแม่ลูกอ่อนคนอื่นๆ เขาเจอ มันจะเหมือนกันรึเปล่าวะ ไม่แน่นะ ใครที่เคยมีลูกแล้วหยิบมาอ่านก็น่าจะชอบเหมือนกัน โอ๊ย เขียนอวยหนังสือตัวเองไม่เกรงใจใครเลย 55555
ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือด่านะ แต่คำโปรยปกหน้าของหนังสือเล่มนี้คือ “บันทึกฉบับเกรียนสู่การเป็นเซียนพ่อลูกอ่อน” ครับ
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร
คนท้อง
คนที่มีเมียท้อง
คนที่เผลอไปทำใครเขาท้อง
คนที่อยากมีลูก
คนที่ไม่อยากมีลูก
คนที่เพื่อนกำลังจะมีลูก (แล้วเอาไปฝากมัน)
คนที่เพื่อนกำลังจะมีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ (แล้วเอาไปล้อมัน)
คนที่กำลังมีลูกคนแรก
คนที่มีลูกนานแล้ว แต่อยากย้อนกลับมาสัมผัสความรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
คนที่ยังไม่มีลูก หรือเผลอๆ แฟนก็ยังไม่มี แต่ในใจลึกๆ ก็อยากรู้ว่าคนมีลูกเขาต้องเจออะไรบ้าง
คนที่มีตังค์เหลืออยากซื้อหนังสือไว้ถมบ้านเล่น
คนที่จะซื้อหนังสือของนักเขียนคนอื่น แต่หยิบผิดเพราะมันวางใกล้กัน
ทุกคน (ที่จริงบอกแบบนี้ตั้งกะทีแรกซะก็จบ)
สรุปว่าแม้คุณจะ(ยัง)ไม่ได้เป็นพ่อแม่คน ก็อ่านได้ สบายใจ เข้าใจ และสนุกไปกับมันได้อยู่ดี แนะนำให้อ่านครับ (เพราะผมได้ตังค์) ถ้ากลัวจะรู้สึกว่าไกลตัว เอ๊ะฉันยังไม่คิดจะท้องซะหน่อย อ่านแล้วจะอินรึเปล่าวะ ก็ลองนึกถึงนักเขียนคนอื่นที่เล่าเรื่องตัวเองดูสิครับ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว หมอ ทหาร นักวาด คนทำงานโรงแรม ฯลฯ ดูดิ บางทีเราไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกะเขาสักหน่อย แต่ทำไมเวลาอ่านแล้วถึงเก็ตและอินไปด้วย …ก็เพราะเขาเขียนสนุกไง ดังนั้นเล่มนี้ผมก็เขียนให้มันสนุกอยู่นะ 55555 (นี่ก็อวยตัวเอง)
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
นี่เป็นงานเขียนครั้งแรกของผมเองครับ แต่เป็นเล่มที่ 2 แล้วที่ออกกับสำนักพิมพ์แซลมอน โดยเล่มแรกคือ FAIL OF THE สอง YEARS ที่ตอนนั้นตัวเองยังครองตำแหน่งเฟลาธิการ (ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว) และนั่งกระดิกตีนคัดเลือกต้นฉบับเฉยๆ แต่ตอนนี้เขียนเองทั้งเล่ม
วาดรูปเองด้วย! ในเล่มมีการ์ตูนแบบแอนๆ แอบแฝงกระจายตัวอยู่เยอะแยะเลย ใครที่เคยอ่านการ์ตูนตีนปาดในบล็อกก็คงจะอิ่มหนำสำราญ
แต่ใครไม่เคยอ่านก็ลองอ่านดูก่อนจะเขวี้ยงทิ้งนะครับ เผื่อมันจะสนุก (สนุกเถอะขอร้อง)
ทีแรกจะใช้ชื่อผู้เขียนเป็นชื่อจริงว่า “ปรัชญา สิงห์โต” แต่มานึกดูอีกที คนจะรู้จักกูรึเปล่าวะ แต่ก็อยากมีชื่อจริงแปะไว้เหมือนกันนะ เลยถามกอง บ.ก.ดูว่ามันควรจะใช้ชื่อะไร ไม่รู้สรุปว่าไง แต่สุดท้ายก็เป็นนามปากกา iannnnn บนปก แล้วคนที่ไม่รู้จักหรือนับตัว n แล้วตาลายจะอ่านออกเสียงว่าไงวะ (ทำไมตอนตั้งชื่อนี้ถึงไม่คิด)
การเขียนต้นฉบับเล่มนี้ผมเขียนด้วยมือถือเกือบทั้งเล่มครับ คือทำงานประจำไง วันๆ ไม่มีเวลาว่าง จะไปว่างก็อีตอนอยู่บนรถไฟฟ้า เลยใช้ Galaxy Note นี่แหละค่อยๆ เขียนสะสมวันละนิดวันละหน่อยบน Google Docs แล้วทยอยส่งออนไลน์เลย เวลาคอมเมนต์แก้งานก็แก้แบบเรียลไทม์ ไม่รู้ว่าในบ้านเรามีคนเคยทำอะไรคล้ายๆ งี้รึเปล่า เพราะพอทำๆ ไปแล้วผมพบว่าระบบการผลิตต้นฉบับด้วยวิธีนี้ดีมากๆ ทั้งกับผู้เขียนเองและกอง บ.ก.ที่คอยไล่บี้ทวงงานเลยครับ ดีจนอยากให้นักเขียนท่านอื่นๆ ได้ลองดู รับรองชีวิตคุณจะดีขึ้นมาก มีลูก มีเมีย มีบ้าน มีรถ…
หนังสือเล่มนี้มีฉากวาบหวิวอยู่นิดหน่อย และมีคำหยาบแบบไอ้เหี้ย อีห่า อะไรแบบนี้นานๆ ครั้ง แต่ส่วนมากจะเป็นเนื้อหาออกแนวหล่อๆ โลกสวย อ่านสบายใจ ไม่เป็นพิษภัยต่อเด็กโข่งครับ
แจกลายเซ็นนอกรอบวันนี้ทำให้พบว่ามีผู้อ่านเป็นสาวตึงเยอะเลย! ที่แท้พวกหล่อนก็อยากจะมีลูกกันใช่ไหม เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ว่างแล้ว (พิมพ์บรรทัดนี้จบก็โดนเมียต่อย)
ชื่อหนังสือ “คือปะป๊าครองพิภพ” นั้น ถูกตั้งขึ้นมาก่อนที่จะลงมือเขียนซะอีก แล้วอี บ.ก.ดันถูกใจ เลยเอาเลย
ภาพวาด โลโก้ และดีไซน์หน้าปกนั้น ที่จริงผมร่างไว้หลายๆ แบบไปให้สำนักพิมพ์ดู ปรากฏว่าอี บ.ก.ดันถูกใจ เลยเอาเลย (เอ๊ะ คุ้นยังกะก็อปมาจากบรรทัดบน)
แหม จะเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือตัวเองเยอะๆ ก็เขิน เอาเป็นว่าถ้าสนใจก็ไปหาโอกาสลูบๆ คลำๆ ดูด้วยตาคุณเอง ถ้าชอบก็สแกนแจกตามเว็บบิตมาอุดหนุนกันได้ครับ เล่มละ 185 บาท แต่ซื้อในงานได้ลดอีกหลายร้อยบาท (มันจะเหลืออะไรวะ) ทั้งนี้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับจากการขายหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสมทบทุนกองทุนค่านมลูกและกระเป๋ารองเท้าเมียผมครับ
สุดท้ายนี้ขอแปะภาพบางส่วนที่ไปขอถ่ายเหล่าผู้มีพระคุณเซ็ตแรกสุดๆ ที่มาต่อคิวให้เซ็นกันทำไมก็ไม่รู้ ขอบคุณที่ให้เกียรตินะครับ ซึ้งใจมากๆ จริงๆ สุดๆ เสียดายบางคนลืมถ่ายเพราะมันแต่ตื่นเต้น ขออภัยครับ มือใหม่จริงๆ (แต่บางคนก็เป็นทีมแซลมอนนี่แหละ ทำเนียนๆ หยิบหนังสือมาให้เซ็นด้วย ร้ายกาจนัก)
อ้อ แล้วผมจะไปเฝ้าบูธแซลมอน (Y11 ฮอลล์ A) ตั้งแต่18:00 น. เป็นต้นไป ในวันที่ 1-4 เมษายนนี้ ใครจะไปงานหนังสือก็แวะทักทายและให้อาหารได้นะครับ หรือใครขี้เกียจไป ก็เจอกันตามแผงขายปลาและผักสดทั่วประเทศเร็วๆ นี้แหละ ขอบคุณครับ