iannnnn's Blog, page 20
December 17, 2013
เรียกว่ารีวิว Chromecast คงได้มั้ง: นี่คือความฟินของติ่งกูเกิล
คือเมื่อวานกลับจากอัมพวามาถึงบ้าน งานกองท่วมหัวเป็นภูเขา (ใครว่าเป็นฟรีแลนซ์แล้วว่างวะ) แต่ดันมีกล่องพัสดุมาส่ง เปิดดู ข้างในเป็น Nexus 5 (ซื้อให้เมีย) และ Chromecast
ในเมื่องานท่วมหัวขนาดนั้น เราเลยเลือกเบลอใส่ และหันมาแกะกล่อง Chromecast มาลองเสียบตูดทีวีทันทีด้วยอาการมือไม้สั่น แล้วก็พบว่าฟินสุดๆ เหี้ยๆ โคตรๆ สัสๆ แม่เอ๊ย
เนื่องจากวันนี้ผมมีงานท่วมไม่แพ้เมื่อวาน แน่นอน ผมเลยเขียนบล็อกเล่าอวดซะหน่อยว่ามันคืออะไร ดียังไง เอาแบบด่วนๆ นะ
Chromecast คืออะไร?
มันคือดุ้นเล็กๆ เอาไว้เสียบหลังทีวี ติดตั้งในคอมหรือมือถือนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นทีวีจะกลายเป็นเครื่องดูยูทูบแบบโคตรง่าย
ที่จริงมันทำไอ้นี่ไอ้นั่นได้อีกเยอะมาก (เช่นดูบริการสตรีมมิ่ง ฯลฯ ที่มีให้ดูดกระเป๋าเงินชาวอเมริกันมากมาย) และมีอุปกรณ์ที่ดูเหมือนจะคล้ายแบบนี้จากทั้งยี่ห้อดังและยี่ห้อจีนอีกมากมาย แต่เชื่อเถอะว่าไอ้นี่แหละง่ายบรมง่ายจริงๆ ครับ ง่ายจนมันได้รับรางวัลเป็นสุดยอดของเล่นไฮเทคแห่งปี 2013 จาดสถาบันไหนสักอย่างนี่แหละ ขี้เกียจหาต้นฉบับ
ซึ่งเอาเข้าจริงแค่การดูยูทูบในทีวีแบบโคตรง่ายและไม่กระตุกเลย ซึ่งเวลาผมทำงานดึกๆ มันเงียบ ก็ชอบเปิดคลิปนั่นนี่ดูเป็นเพื่อน แต่มันชอบเกะกะพื้นที่แท็บในโครม หรือเกะกะทรัพยากรเครื่อง หรือเอามาเปิดในมือถือก็ดันรู้สึกว่าจอมันเล็กไป งั้นขอเอามาเปิดบนทีวี (ซึ่งที่ผ่านมา ปีนึงจะเปิดดูประมาณ 3 ครั้งได้) นั่นก็มีค่าเพียงพอแล้วที่ผมจะควักตังค์จ่ายในราคา 1190 บาท
เริ่มแกะกล่องรีวิว
พอซื้อมาก็จะเห็นเป็นไอ้แบบนี้ครับ
ถอดกล่องออกมา ข้างในมีกล่องอีกชั้น
เปิดกล่องอีกชั้น เห็นไอ้เจ้าดุ้นนี่นอนอยู่ ส่วนด้านซ้ายคือคู่มือ
นี่แหละครับ Chromecast (ขออภัยที่ภาพสีเพี้ยน ขี้เกียจปรับ)
ฝั่งนึงเป็นพอร์ต HDMI เอาไว้เสียบตูดทีวี
อีกฝั่งนึงเป็นรูไว้เสียบพลังงานต่อเข้าอุปกรณ์ ซึ่งเท่าที่อ่านๆ มาเห็นว่าถ้าเสียบตูดทีวีที่เป็นพอร์ต HDMI รุ่นใหม่สักรุ่นนี่แหละ มันจะมีพลังงานในตัว ไม่ต้องเสียบพลังงานอีกแล้ว แต่ทีวีผมยังต้องเสียบอยู่ ก็ไม่เป็นไร ใช้ไฟจากพอร์ต USB ข้างๆ ก็พอครับ จิ้มเชื่อมผ่านสายที่เขาแถมมากับกล่อง คค เนี่ยได้เลย
เมื่อเสียบอุปกรณ์ที่ตูดทีวีเสร็จ ก็กดรีโมตทีวี เลือก source เป็นอันใหม่ที่มันปรากฏขึ้นมา ของผมนี่บนจอก็จะขึ้นงี้
December 13, 2013
[บทความโฆษณา] สั่งสกรีนเสื้อยืด จับฉลากของขวัญปีใหม่กันไหมครับ
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน (นับรวมถึงสิ้นปีนี้ได้ 4 ท่านพอดี)
บทความนี้เป็นบทความ Advertorial ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากร้านโมนามาเฟีย ซึ่งเป็นร้านสกรีนเสื้อ (คือทำลิงก์ SEO ไปทำไม) ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในข้อเขียนที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้… ได้ไงล่ะ ก็มันร้านของผมเอง!
คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้ไหม!
ใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน ที่โรงเรียน มหาลัย เวลามีงานปีใหม่ให้จับสลากทีนึง ไม่รู้จะเอาอะไรไปจับฉลากให้มันเท่ๆ ฮาๆ และคุ้มค่าคุ้มราคา สะใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับใช่ไหมครับ
ลองนี่เลย! เสื้อยืดสกรีนลายเจ๋งๆ เก๋ๆ เท่ๆ กวนๆ ชวนให้ผู้คนสงสัยว่าไปซื้อจากไหนมาเนี่ย ออกแบบลายสกรีนเสื้อยืดมาได้เลย เดี๋ยวเราผลิตให้ เป็นของขวัญพิเศษในช่วงปีใหม่ที่มีเพียงตัวเดียวในโลก เก๋ปะล่ะ!
หรือถ้าคิดไม่ออก ลองใช้ลายสกรีนกวนๆ (บางทีก็กวนเกินไป) ที่ร้านโมนามาเฟียออกแบบมาพิเศษเพื่อเทศกาลปีใหม่ 2557 โดยเฉพาะก็ได้นะครับ
เสื้อยืดสกรีนจากร้านโมนามาเฟีย เป็นผ้าคอตตอน 100% เนื้อดีมากกกก ผ้างี้นุ่ม ใส่สบายมากกกก ใช้เทคนิคสกรีนแบบ Direct Screen (พิมพ์ลายลงไปในเส้นใยผ้า **ไม่ใช่การรีดทับเป็นแผ่น**) ดังนั้นจึงยิ่งสวมใส่สบาย เอามือจับลายสกรีนก็ไม่สากเป็นแผ่นๆ ลูกค้าที่สั่งผลิตไปก็ต่างก็พูดตรงกันว่าใส่แล้วแฮปปี้ มีความสุข สนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขภาพดี มีเงินทอ.. (พอ!)
เข้าประเด็น เสื้อเหล่านี้ เราทำขายครับ ราคาตัวละ 249 บาทเท่านั้น โอนเงินแล้วรับของได้ถึงบ้านคุณภายใน 2-3 วัน (EMS)
คลิกดูไซส์เสื้อ และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.monamafia.com/our-services/direct
ติดต่อสอบถามและสั่งเสื้อทันทีผ่าน Message ของเพจร้าน monamafiashop ได้เช่นกันจ้ะ
ตัวอย่างเสื้อที่ออกแบบตะกี้บางส่วน (คือบางลายกะเอาไว้เล่นมุกนะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เผื่อมีใครบ้าสั่ง)
กดดูทั้งหมดได้ที่อัลบั้มนี้เลยจ้ะ ยิฮิ้ว!
หมายเหตุ: ถ้าเป็นเสื้อสำหรับจับฉลากแนะนำให้สั่งเป็น Free Size ครับ
อยู่บนถนนต้องมองให้เห็นแววตาคนขับรถ
แปลเป็นไทยว่าใจเขาใจเรานั่นแหละ จะเขียนให้ยากทำไมไม่รู้
คือเมื่อวานซืนเจอกรณีนี้มา
ตะกี้เบรกรถหลบกะทันหัน เกือบชนว่าที่คู่กรณีเป็นแท็กซี่ที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเลนตัดหน้า ชะโงกดูปรากฏว่ามือนึงกำลังถือโทรศัพท์คุย และไม่เห็นเรา
— 囧 (@iannnnn) December 11, 2013
ทีแรกจะด่า แต่นึกคำว่าไอ้เหี้ยไม่ทัน ไม้ทันกระทั่งจะบีบแตร เลยช่างมัน พอผ่านมาสองวันก็ก็รู้สึกผิดว่าไม่ควรช่างมัน เลยเอามาเขียนหน่อย
คือผมเป็นมนุษย์ที่เกลียดการเดินทางในกรุงเทพฯ ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็จะเปลี่ยนวิธีการเดินทางสารพัดสารเพ เท่าที่ร่างกายจะอำนวย มีทั้งโดยสารรถกระป๊อ รถเมล์ รถสองแถว รถแท็กซี่ (อันนี้น้อยที่สุด ไม่ชอบ) รถไฟฟ้า รถตู้ ส่วนที่บังคับเองก็มีทั้งรถยนต์ (ใช้เวลาไปไหนกับลูกเมีย) รถเครื่อง (เวลารีบโคตรๆ) และรถจักรยาน (เวลารีบน้อยลงมานิดนึง) ซึ่งตอนนี้ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมนุษย์จักรยานได้สำเร็จแล้ว ถึงจะไม่ได้ไปร่วมกีซนหรือเข้าสมาคมใดๆ เลยก็ตาม (ลุงๆ ป้าๆ ที่เขาขี่กันก็ไม่เห็นต้องเข้าสมาคมอะไร)
เนื่องจากตัวเองขับ ขี่ และโดยสารรถมาหลายแบบ ก็เลยพอเข้าใจว่าธรรมชาติของรถแต่ละแบบมันต่างกันยังไง และการอยู่ร่วมกับรถแต่ละแบบนั้นต้องทำยังไง ผมเลยเลือกไม่บีบแตรด่าใคร (ยกเว้นจะเหี้ยเกินมาตราริกเตอร์ที่กำหนด ซึ่ง 1 ปีมีประมาณ 1 เคส)
แต่กับคนที่ไม่เคยหรือไม่ค่อยได้ลองสังเกตว่าพาหนะอื่นมีสรรพคุณ อุปนิสัยยังไง อุบัติเหตุมันเลยเกิดจากอะไรแบบนี้บ่อยๆ
เช่นที่บ่อยที่สุดคือเวลาขับรถยนต์จะเลี้ยวซ้ายออกจากซอยเข้าถนนใหญ่ จะมีรถเครื่องที่แซงซ้ายแว้บ แต่เราในฐานะคนขับรถยนต์ เรามองขวาไง เกือบชนไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไมไ่ด้ประเดิมสักที
หรือเวลาขับหรือขี่ตามหลังรถยนต์ เรารู้ว่ารถยนต์ทุกคันมีมุมอับสายตา (ตอนอบรมก่อนสอบใบขับขี่ก็มีคลิปอธิบายให้ดูนะ) เราก็จะเลือกทิ้งระยะ หรือถ้าอยู่ใกล้อยู่แล้ว ก็จะขยับไปในมุมที่กระจกมองข้างหรือกระจกหลังสามารถมองเห็นได้
หรือเวลาขี่จักรยาน มีบ่อยครั้งที่ต้องสอดแว้บ แฉลบไหลผ่านข้างๆ รถเมล์เวลาติดไฟแดง ผมจะหยุดทำการแว้บเมื่อเห็นไฟเคานต์ดาวน์เริ่มใกล้จะเขียว หรือจังหวะที่รถข้างหน้าเริ่มขยับ นั่นแหละ โชเฟอร์เขาจะไม่เห็นเราแล้ว และเราก็จะกลายร่างเป็นกบแบนกลางถนน
หรือแม้แต่การปฏิบัติตัวกับคนขี่จักรยานเอง เรารู้ว่าแม่งถ้าปั่นมาเร็วๆ แล้วต้องมาบีบเบรกมือจนเสียความเร็วเพราะติดรถชาวบ้านนี่เป็นสิ่งที่เซ็งมาก ดังนั้นเวลาขับรถเจอจักรยาน ผมเลยให้ทางจักรยานไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนพอรถติดเราก็จะเว้นช่องไว้ให้พอดีๆ เสมอเป็นนิสัยหยุมหยิม
ยังมีอุบัติเหตุอีกมากมายที่เกิดขึ้นเพราะเราไม่เข้าใจธรรมชาติของอีกฝ่าย จนมีฝรั่งเขาทำแคมเปญรณรงค์สำหรับคนี่จักรยานกับรถสิบล้อ ว่าลองมาสลับกันขับไหม จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไร คิดอะไร
ที่มาและรายละเอียดจากบล็อกนี้: เหตุผลที่คุณไม่ควรปั่นข้างรถบรรทุก
อ้อ ยังมีอีกอย่างคือแถวบ้านผมจะมีไฟแดงคนข้ามอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าผมจะเป็นผู้ข้ามเอง หรือเป็นรถที่จอดรอให้เขาข้ามเสร็จแล้วค่อยไป (คือเหมือนเป็นกติกาที่เออออกันกลาๆ ว่า ถ้าคนข้ามเสร็จแล้ว รถก็ไปได้) และเกลียดมากเวลามีคนกดไฟแดงขึ้นแล้ว แต่รถไม่หยุด ปล่อยให้คนข้ามต้องรองวดถัดไปอีกครั้ง คือถ้าเจอผมจะจ้องหน้ามัน คือทำอะไรก็ไม่ได้ไง แค่จ้อง จ้องผ่านกระจกรถ ลึกเข้าไปให้ถึงแววตาของมัน เจ็บปวดหรือเปล่าไม่รู้แต่กูจ้องไว้แล้วแหละ คือมึงไม่ได้แค่ไร้น้ำใจนะ นี่มึงทำผิดกฎหมายด้วย กูจะฟ้อง กปปส.
ป.ล.
นึกถึงเรื่องจักรยานที่โอซาก้า ไปมาตั้งกะเมษายังไม่ได้เขียนซะทีจนลืมหมดแล้ว
ไว้คราวหน้าเลยละกัน ตอนนี้อู้งานอยู่
December 8, 2013
สรุปสถานการณ์การเมืองในรอบ 2-3 วันมานี้
ป.ล.
ทำไมบล็อกสองตอนล่าสุดถึงกลายเป็นถังเก็บภาพวาดที่เอาไปทวีตไว้ได้วะเนี่ย
เอาน่ะ อ้างว่าไม่มีเวลา + กลัวหาย เซฟขึ้นบล็อกไว้ก่อนละกัน
ส่วนต้นฉบับที่ทวีตไว้และโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊กอีกทีก็ตามลิงก์
December 7, 2013
เปิดตัวโลโก้ กปปส.
ป.ล.
เรายังอยู่ในยุคที่แซวอะไรแบบนี้อย่างเปิดเผยได้ใช่ไหม
ถ้าไม่ได้ ใครจะจับไปจับอีเอนะครับ มันเป็นคนเสนอไอเดีย
November 18, 2013
รายนามแอปในมือถือแอนดรอยด์ของข้าพเจ้า
พอดีเพิ่งซื้อ Note 3 มาน่ะครับ (ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นสาวกซัมซุง แต่ก็ใช้ทั้งโน้ต 1 ยันโน้ต 3 นะ)
ก็เลยเอาโน้ต 2 เครื่องเดิมไปขาย แล้วไหนๆ จะจากกันทั้งทีเลยขอลิสต์รายการแอปที่ลงไว้ และชอบจนจะลงในเครื่องใหม่อีกที ทั้งนี้ก็เป็นการแนะนำโลกของแอนดรอยด์ให้คนที่ไม่รู้จัก หรือค่อยได้เล่นอะไรกะมันไปด้วยเลย ขอเตือนว่าบล็อกนี้ยาวอีกชัวร์ แถมยังเต็มไปด้วยอคติและรสนิยมส่วนตัวเช่นเคยครับ
AirDroid
แอประดับห้าดาว (เดี๋ยวนี้เหลือ 4 ดาวครึ่งแล้ว) สุดยอดขวัญใจตลอดกาลตัวนึงของข้าพเจ้า เอาไว้โอนไฟล์ข้ามกันระหว่างมือถือกับคอม และจัดการนั่นนี่ได้เยอะมาก ภายใต้หน้าตาที่สวยงาม ใช้ง่าย เอาไว้ข่มพวกใช้ไอโฟน และกันตายได้หลายรอบละ
Delicious
เอาไว้เก็บลิงก์เด็ดจากแอปอ่านฟีดบ้างไรบ้าง แล้วเด้งเข้าทวิตเตอร์ในนาม #aroi ให้เอง (ผ่าน IFTTT)
Facebook + Facebook Messenger ข้ามไปเนอะ เพราะรู้จักกันหมดแล้ว
GALAXY Gift
แอปสำหรับคนใช้มือถือซัมซุงที่ชอบกินฟรี หรือกินของถูก ดูหนังถูกอะไรงี้ คือลงไว้เพื่อโชว์เหนือว่ากูเป็นอภิสิทธิ์นได้เพียงใช้มือถือยี่ห้อนี้ ถือเป็นแอปที่ดีและใช้งานได้จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ยกให้เป็นโบแดงของซัมซุงไทยเลยครับ
Google+, Hangouts, Line ข้ามไป
Photo Frame Free:Easy Collage
เอาไว้จัดภาพถ่ายใส่เฟรมสามช่องสี่ห้าช่องก็ว่าไป เวอร์ชันที่ใช้เองนี่ฟรี แต่อันที่เสียตังค์คือซื้อให้ในเครื่องเมีย แล้วขี้เกียจจ่ายของตัวเอง เลยใช้ของฟรี ซึ่งก็ดีพอแล้ว
SolCalendar – Android Calendar
หลังจากหาแอปปฏิทินที่ใช้ง่ายจริงๆ และหน้าตาไม่ขี้เหร่จริงๆ มานาน ก็เจอตัวนี้ (ของกูเกิลเองสวย แต่ใช้ไม่ง่าย ผิดหวังนะ ส่วนของซัมซุงกลับกันคือใช้ง่ายแต่ไม่สวย) บ้าจริง เป็นปฏิทินสัญชาติเกาหลีที่หน้าตาดีมากกกกก ของเล่นกุ๊กกิ๊กเยอะมาก และความสามารถครบเท่าที่เราผู้นัดหมายอะไรไว้ในปฏิทินตลอดเวลาได้ซูฮกกับมัน ใครไม่เคยลอง ลงเลย อันนี้แนะนำมาก
WordPress อันนี้ก็ข้ามไป
อ้าว เพิ่งเห็นว่าแอปข้างบนนี่คือมันเพิ่งอัปเดต เลยรายชื่อมันขึ้นมาบนๆ ฉิบ ไม่ไล่ตามตัวอักษรซะงั้น งั้นต่อไปนี้จะเป็น A-Z ละนะครับ
“ราคาทอง” Gold price
เมื่อก่อนทองกำลังขึ้นเลยลงแอปนี้ไว้ดูราคาหนุกๆ พอซื้อปั๊บ แม่งลง ติดดอย อีห่า แอปกาก
Android Lost
เอาไว้หามือถือหาย ส่งพิกัด ส่งเสียง ข้อความ ถ่ายรูป ฯลฯ ได้หลายอย่างมาก ออกมาก่อนที่กูเกิลจะออก
Android Device Manager
ซึ่งพอทำได้เหมือนกันแต่ไม่เก่งเท่า เผอิญมีดีที่หน้าตาสวยกว่าเท่านั้นแหละ
AppGratis
เอาไว้แนะนำแอปที่ปกติเขาทำมาขาย แต่ไม่รู้ไปทำไงมาให้เขาแจกฟรีรายวัน วันละตัว ก็ดีนะ
Baby Sleep Music Lullaby Box
เอาไว้กล่อมเด็กที่บ้านให้หลับตั้งแต่ยังเป็นเบบี๋ ซึ่งมีหลายตัวในท้องตลาดนะ แต่ตัวนี้เพลงโอเคสุดแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้แล้ว เพราะแม่มันตัดสินใจซื้อแอปนิทานก่อนนอน ซึ่งได้ผลกับเด็กคนดังกล่าวตั้งแต่ขวบครึ่งเป็นต้นมา
Barcode Scanner
ไม่มีอะไรพิเศษ ลงไว้เพราะได้ใช้
Beautiful Timer
จัดอยู่ในหมวดแอป “สวยโคตร แต่เมื่อไหร่จะได้ใช้วะ” แต่มันสวยจริงๆ คือลงไว้ให้หนักเครื่องเล่นก็ได้ เพื่ออวดรสนิยม
Camera 360, Chrome ข้ามไปนะ
eBay
น่าตกใจที่หลังๆ มานี้ แอปนี้สวยขึ้นมากๆ ก็เลยใช้บ่อย เสียเงินบ่อยซะงั้น
Facebook Pages Manager
เหตุผลที่ต้องลงเพราะเมียโยนร้านสกรีนเสื้อให้ดูแลต่อแทน ก็เลยลงไว้ใช้คุยกะลูกค้า ซึ่งก็ดีนะ คือแอปมันแย่มากแหละ แต่มีไว้ก็ดีเพราะสถานการณ์บังคับ (ตรงที่ “ใครๆ ก็อยู่ในเฟซบุ๊ก”)
File Wrangler
แอป File Manager ที่หน้าตาเรียบๆ ดีไซน์แบบกูเกิลแท้ๆ เลย แต่ก็ทำได้หลายอย่างแบบที่กำลังพอดี คือไม่มากไป ไม่น้อยไป และเรารักความเร็วแบบนี้ (แต่ไอคอนน่าเกลียดจนอยากด่า)
Flickr
เอาไว้เก็บไฟล์ภาพถ่ายหรือภาพวาดเพื่อประกอบบล็อก (เช่นบล็อกตอนนี้ก็เช่นกัน) ข้อดีคือทุกอย่างสามารถทำได้จบในมือถือเลย และดีด้วย ถือเป็นบริการของค่าย Yahoo ที่น่าชม
Foursquare ข้ามไปนะ
Full Screen Caller ID – BIG!
เอาไว้โชว์หน้าตาคนโทรเข้ามาแบบเต็มๆ แน่นอนที่ต้องลงไอ้แบบนี้เยอะแยะเพราะหน้าตาของซัมซุงมันแย่มาก แต่โชคดีที่นี่คือแอนดรอยด์ ไม่ชอบอะไรก็ไปหามาสวมซะให้เป็นของเรา ซึ่งน่าเสียดายมากที่แอปนี้ไปโหลดมาในวันที่ AppGratis มันแจกให้ฟรีวันนึง พอน่จะลงใหม่ในเครื่องใหม่ มันดันเป็นรุ่นที่มีโฆษณา ก็เลยบ๊ายบายไปก่อนนะ
Gmail, Google Adsense, Google Analytics, Google Calendar, Google Drive, Google Earth, Google Maps, Google Text-to-speech, Google Translate ข้ามไป (รู้เลยว่าเป็นสาวก)
Google Keep
น่าจะเป็นลูกเมียน้อยอีกตัวของกูเกิล เมื่อก่อนเราใช้ GTasks ที่มันไปเชื่อมกับ Google Tasks แต่นั่นก็ท่าจะโดนปลดระวางไปแล้ว และหันมาชูไอ้ตัวนี้ได้แป๊บๆ แต่ก็ไม่มีลิงก์เข้าตรงๆ ผ่านปุ่มเก้าเม็ดของกูเกิล เลยสงสัยว่ามึงจะดันจริงหรือเปล่า แต่ก็ใช้บ่อยนะ ทุกวันแหละ เอาไว้จดทิ้งขว้างและ sync ข้ามเครื่อง (มันคือ EverNote ของกูเกิล)
GoPro App
เอาไว้ต่อกล้อง GoPro หนุกๆ
InstaFontMaker Font Maker Free
ทำฟอนต์ลายมือไว้ใช้งานเองในแอนดรอยด์ (และเอามาโมเล่นในคอมได้ด้วยแหละ) อ้อ ในทีมงานของแอปนี้มีคนไทยด้วย ดีใจมาก กรี๊ดกร๊าดเลย
ลงไว้เพื่อคอมเมนต์ชาวบ้านแท้ๆ เลย
Lapse It • Time Lapse • Pro
เอาไว้ถ่าย Time-lapse เล่นหนุกๆ รู้สึกจะซื้อมาตอนมันลดราคานะ
MX Player
แอปดูหนังที่เหมาะมือที่สุดแล้วอันนี้ ชอบที่มันใช้นิ้วแถกลงไปบนจอเพื่อปรับเสียง ปรับตำแหน่ง ปรับความสว่างได้ ซึ่งแอปอื่นมันยุ่งยากกว่านี้
My Tracks
เอาไว้บันทึกเวลาและเส้นทางการขี่จักรยาน เสร็จแล้วเปิดดูเป็น Google Earth ได้ด้วย เวลาเห็นเส้นทางที่ตัวเองวิ่งปรู๊ดไปบนแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเป็นแอนิเมชันนี่ แม่งอลังการมาก! แถมยังสำรองข้อมูลไว้บน Google Drive อีกแน่ะ อย่างหลังนี่ชอบมาก (แต่ก็เชื่อว่าแอปนี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่เห็นมีการปรับดีไซน์อะไรตามแอปอื่นๆ ของกูเกิลเลยมานานแล้ว)
Nova Launcher + Nova Launcher Prime
อย่างที่บอกว่าเกลียดดีไซน์ของซัมซุง เลยลงตัวนี้ แล้วชีวิตก็ดีขึ้นมาก สะดวกมาก สนุกมาก เร็วมาก
OLYMPUS Image Share
คล้ายๆ แอปโกโปร แต่อันนี้คือกล้อง E-P5 ซึ่งมันถ่ายหันหน้าหาตัวเองไม่ได้ ก็ได้แอปนี้แหละช่วย
ในคอมใช้บ่อยมากถึงขั้นเสพติด เลยลงเวอร์ชันมือถือไว้ด้วย นานๆ จะได้นั่งเปิดดูสักที ส่วนมากจะเป็นการแชร์รูปภาพออก เดี๋ยวนี้สนิทพอๆ กัน หรือไม่ก็เผลอๆ สนิทมากกว่า Delicious ด้วยซ้ำ
แอปสำรองอ่านที่ดีมากๆ ตุนไว้อ่านเยอะๆ แก้ว่างได้ดีนักแล
Poweramp Music Player
เอาไว้ฟังเดอะช็อกตอนแว้นไปนอกบ้านและทำงานง่วงๆ (ล่าสุดลองเปลี่ยนมาใช้ Clean Music Player ที่ไร้ระบบ Library แต่เล่นไฟล์จากโฟลเดอร์เอาเลยง่ายดี ซึ่งดี แต่ยังไม่สนิท)
Quickoffice
ชุดออฟฟิศที่โอเค อ่านไฟล์ PDF ได้ดีก็น้ำตาไหลแล้ว
QuickPic
แอปดูรูปที่ใช้สะดวกมือที่สุด ปรับนู่นนี่ได้เยอะ และใช้ง่ายกว่าแอป Gallery หลักของแอนดรอยด์ซึ่งน่ารำคาญมาก แม้จะเปลี่ยนมารวมกะ Google+ เป็นชื่อ Photos ก็ยังน่ารำคาญอยู่ เลยใช้ตัวนี้แหละ ใช้มานมนาน ตั้งกะสมัยมี hTC Legend แล้ว เมื่อก่อนใช้ดูภาพและอ่านการ์ตูน แต่อัปเดตล่าสุดนี่คอนโทรลไฟล์คลิปด้วยการลากนิ้วซ้ายขวาขึ้นลงได้ด้วย จบเลย แอปเดียวจบจริง
Reader+ | Reader Plus
แอปอ่านฟีดลูกเมียน้อย (คือเวลาค้นแล้วชื่อมันจะไม่ค่อยติดที่แรกๆ) ที่ผมว่าดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วแหละ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นฝีมือนักพัฒนาชาวเวียดนาม
SketchBook Pro
ที่จริงของโน้ตสามก็มีแอปนี้เหมือนกันแต่เป็นเวอร์ชันในนามซัมซุง ก็โอเคนะ แต่เคยจ่ายเงินซื้อมันทั้งรุ่นโปรรุ่นไม่โปรมาแล้ว ก็เลยใช้ต่อละกันจะได้ดูเท่ ตัวนี้ใช้บ่อยมาก และยืนยันว่ามันเทพจริงๆ สุดๆ โคตรๆ รีดความเจ๋งของปากกาโน้ตสามมาได้สุดยิดมิดด้าม
Snapseed
ใครที่ชอบถ่ายภาพง่ายๆ ด้วยโทรศัพทพ์มือถือ แต่ขี้เกียจแต่ง ขี้เกียจยัดและเลือกฟิลเตอร์ (ผมคนนึง) แต่อยากได้ภาพที่มันดูดีๆ หน่อย ต้องแอปนี้เท่านั้นครับ กล้ายืนยันด้วยเกียรติของพนักงานพับเสื้อยืดเลย ถ้าใครที่เคยใช้ก็คงไม่ตองบรรยายละ แต่ดูแล้วเป็นแอปที่แต่งภาพได้ดีและสะดวกรวดเร็วๆ สุดๆ และได้ผลงานออกมาสวยงามที่สุด เป็นความสวยงามที่สวยจริงๆ ไม่ใช่สวยแบบอัดฟิลเตอร์เพื่อปิดบังข้อบกพร่องอย่าง Camera360 หรือ อตก นู่น (โดนสาวกกระทืบ)
Super-Bright LED Flashlight
ในตลาดมีแอปไฟฉายประมาณ 100000 ตัว ผมว่าตัวนี้มันง่ายดี ไอคอนไม่เลว หน้าตาโอเค มีใครเสนอตัวอื่นไหมครับ
SuperBeam | WiFi Direct Share
ไว้แชร์สารพัดของกันระหว่างเครื่อง สะดวกๆๆ ยิ่งมี NFC หรือทำ Wifi Hotspot ได้ก็จะยิ่งชอบแอปนี้
Thailand Radio
เอาไว้ฟังเพลง ฟังรายการ อ.วีระ (จบ)
Timely Alarm Clock
แอปนาฬิกาปลุกที่สวยงามสง่าท้าแดดฝนที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
True iService
เอาไว้เช็กว่าเดือนนี้จ่ายค่ามือถือหรือยัง ใช้เน็ตไปเท่าไหร่แล้ว และเผลอๆ ก็เอาไว้จ่ายบิลออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตในแอปซะเลย
TSwipe-Pro keyboard
ใช้มาตั้งแต่สมัยแรกสุดที่รู้จักมือถือฉลาดยี่ห้อแอนดรอยด์เหมือนกัน ทุกวันนี้พิมพ์ข้อความด้วยคีย์บอร์ดตัวนี้ เร็วกว่า และสะกดถูกต้องกว่าพิมพ์บนคอมไปแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นี่ถ้าผมตายไปฝากบอกลูกหลานให้เผามือถือที่ลงแอปนี้ไปให้ด้วยนะ เดี๋ยวจะโชว์สกิลการเป็นผีถ้วยแก้วให้ดู ลากเส้นเป็นคำได้มันส์มาก
Tumblr
เอาไว้อัปบล็อกการ์ตูนนินทาลูก และถ่ายภาพจักรยานตามสถานที่ต่างๆ สมเป็นวิถีสลิ่ม (แต่ไม่ได้แชร์ไปที่อื่นนะ ด้วยความสันโดษแบบแปลกๆ คือมึงจะโซเชียลหรือไม่กันแน่ก็ไม่รู้ 5555)
Twilight
เอาไว้ปรับสีจอให้เป็นสีส้มๆ เพื่อถนอมสายตาเวลาเล่นกลางคืนๆ หรือนอนคลุมโปงเล่นมือถือ ถ้าไม่เชื่อ ลองลงดู ในแอปมีผลวิจัยนั่นนี่รังสีสเปกตรัมให้อ่านด้วย
หลักฐานที่บอกว่าเราเสพติดสังคมออนไลน์คือสิ่งนี้แหละ ใช้เวลาอยู่กับมันนานพอๆ กับการเปิด Reader+ เพื่ออ่านข่าว (เผลอๆ ก็อ่านข่าวเสร็จ แชร์มาทวีตงี้ ดูเหมือนเป็นคนมีความรู้ขึ้นมาทันที ง่ายเนอะ)
Vine
แอปถ่ายเล่นที่ถูกลืม ที่จริงชอบนะ สนุกดี 6 วินาทีเอง ถ่ายอะไรแม่งไม่ทันสักอย่าง สัส
November 9, 2013
ลาดปลาเค้าถึงราชดำเนิน: ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย
เมื่อวานไปม็อบมาครับ (อย่าเพิ่งอุ๊ยหรืออี๋ อ่านบล็อกที่แล้ว: ทัศนคติด้านการเมืองของข้าพเจ้าก่อน)
คืองี้ ตั้งใจว่าจะลองไปดูบรรยากาศการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสักวัน และตั้งใจว่าจะลองปั่นจักรยานไป เลยเลือกเอาวันที่ท่าทางอากาศจะไม่ร้อนมาก ก็คือมีเมฆเต็มฟ้าเนื่องจากพายุดีเปรสชันลูกก่อนหน้า แถมยังเป็นวันศุกร์ด้วย คิดว่าบรรยากาศช่วงหัวค่ำน่าจะคึกคักดี เพราะสถานการณ์ที่นักการเมืองกำลังยื้อกันไปยื้อกันมา และบิ๊วอารมณ์ผู้ติดตามข่าวนี้อยู่ให้รู้สึกว่ากูต้องไปหน่อยละ ทำให้วันศุกร์ที่คาดไว้ว่าคนน่าจะมากันเยอะ ก็เยอะจริงๆ รวมพนักงานออฟฟิศที่วันเสาร์ไม่ต้องทำงาน ก็สามารถมาร่วมฯ ได้อีก ด็โอเค บ่ายสามปั๊บ จะเริ่มปั่นไปละกัน
แต่ปัญหาคือ แม่งไกล..
เนื่องจากผมเป็นพวกมนุษย์หน้าคอม ที่ร่างกายปวกเปียก คือไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย ดังนั้นกล้ามเนื้ออะไรก็ไม่มี จักรยานที่มีปกติผมก็เอาไว้ปั่นแค่ซื้อก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน หรือปั่นเล่นตอนไปเที่ยว ที่เคยคึกสุดก็ปั่นจากเซ็นทรัลเวิลด์กลับมาบ้าน กับปั่นจากบ้านไปเมืองทองธานี แวะนอนบ้านพี่ติ๊กพี่เจน แล้วเช้ามาก็ปั่นต่อไปปทุม เรื่อยๆ ก็งวดละไม่ถึง 20 กิโล เท่านี้ก็เมื่อยขาและปวดไข่แล้ว แต่นี่ลองดูระยะทาง มันประมาณ 20 กิโลนิดๆ ไปกลับก็ 40 เศษๆ นี่กูจะตายเอาไหมนะ แถมถ้าขากลับเกิดดึกขึ้นมา จะโดนโจรปาดคอแบบไอ้ปิง (เพื่อนที่โดนจี้ทำร้ายก่อนนักข่าวที่เป็นข่าวดังๆ เมื่อช่วงต้นปีนี้แค่วันเดียว) ไหมนะ แล้วถ้าฝนตกขึ้นมา จะแบกขึ้นแท็กซี่ดีไหมนะ เขาจะรับไหมวะ เปียกแบบนั้น ฯลฯ
ก็เลยช่างแม่ง ให้ได้ปั่นออกมาก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน
เลยถีบรถมาเรื่อยๆ ครับ พบว่าบ่ายสามครึ่งที่ฟ้ากำลังครึ้มๆ นั้นปั่นสบายมาก ไม่ร้อน ตัวไม่เหนียว แม้ไม่ได้พกน้ำติดตัวมาก็ปั่นได้ยาวจนเกือบถึงที่หมายเลย
ที่บอกว่าเกือบ ก็เพราะหลงครับ ไปหลงเอาตั้งกะข้ามทางรถไฟแถวถนนพระรามห้าพระรามหก แล้วก็ขี่มั่วไปเรื่อยๆ จอดดูแผนที่กูเกิลเรื่อยๆ ถนนแมวอะไรไม่รู้จักสักเส้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วมันต้องไปถึงจนได้ล่ะน่า
แล้วก็มาถึงครับ
คือพอคุ้นๆ กะถนนแถวสุโขทัย พิษณุโลก (แค่ชื่อถนนก็งงแล้วเห็นมะ) ปั๊บ หันไปมองทางซ้าย อ้าว แม่งเขมรเฉยเลย
คือมันเป็นแนวสกัดม็อบของตำรวจน่ะครับ มีแผงแบริเออร์ สลับกับลวดหนามเป็นทุ่งใหญ่นเรศวรเลย
โดยฝั่งที่ผมเอากล้องไปตั้งไว้ข้างบนเนี่ย สูงสัก 180 ซ.ม.ได้ กะว่ากันซอมบี้บุกได้เลยนะ
มองฝั่งนู้นก็เห็นตำรวจในชุดปราบจราจลเต็มยศนับร้อยๆ นาย แบบที่เคยเห็นแค่ในภาพข่าว แต่นี่พอเจอจริงๆ ก็หลอนอยู่เหมือนกัน แบบ ถ้าเกิดมีเหตุอะไรขึ้นมา กูอยู่ตรงคงปั่นหนีไม่ทันแน่ๆ
ถ้าจำไม่ผิด ตรงนี้คือสะพานมัฆวานรังสรรค์ครับ หันกลับมาทางฝั่งเรา ก็มีกลุ่มประชาชนจำนวนมาก นั่งๆ ยืนๆ คุยกันบ้าง ถ่ายรูปบ้าง ส่วนหนึ่งก็เตรียมอุปกรณ์ไว้เขียนและพ่นสีกำแพง เป็นกราฟิตี้หรือจะเขียนด่ารัฐบาลก็แล้วแต่จะสะดวก
ได้ยินเสียงปราศรัยบนเวที เนื้อหาเกี่ยวกับคดีเขาพระวิหาร ฟังแล้วไม่หยาบคายนะครับ ต่างจากภาพที่คิดไว้พอสมควร (เข้าใจว่าเป็นนักวิชาการมาให้ความรู้ ข้อมูล มากกว่านักรณรงค์ที่เน้นปุกระดม) พอเดินไปถึงช่วงที่เป็นเวที ก็พบคนจำนวนหนึ่งนั่งฟังอยู่ ไม่เยอะครับดังภาพข้างบน นอกนั้นก็ท่าทางจะทยอยมาสมทบเรื่อยๆ
คือเราตามข่าวแค่ในเว็บกับในทีวี (ซึ่งก็ดูผ่านยูทูบอีกที) ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าม็อบแต่ละม็อบมันอะไรยังไงกัน คือผูกพิกัดแผนที่ไม่ถูกน่ะ พอมาเห็นของจริงเลยเข้าใจครับ เวทีนี้น่าจะเป็นของ คปท. โดยอยู่บนถนนราชดำเนิน (กลางใช่ปะ) หันหน้าไปฝั่งทำเนียบรัฐบาล โดยแนวรบของตำรวจก็ปกป้องอยู่ฝั่งทำเนียบฯ นี่เอง
ฟังสักพักก็ปั่นต่อมา เลยกระทรวงศึกษาธิการ แล้วก็แยกที่เลี้ยวไปขึ้นสะพานพระรามแปดน่ะครับ ตรงนี้การจราจรเปิดปกติดี โดยมีพี่วินตั้งคิวรออยู่ตลอดทาง เชื่อเหลือเกินว่าช่วงนี้คือช่วงโกยเงินเลยแหละ เพราะคนเข้าออกกันเยอะมาก
อีกม็อบนึงอยู่ตรงแยกผ่านฟ้าครับ เจ้าภาพคือกองทัพธรรม มีเต็นท์ใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้ตั้งขวางตรงแยกนะ คืออยู่บนถนนเส้นเดียวกะม็อบตะกี้ ดูเป็นสัดเป็นส่วนดี
มีคนฟังประมาณนี้ครับ เต็นท์ใหญ่ๆ นี้มีสองหลัง พอดีเลนส์กล้องมันเก็บภาพกว้างไม่ได้ (แบกขี่จักรยานมานะเว้ย)
หลักฐานของการปักหลักครับ มีเต็นท์อยู่เต็มไปหมดเลย
ก่อนหน้านี้ผมจะ “อะไรวะ” เวลาเห็นใครที่แสดงความเห็นด้านการเมืองแบบเข้าข้างรัฐบาล แล้วจะบอกว่าตรงข้ามกับแดงคือเหลือง เฮ้ย คือประชากรไทยมันถูกเหมารวมจนเหลือแค่นี้เหรอวะ แล้วสีเหลืองนี่คือยังไม่สูญพันธุ์เหรอวะ… พอมาได้เจอจริงๆ ก็พบว่าคนเสื้อเหลือง (ที่เรียกตัวเองว่าเหลืองด้วยนะ) นั้นมีอยู่เยอะมากครับ คือปกติคลุกคลีแต่กับข่าวสารจากฝั่งเสื้อแดง ฝั่งแฟนคลับประชาธิปัตย์ และฝั่งที่เรียกตัวเองว่าลิเบอรัลงี้ พอมาเจอว่าเออ มีกลุ่มคนที่มีรสนิยมด้านการเมืองแบบที่เห็นจากเว็บผู้จัดการอยู่เยอะจริงๆ นะ นี่ก็ช่วยเปิดกบาลตัวเองให้หายโลกแคบได้ดีเหมือนกัน
ฟ้าเริ่มมืด ขยับตัวไปหาอนุสาวรีย์ครับ ก็เห็นว่าอยู่ไกลลิบๆ นู้น แต่ที่แน่ๆ คือการจราจรแถวนี้เป็นอัมพฤกษ์ไปแล้ว ราชดำเนินแถบผ่านฟ้ากลายเป็นที่จอดรถไปเลย
ถึงชายแดนของม็อบใหญ่แล้วครับ ปลายแถวอยู่แยกที่มีป้อมมหากาฬ โดยมีพี่วินประจำการอยู่ 1 กองร้อย
เนื่องจากบล็อกจะยาวไปละ ขอซอยแบ่งหน้านะครับ กดดูต่อเอาจ้ะ
October 31, 2013
ประชาธิปไตยและการเมืองไทยในทรรศนะของข้าพเจ้า
เมื่อเย็นวานเป็นวันแห่งการเป่านกหวีดสำหรับม็อบใหญ่ เป็นม็อบที่ท่าทางจะจุดติด และน่าสนใจที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา เพราะประเด็นที่ฝ่ายรัฐบาล “เชิญแขก” มานั้นแข็งแรงมากๆ คือมีเหตุผลเข้าท่า หากจะนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลได้เลย ..หรือที่จริง การมีม็อบรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ใจนั้นไม่เคยมีครั้งไหนที่สามารถล้มรัฐบาลได้เลย …จนกว่าจะมีคนตาย – เอาจริงๆ แกนนำม็อบเลยยิ้มที่มุมปากเสมอเวลามีคนตายไงล่ะ เป็นตำรายุทธพิชัย :(
เดี๋ยวๆ ก่อนที่จะเข้าเรื่องม็อบ มาเข้าเรื่องการเมืองก่อน
ไหนๆ เคยเขียนบล็อกบันทึกเรื่องทรรศนะส่วนตัวด้านพุทธศาสนาแล้ว ก็ขอบันทึกทัศนคติทางการเมืองหน่อย จะได้รู้ว่า “วันนี้” เราคิดแบบนี้ แล้ววันข้างหน้าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน รวมถึงไม่รู้จะย้อนมาจำได้ไหม
ทีแรกกลัวว่าเสนอความเห็นแล้วจะดูโง่ แต่วันหนึ่งก็นึกได้ว่า ที่จริงประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าจะโง่หรือฉลาด ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบการถกเถียงและแสงความคิดเห็นก็ตาม เมื่อคิดได้ดังนั้น เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดนึงว่า นอกจากเราแล้วก็ยังมีคนที่โง่ (และโง่กว่าเรา) อยู่เยอะแยะไป ก็ไม่เป็นไรนี่นา ทำไมต้องฉลาดก่อนแล้วค่อยมีสิทธิ์พูดล่ะ?
ประชาธิปไตยนั้นอนุญาตให้คนไม่สนใจการเมืองเลย สามารถอยู่ด้วยได้อย่างแฮปปี้พอๆ กะพวกหายใจเป็นการเมืองมิใช่หรือ
แต่อีกแว้บนึงก็รู้สึกว่า อุณหภูมิการเมืองในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมามันเซนซิทีฟเกินไปนะ คืออยู่ดีๆ ใครก็ตามดันแสดงความคิดเห็นทางการเมืองขึ้นมา คนคนนั้นจะต้องถูกดึงเข้าวังวนดราม่า และถูกแปะป้ายอะไรสักอย่างลงบนตัวไปตลอดกาลทันที ช่างเป็นบรรยากาศที่ผลักไส และไม่เป็นมิตรต่อการแลกเปลี่ยนความเห็นโดยสันติเอาซะเลย
บรรยากาศในอุดมคติคือเรามานั่งพูดคุยเรื่องการเมืองกันเหมือนพอดูหนังจบเราคุยเรื่องหนัง พอออกไปกินข้าวแถวบ้าน เราคุยกันว่ามันอร่อยไหม แพงไปปะ คราวหน้ามากินอีกไหม ไม่ใช่แบบติ่งใต้น้ำหรือสาวกหน้ามืด ที่ทะเลาะกันแบบขาดสติ คือไม่รู้จะไปอินอะไรกันนักกันหนากับค่ายที่ตัวเองเชียร์ โอเค มันเกี่ยวพันกับชีวิตเรา แล้วข้าวร้านที่เราไปกินก็เกี่ยวกับชีวิตเราไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ?
เริ่มยังไงดีหว่า นึกเป็นข้อๆ ไปละกัน
1.
ระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นโอเพนซอร์ส
กติกาใดๆ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อเลือกคนมาเป็นตัวแทนแห่งอำนาจนั้น “มันมีรูรั่วอยู่เสมอ” ไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลย เพราะนี่เรากำลังเล่นเกมอยู่กับมนุษย์ที่มีขีดความสามารถในการดิ้นได้เสมอ และเพราะอำนาจคือผลประโยชน์ก้อนใหญ่พอที่จะลงทุนกับมัน ดังนั้น “ที่มาของอำนาจ” ที่ยังมีข้อบกพร่อง จึงไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ความขาวสะอาดของผู้ชนะที่มีสกิลศรีธนญชัยได้นะครับ แต่ประชาธิปไตยคือระบอบที่ออกแบบมาให้ค่อยๆ คลำหาข้อบกพร่องนั้น และปรับแก้กันไปจนมันดีขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมแยกกันให้ออกระหว่าง “การได้มาซึ่งอำนาจ” กับ “ความถูกต้องสัมบูรณ์เสมอเมื่อมีอำนาจ” มันคนละเรื่องกัน นั่นแปลว่า ถ้าคนจะเหี้ย ก็สามารถใช้ช่องโหว่ของกติกาที่ดีไซน์ไว้ไม่รัดกุมพอ มาตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวได้อยู่ดี กรณีศึกษามีเป็นร้อยเป็นพันให้เห็น (หันไปมองวงการฟุตบอล)
ในทางกลับกัน ถ้าเกิดจะไม่เอาละ ประชาธิปไตย กูอยากได้ระบบอื่นที่มั่นใจว่าได้ “คนดี” ชัวร์ (คนดีเนี่ย เป็นคำที่เขาประชดกัน และประโยคถัดมาก็จะตามมาด้วยพฤติกรรมลับๆ ที่เหี้ยๆ แล้วถามเย้ยๆ ว่า ไงล่ะ คนดีของมึง? – อยากจะบอกว่า ถ้ามันเหี้ย ก็แสดงว่าไม่ใช่คนดีแล้วสิ ง่ายจะตาย จะแขวะกันทำไมล่ะเอ๊อ) ก็ต้องบอกว่าอย่าเลย ขนาดประชาธิปไตยที่เป็นระบบที่ออกแบบให้มีการยืดหยุ่นและปรับปรุงนั่นนี่ได้เสมอ ยังเจอรูรั่วขนาดนี้ แล้ว “ระบบปิด” อย่างอื่นมันจะไปเหลืออะไร
นี่จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ว่าอย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยเป็นกติการ่วมกันทางสังคมที่โอเคที่สุด ที่เปิดโอกาสให้ลองผิดลองถูกไปอีกชั่วลูกชั่วหลานจนกว่าจะได้ระบบที่ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ (ไม่มีหรอกที่สมบูรณ์ 100%)
แต่ก็ใช่ว่าจะไปสรรเสริญมันแบบเป็นสาวกไม่ลืมหูลืมตา ถ้ามีข้อเสีย ก็ต้องยอมรับว่ามันเสีย และช่วยๆ แสดงออกว่าต้องการแก้ ในหลายๆ เวอร์ชันที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่มีการปรับแก้กติกา ไม่ว่าจะโดยประชาชนเอง หรือโดยกลุ่มผลอำนาจ กลุ่มประโยชน์ไม่กี่คนก็ตาม เราจะเห็นได้ว่ามันแอบมีดอกจันตัวเล็กๆ ที่แสดงเบื้องหลังอยู่เสมอ เช่น อยู่ดีๆ มาเร่งแก้ประเด็นจำนวน ส.ส.ในแต่ละเขตไรงี้ ซึ่งคนเสนอแก้ก็คือ ส.ส.เองที่กำลังถืออำนาจในการปรับกติกาอยู่ ไรงี้ (ซึ่งกติกาเราออกแบบให้พวกเขานั้นอำนาจเพื่อการนี้เองนี่หว่า) มันก็เลยเป็นโดมิโน่ไปสู่สิ่งอื่นๆ
2.
เชื่อในระบบการโวยวายของคนอย่างเราๆ เพื่อถ่วงดุล ตรวจสอบ (และประจาน) การกระทำผิดของผู้มีอำนาจในทุกวงการ ยิ่งเป็นยุคนี้ที่ทุกอย่างไฮเทคและโซเชียลพอ เรื่องอะไรแบบนี้มันทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว เลยไม่เห็นด้วยกับการบอกว่าถ้าไม่ชอบรัฐบาลทุจริต ก็ให้อดทนสี่ปี แล้วค่อยเลือกพรรคอื่น มันต้องเล่นงานกัน(ในกติกา)แบบรัวๆ และฝั่งที่เชียร์รัฐบาลก็ต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาด่าอะไร จริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงแล้วจะมีวิธีอธิบายยังไง ที่มันไม่จบด้วยการดราม่ากันเอง แต่ไอ้คนข้างบนลอยลำงี้ เสียเวลา
อ้อ การตรวจสอบที่ว่า ใช้กับระบบราชการ หรือระบบอื่นๆ ที่ถ่วงดุลผู้มีอำนาจได้เหมือนกันนะ ถึงข้าราชการจะถูกทำโทษด้วยการ “ย้าย” ไปที่อื่นแทนที่จะไล่ออกก็เถอะ
3.
ย้ำว่าการได้มาซึ่งอำนาจกับความสง่างามบนเก้าอี้มันคนละเรื่องกัน ทีแรกก็ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่นะข้อนี้ แต่พอเห็นตัวอย่างจากหนังสารคดี “ประชาธิปไทย” ของเป็นเอก ก็พบว่าพอใครก็ตาม (เอาตั้งแต่คณะราษฎรเลยเหอะ) ที่ลงทุนกับการเปลี่ยนแปลงมากๆ เมื่อขึ้นไปอยู่บนเก้าอี้ปั๊บ ก็จะยิ่งกอดแน่น เพื่อพยายามรักษาความมั่นใจของตัวเองว่าสิ่งที่กูทำมาตลอดนั้นถูก ถึงกูจะต้องเปลี่ยนคอนเซปต์นิดนึง แต่กูจะล้มลงไปแบบไม่สวยไม่ได้ บทเรียนนี้มีมาตลอด ใครยังไม่ได้ดูสารคดีเรื่องที่ว่า ลองหาดูนะ เขาเปิดฉายเรื่อยๆ
4.
หัวใจของระบอบประชาธิปไตยควรอยู่ที่สิทธิและเสรีภาพของประชาชน มากกว่าการโฟกัสไปที่ “การเลือกตั้ง” ซึ่งที่จริงมันก็แค่พูดถึงปากทาง คือการได้มาซึ่งผู้ปกครอง (ที่จริงต้องใช้คำว่า “ผู้บริหาร” มากกว่าผู้ปกครอง เห็นมะ ย้อนแย้งมะ) ดังนั้นนิยามของประชาธิปไตยมันจึงไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง (พูดแบบนี้นี่สลิ่มเลยนะ) หรือต้องไปทำอะไรที่เกี่ยวกับนักการเมืองหรืออยู่ในช่วงข่าวการเมืองอย่างเดียว แต่มันต้องกลืนเป็นธรรมชาติกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น การใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานอยู่ในออฟฟิศ การใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนักศึกษา เรามีสิทธิอะไรอย่างที่สมควรหรือเปล่า การขึ้นรถตู้ รถเมล์ รถไฟฟ้าล่ะ สิทธิของเราถูกเบียดเบียน หรือไปเบียดเบียนใครหรือเปล่า เราได้ทำอะไรที่อยากทำมากแค่ไหน อะไรที่เขาห้ามทำแล้วแต่เรารู้สึกว่ามันละเมิด เราลุกขึ้นพูด หรือแสดงออกอะไรบางอย่างเพื่อหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ไหม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้กระทั่งในหน่วยย่อยๆ อย่างครอบครัว ท้องถนน โรงเรียน ออฟฟิศ เว็บบอร์ด กรุ๊ปเฟซบุ๊ก ฯลฯ เลยนะครับ ไม่เห็นต้องไปเปิดช่องการเมืองแต่อย่างใด อยู่ที่เราจะสนใจมันหรือเปล่า แค่ไหนเท่านั้นเอง
จะเห็นว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้มันใหญ่กว่าแค่เรื่องการเลือกนักการเมืองเยอะเลย
5.
ดราม่ากองเชียร์กีฬาสีในรอบหลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอยากได้การเมืองใสสะอาด ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชัน อีกฝ่ายบอกว่าอยากได้ประชาธิปไตย แล้วสองฝ่ายก็ตีกันบาดเจ็บล้มตาย คำถามคือ อีสองอย่างมันก็ไปด้วยกันได้ไม่ใช่เรอะ ทำไมฝ่ายหลังถึงไม่พูดเรื่องทุจริต และฝ่ายแรกไม่เน้นเรื่องสิทธิหว่า หรือที่จริงก็มี แต่มันดึงอารมณ์ร่วมของมวลชนที่เป็นมุษย์คนละประเภทกันให้คล้อยตามได้ยาก ก็เลยเล่นผลิตวาทกรรมซ้ำๆ มันซะประเด็นเดียว ซึ่งก็ทำให้สงสัยว่าที่มวลชนเป็นแบบนี้เพราะการวางคอนเซปต์เพื่อแยกเขาแยกเราที่ว่านี่รึเปล่า เช่นฝั่งนึงก็จะตะโกนแต่ว่า เราต้องการคนดี คนเลวออกไป (อ้าวแล้วกติกาล่ะ) กับอีกฝั่ง แกนนำก็สะกดจิตมวลชน จนรู้สึกว่าเรามีพลังแค่การกากบาทเลือกตั้งเท่านั้น พลังการตรวจสอบหายไปจากพจนานุกรมเลย
6.
โตพอจะเข้าใจเรื่องการรัฐประหารก็เมื่อครั้งล่าสุดตอนปี 2549 ที่ผ่านมานี้เอง และเห็นข้อดีของรัฐประหารครั้งนั้น คือทำแล้วคนเดือดร้อน ด่ากันฉิบหายวายวอดตั้งแต่ระดับชาวบ้านยันระดับนานาชาติ จนยากที่จะมีใครคิดลงทุนกับมันอีก เพราะพอถึงวินาทีนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ในสังคม “ไม่เอา” รัฐประหาร ดังนั้นใครคิดจะ รปห ก็ลำบากหน่อย เดิมพันสูงกว่าเดิมมากๆ เผลอๆ จะมากจนผมชักจะกลัวว่า ถ้าเกิดมีขึ้นจริง การกอดเก้าอี้ที่บอกในข้อ 3 เนี่ย มันจะยิ่งน่ากลัว และพาสู่สังคมโกลาหลได้อีกหลายปี แต่ไม่เคยเห็นคนรอบข้างทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มาเชียร์ให้ทหารออกมารัฐประหารเลยนะ เห็นแต่บทความของฝ่ายเชียร์รัฐบาลนี่แหละที่พูดแต่ “กลิ่นรัฐประหาร” กันบ่อย และพูดมาตลอด เข้าใจว่าคงมีไอ้้บ้าที่จะใช้กำลังแบบนี้จริงๆ และเข้าใจว่าเป็นความตั้งใจดิสเครดิตฝั่งตรงข้ามจริงๆ
7.
สมเพชคนทะเลาะกันแล้วด่า “กด” ฝ่ายตรงข้ามว่าโง่ โดยใช้คำว่า “สลิ่ม” หรือ “ชนชั้นกลาง” หรือ “คนดี” เป็นนัยแฝง ในขณะที่อีกฝ่ายด่ากันตรงๆ ว่า “ควายแดง” เอาเป็นว่าไม่ว่าจะด่ากันด้วยอะไรถ้ามันคิดเผื่อไว้ว่าฝ่ายตรงข้ามอ่านแล้วจะรู้สึกถูกเหยียดหยาม แม่งก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ … เขาเรียกรวมๆ กันว่า Hate speech ใช่มะ
8.
เวทนาคนเสียเพื่อนเพราะกีฬาสี
9.
เชื่อว่าทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องต้องห้ามอย่างเรื่องเจ้าเรื่องวัง ควรพูดคุยกันได้ ในเจตนาแห่งความสุภาพ (แน่นอนว่าต้องออกแบบกติกาให้รองรับความสุภาพนี้ได้) คือ ตอนดูหนังประชาธิปไทยรอบสุดท้าย (ตอนนั้นคนดูแน่นโรงที่เอสพละนาดเลยนะ) จุดที่ฮาที่สุดคือตอนที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ในหนังพูดถึงเรื่องสถาบันพระมหากษัติรย์แล้วโดนดูดเสียง (ใช่ หนังโดนกองเซ็นเซอร์สั่ง) คือปากขยับนะ แต่ไม่มีเสียง ยิ่งเงียบ เสียงคนดูหัวเราะยิ่งดัง เป็นตลกร้ายสุดๆ เลยครับ
10.
เห็นด้วยกับการเสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ตรงการฟ้องและกระบวนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด หรือผู้ต้องสงสัย คนที่ฟ้องจะต้องไม่เป็นใครก็ได้ (ที่มันมั่วๆ มาจนทุกวันนี้ก็เพราะการเป็นใครก็ได้นี่แหละ) แต่ควรมีหน่วยงานที่เหมือนอัยการสำหรับคดีแบบนี้ อาจเป็นหน่วยงานในสำนักพระราชวังก็ได้ — แต่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายมาตรานี้
11.
ที่จริงข้อนี้เขียนไว้นานมากแล้ว แต่เพิ่งมารวมกันลงในบล็อกเดียว — ผมไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง (ตอนนั้นยังไม่มีคำว่าสุดซอย) ผมเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการเคลียร์ความจริงให้เสร็จก่อนดัน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม คือความจริงทั้งหลายมันยังไม่ปรากฏ ก็เชื่อว่าไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้ จะอ้างเหตุผลว่าอยากให้อุณหภูมิการเมืองสงบลงด้วยความปรองดอง แต่การจะได้มาซึ่งคำว่าปรองดอง (ที่ถูกนำมาใช้จนช้ำเละเนี่ย) มันต้องเคลียร์ปัญหาที่อยู่บนพรมและใต้พรมก่อน ไม่ใช่โบกปูนทับไปเลย
ส่วนเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมา จนดัน พ.ร.บ.อย่างเรื่องที่จะขอกด undo การตัดสินของศาล ลามไปถึงปี 2547 นั้น อันนี้เหี้ยครับ ผมไม่ยอมรับครับ โอเค มันเป็นการผลิตซ้ำ และตอกย้ำข้อมูลที่ดิสเครดิตทักษิณจากฝั่งตรงข้าม ที่ทุกวันนี้ชิงชังกันจนถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ในฐานะผู้ฟังข้อมูล เราเห็นด้วยกับเรื่องที่เขาประท้วงขึ้นมา มันเสียงดังพอที่คนเสื้อแดงจำนวนมากจะรู้สึกว่า เหี้ยแล้วไหมล่ะ
12.
ความเห็นของผมในหลายข้อที่ผ่านมานั้น อ่านๆ ดูแล้วจะพบว่าเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งจริงโดยไม่ต้องปิดบัง) คือไม่ได้เป็นแฟนคลับพรรคนี้นะ เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็ไม่ได้เลือกคนของพรรคนี้ แถมยังรังเกียจวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่มีในพรรคนี้ … อาจจะน้อยกว่าที่รังเกียจเพื่อไทย แต่ก็ให้รู้ว่าบางอย่างกองเชียร์แม้ฝั่งไหนก็ตามไม่ควรหลับหูหลับตาเชียร์ เช่นเรื่องการบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส หรือการทุจริตให้เห็นโต้งๆ ผิดเห็นๆ อย่างที่รัฐบาลปัจจุบันทำอยู่ (เช่น ตัวเลขขาดทุนของการจำนำข้าว, เหตุผลในการสร้างเขื่อนแม่วงก์, ที่มาของพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้าน รวมถึงเรื่องใหม่ที่เรียกแขกมาร่วมม็อบฝ่ายตรงข้ามได้เยอะมากจนน่าจะจุดติดแล้วแหละ อย่างเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) อย่างผมเองจัดเป็นพวกแกว่งๆ มากกว่าจะจม หรืออินอยู่กับพรรคใด (พี่ @malimali พูดไว้น่าสนใจว่าการเมืองเนี่ย ใครอินก่อนแพ้) คือถ้ามีตัวเลือกที่น่าสนใจก็พร้อมจะฟัง
และขณะเดียวกัน ในฐานะคนที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทย เรากลับเห็นว่าการด่าว่านายกโง่ และพากันขย่มที่จุดอ่อน (ที่ไม่ได้ช่วยให้ส่วนรวมดีขึ้นเลย) นั้น นอกจากความสะใจที่ได้พ่นความเกลียดชังแล้ว มันไม่ส่งผลดีอะไรกับฝ่ายตัวเองเลย คือถ้าแน่จริง มึงลองสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่ฉลาดปราดเปรื่อง และเอาชนะความเก่งนั้นให้ได้สิ
13.
พอพูดถึงวัฒนธรรมประชาธิปัตย์แล้ว ก็นึกขึ้นได้อีกข้อนึงว่า ผมเชียร์คุณอลงกรณ์นะครับ
October 22, 2013
ส่งโค้กให้แฟน
October 15, 2013
ม้วนทิชชู่ในห้องน้ำ ต้องคว่ำหรือหงาย?
ที่จริงก็สงสัยมานาน คือนอกจากจะเป็นความสนใจส่วนตัวแล้ว ยังไปได้แรงยุเพราะอยู่ดีๆ ฝรั่งเขาก็ลุกขึ้นมาถกเถียงกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ว่าม้วนกระดาษชำระในห้องน้ำเนี่ย ต้องเสียบให้หงายหรือคว่ำ เถียงกันจริงจังระดับโลก มากพอๆ กะบ้านเราที่ถกกันเรื่องวิธีแกะฝาปีโป้ หรือวิธีเรียกข้าวราดแกง หรือแกงราดข้าว พริกน้ำปลา น้ำปลาพริกอะไรแบบนี้
กลายเป็น meme ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในหนึ่งหลืบแห่งสังคมออนไลน์ที่กว้างใหญ่แห่งนี้ โดยที่ผู้ร่วมสงครามต่างแบ่งฝ่ายกันหาเหตุผลมาคัดง้างกัน ถล่มฝ่ายตรงข้ามกันทั้งแบบมีเหตุผลน่าคล้อยตาม และเถียงหน้ามืดอย่างเอาเป็นเอาตายไม่แพ้กีฬาสีการเมืองบ้านเรา
และฝ่ายชนะดูเหมือนจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับแบบคว่ำ (over) ด้วยเสียงสนับสนุนมากกว่าแบบหงาย (under) นิดหน่อย โดยมีข้อมูลสรุปมากมาย ตัวอย่างเช่นแผนภาพนี้
หรือถ้าอยากดูละเอียด ก็มีอินโฟกราฟิกนี่เลย
จริงจังกันระดับคุโรมาตี้เลยนะ..
อย่างภาพนี้เขาบอกว่า เหตุผลเดียวที่จะวางทิชชู่แบบหงาย คือถ้าแบบคว่ำ แมวมันจะตะกุยเล่นได้นะ ซึ่งน่าสนใจมาก แล้วอีตาอีกคนก็ออกมาเสนอวิธีแก้ปัญหานี้ให้ ด้วยการบอกว่า “ก็อย่าเลี้ยงแมวสิวะ”
ส่วนเจ๊อีกคนที่ไม่เข้าใจว่าจะเถียงกันทำไมให้ใหญ่โต ก็ออกมาบอกว่า นี่ ที่จริงแล้วตัวเลือกของมนุษยชาติไม่น่าจะมีแค่หงายกับคว่ำนะ เพราะม้วนทิชชู่มันวางตะแคงก็ได้ (แบบในภาพ) ก็จะเพิ่มตัวเลือกว่าจะให้ดึงแบบซ้ายหรือขวา! ถึงขนาดที่มีคนบอกว่าการวางตะแคงเนี่ยช่วยทำให้ชีวิตคู่ของเขาดำเนินต่อไปได้เลยนะ เพราะเขากะเมียอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาตลอด ดังนั้นวิธีนี้จึงประเสริฐมาก แต่เอาจริงๆ การดึงทิชชู่ในแนวตะแคงมันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ด้านสรีรศาสตร์ และประสบการณ์การใช้งานที่ดีของผู้บริโภคอยู่ดี วิธีนี้จึงไม่นิยม
หนักๆ เข้าก็มีผู้ให้ความเห็นว่า “ก็ไม่ต้องใช้่ทิชชู่เลยสิ สายฉีดตูดไง!” ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราที่ใช้น้ำฉีดตูดกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วก็คงได้รับการสนับสนุนล้นหลาม แต่อันนี้มันปัญหาระดับสากล ฝรั่งเขาไม่ได้มีน้ำใช้เหลือเฟือที่อุณหภูมิพอเหมาะอย่างเรา เวลาหน้าหนาวแล้วต้องฉีดน้ำเข้าไปในร่องตูดนี่มีตายนะครับ ดังนั้นเขาเลยไม่นิยมใช้วิธีนี้กัน
และยังมีความเห็นอีกมากมายก่ายกอง รวมถึงสารพัดทฤษฎีประกอบมากมายที่… เอ่อ วิกิพีเดียครับ
แหล่งที่มาและอ้างอิง:
ภาพ Flame Wars บนสุด จากบทความเรื่องเดียวกันนี้ที่ LifeHacker
บทความจาก LifeHacker อีกอันที่สรุปอย่างจริงจังและเป็นวิชาการ (บ้าชัดๆ)
ภาพประกอบและข้อมูลหลายอย่างจาก Know Your Meme
อินโฟกราฟิกจาก Bit Rebels
และข้อมูล ผลสำรวจจากแบบสอบถาม พร้อมแหล่งอ้างอิงเป็นร้อยจากวิกิพีเดีย