iannnnn's Blog, page 16
August 17, 2014
#makeuptransformation
ทีแรกอุตส่าห์เตรียมอุปกรณ์จะทำอันนี้ แต่พอมานึกดูก็เออ แล้วฝรั่งจะรู้จักพี่เมื่อยปะวะ เพราะเผื่อว่าแท็กนี้มันใช้กันทั่วโลก (เอาแค่บ้านเราก็พอ จะเก็ตกันแค่ไหนเหอะ)
ก็เลยเอาอันนี้เลย
มานึกๆ ดู หน้าเราก็คล้ายอยู่นะ เหลือแค่กินเห็ดกับมุดท่ออีกหน่อย
ครับ ทั้งหมดนี้คือสาระ
ป.ล.
เหล่าคอมเมนต์ที่ตอบกลับที่ทวีตไป ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันใช่เลย ถูกต้อง งดงาม เฉิดฉาย เป็นตัวอย่างที่ดีกับเยาวชน
ป.อ.
ลิงก์ต้นทางของ meme นี้อยู่ที่ Faceblog ครับ ที่จริงก็เห็นฝรั่งเล่นในทวิตเตอร์มาหลายวันละ ก็เพิ่งรู้ว่ามันเข้าไทยแล้วจากเพจที่แปะในแหล่งข่าวนี่แหละ
ป.ฮ.
งานยังไม่เสร็จ แต่ #ลูกเมียนอนแล้วจะเล่นอะไรก็ได้
The post #makeuptransformation appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
August 14, 2014
จงบริหารเวลา
เป็นโจทย์ของช่วงเวลาหลายๆ เดือนถัดจากนี้ไปครับ
ลูกก็จะงอกมาอีกหน่อนึงในอีกเดือนนึงข้างหน้านี้ แน่นอนว่าเมียก็ต้องย้ายไปกกลูก งานค้างๆ คาๆ ก็ยังมีให้สะสางไม่รู้จักหมด ช่วงเวลาพักผ่อนที่ตั้งใจจะพักให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างการอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยคืบหน้า เหล่านิตยสารเอย การ์ตูนเอย ก็กองไว้เป็นภูเขารอให้เราไปอ่าน ที่สำคัญคือตั้งใจจะเขียนหนังสือสักเล่ม (กล่าวไว้ในตอนที่แล้วจึ๋งนึง) สรุปสุดท้ายก็พอกหางหมูมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที
แล้วที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับอะไรวะ
ที่จริงก็พอจะเดาได้ละ ถ้าตัดเน็ตปั๊บ อ้าวมีสามจีอีก ตัดสามจี (เสือกมีสี่จีอีก) ปิดทวิตเตอร์ กดล้างฟีดข่างรกสมองที่ตุนไว้ ฯลฯ เราน่าจะมีเวลาว่างคุณภาพๆ ไว้สะสางสิ่งต่างๆ ในย่อหน้าข้างบนให้ลุล่วงสินะ
ก็พูดแบบนี้ทุกที เวลาคุณภาพในโลกแห่งความจริงและเฉื่อยชาเหลวเป๋วของช้าพเจ้านั้นแม่งเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นแหละ ป้าล้านเคยบอกว่าคนที่ทำงานได้ในทุกสถานการณ์ นั่นแหละมืออาชีพของจริง ไม่ต้องมาอ้างเลย พออ่านประโยคนั้นเราก็ฮึกเหิมขึ้นมาได้หน่อยนึง..
ประมาณ 10 นาที แล้วก็มาเปิดไทม์ไลน์ เปิดฟีด นั่งอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยต่อ
บัดซบเมทะนี
ป.ล.
ทีแรกกะว่าจะไปสำนักพิมพ์เพื่อคุยกับเหล่า บ.ก.ในวันพรุ่งนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่ ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยและบวงสรวงตัวเอง จุดพลุปั๊มพลังในการสร้างงานขึ้นมาสักหน่อย (กะว่าถ้าเริ่มปั๊บ มันจะมีข้ออ้างให้ตั้งใจเขียนเป็นกิจวัตรจนได้ไง) แล้วจะทยอยมาเล่าในนี้เรื่อยๆ แต่พอติดต่อนัดหมายปั๊บ ไม่มีใครว่างอยู่สำนักพิมพ์เลยจ้า อนาคตสดใส บายจ้า
The post จงบริหารเวลา appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
August 2, 2014
พาแม่ไปแซลมอน
สุดท้ายคือไปตกลงกับแก๊ง บ.ก. (เอาแม่มาเป็นกันชนยังไม่ได้ผล) ว่าเออ ก็ได้วะ เดี๋ยวจะลองเอาเรื่องที่คิดไว้ว่าจะเขียนเป็นหนังสือไปคุยดูเร็วๆ นี้ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านอยู่หรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เป็น “นักเขียนอาชีพ” แบบที่มีกลุ่มผู้ติดตามเหนียวแน่นอย่างคนอื่นเขา (คือเห็นแฟนคลับนักเขียนแต่ละคนแล้วโอ้โห เจ๋งมาก น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย #ประเด็น) …ทั้งที่จะว่าไปก็ออกกับสำนักพิมพ์นี้มาแล้วสองเล่มเลยนะ คือ FAIL OF THE สอง YEARS และคือปะป๊าครองพิภพ (อีแบงค์ก็บอกว่าเฮ้ย เล่มที่แล้วก็ขายได้นะพี่ — มันใช้คำว่าขายได้)
งั้นจังหวะนี้แหละ จะได้ถือโอกาสลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขา จับปากกาอีกครั้ง
ป.ล.
#แม่ประหยัดอิสเฮียร์ pic.twitter.com/ludRpkxGp0
— 囧 (@iannnnn) August 2, 2014
ป.อ.
ด้วยความสงสารชั้นหนังสือดองที่บ้านซึ่งรู้สึกผิดมากๆ และตั้งปณิธานไปหลายครั้งแล้วว่าถ้าไม่อ่านไอ้เล่มที่ดองไว้ให้มันพร่องๆ ซะบ้าง เราก็จะไม่ซื้ออะไรอีก แต่ไหนๆ มาถึงงานของเพื่อนฝูงแล้ว เลยตั้งใจจะซื้อแบบ max สุดแค่สองเล่มเท่านั้น ไม่มากกว่านี้เด็ดขาด ยืนเลือกอยู่นาน (โดยมี บ.ก.บันยืนกดดันข้างๆ แต่เราก็ไม่ได้ซื้อของบันเลย วะฮ่าๆๆๆ) จนในที่สุดก็ได้มาสองเล่ม เป็นแนวเกรียนๆ ทั้งคู่ และหนึ่งในนั้นก็อ่านจบอย่างรวดเร็ว คือเล่มนี้ครับ
สนุก ภาพสวย กวนตีน อ่านรวดเดียวจบด้วยความเสียดาย pic.twitter.com/KRAPP09Z8h
— 囧 (@iannnnn) August 2, 2014
ป.ฮ.
หนังสือแอนเล่มต่อไป ถ้าออกตุลาไม่ทันก็แถวๆ มีนาหน้านะครับ ถ้ามีนาไม่ทันก็ตุลาหน้า ถ้าไม่ทันก็..
The post พาแม่ไปแซลมอน appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
July 29, 2014
มิวสิกวิดีโอลับของเพลง “นักเลงคีย์บอร์ด”
เจอเรื่องสนุกมาครับ
พอดีฟังและดู MV ของเพลงนักเลงคีย์บอร์ดของแสตมป์แล้วมันให้อารมณ์ว่าเอ๊ะ บรรยากาศมันคุ้นมาก เหมือนมีอีกเพลงนึงคือ “ขอ” (Lomosonic) ที่ตอนนั้นพอปล่อย MV ออกมาก็ดังถล่มทลาย แต่เพลงกลับไม่ค่อยมีใครร้องตามได้) เอาภาพมาสวมกันให้เข้ากับเพลงได้เลยนี่หว่า .. อ๊ะๆ ไม่ได้บอกว่าลอกกันนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลอกไม่ลอกเลย แต่คือแค่รู้สึกว่าเฮ้ย มันน่าจะเอามาแทนกันได้ และคงสนุกถ้าจะเอามายำเล่นดู
ขอ – Lomosonic
นักเลงคีย์บอร์ด – แสตมป์
เลยลองทำแบบนี้ดูครับ ใครจะลองดูบ้างก็เอาเลย
เปิดยูทูบของทั้งสองเพลงแล้ว pause ไว้ ใครเน็ตเต่ารอให้มันโหลดตุนไปไกลๆ ก่อน
ในคลิปเพลงขอ ให้กดปุ่มปิดเสียง แล้วเลื่อนไปข้างหน้าสัก 5 วินาที แล้วกดเล่น (ภาพก็จะเริ่มขยับ)
รีบหันมากด Play ที่คลิปนักเลงคีย์บอร์ด แล้วฟังแต่เสียง ไม่ต้องสนใจภาพนะ ไปดูคลิปแรกแทน
จะเห็นว่ามีหลายช็อตที่พอเนื้อร้องมาปั๊บ ภาพแม่งมาเลยครับ สวมกันได้พอดีเหมือนนัดแนะกันมาก่อน!
- – - – -
เขียนเพิ่ม 1 ส.ค.57
- – - – -
พอเขียนบล็อกตอนนี้ไป มีเสียงตอบรับสนุกกว่าที่คิด และที่อยากจะกรี๊ดคือ คุณผู้กำกับแกตอบรับด้วยล่ะ ไปทำการบ้านมาส่งอีก ลองดูสิครับ โคตรเป๊ะ 55555
ภาพเอ็มวี #นักเลงคีย์บอร์ด โดย @StampApiwat แต่ลองวางด้วย เพลง ขอ โดย lomosonic ตามที่ @iannnnn เสนอไว้วันก่อน 5555 http://t.co/rtAl9gG6TO
— NAWAPOL IS HAPPY . (@ter_nawapol) August 1, 2014
เผยแพร่เมื่อ 1 ส.ค. 2014
ภาพเอ็มวี นักเลงคีย์บอร์ด , แสตมป์
ปะทะ เพลง ขอ , lomosonic
: วันก่อนที่พี่ไอ้แอนนนนน เคยลองเอาภาพเอ็มวี ขอ ของ lomosonic มาแปะกับเพลง นักเลงคีย์บอร์ดของพี่แสตมป์ แล้วมันพอดีเป๊ะ / วันนี้ข้าพเจ้าเลยลองเอา ภาพเอ็มวี นักเลงคีย์บอร์ด มาแปะกับเพลง ขอ ดู ปรากฎว่าเป๊ะมากเช่นกัน 5555 มู้ดเปลี่ยนเรียบ
The post มิวสิกวิดีโอลับของเพลง “นักเลงคีย์บอร์ด” appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
มิวสิกวิดีโอลับของเพลงนักเลงคีย์บอร์ด
เจอเรื่องสนุกมาครับ
พอดีฟังและดู MV ของเพลงนักเลงคีย์บอร์ดของแสตมป์แล้วมันให้อารมณ์ว่าเอ๊ะ บรรยากาศมันคุ้นมาก เหมือนมีอีกเพลงนึงคือ “ขอ” (Lomosonic) ที่ตอนนั้นพอปล่อย MV ออกมาก็ดังถล่มทลาย แต่เพลงกลับไม่ค่อยมีใครร้องตามได้) เอาภาพมาสวมกันให้เข้ากับเพลงได้เลยนี่หว่า .. อ๊ะๆ ไม่ได้บอกว่าลอกกันนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลอกไม่ลอกเลย แต่คือแค่รู้สึกว่าเฮ้ย มันน่าจะเอามาแทนกันได้ และคงสนุกถ้าจะเอามายำเล่นดู
ขอ – Lomosonic
นักเลงคีย์บอร์ด – แสตมป์
เลยลองทำแบบนี้ดูครับ ใครจะลองดูบ้างก็เอาเลย
เปิดยูทูบของทั้งสองเพลงแล้ว pause ไว้ ใครเน็ตเต่ารอให้มันโหลดตุนไปไกลๆ ก่อน
ในคลิปเพลงขอ ให้กดปุ่มปิดเสียง แล้วเลื่อนไปข้างหน้าสัก 5 วินาที แล้วกดเล่น (ภาพก็จะเริ่มขยับ)
รีบหันมากด Play ที่คลิปนักเลงคีย์บอร์ด แล้วฟังแต่เสียง ไม่ต้องสนใจภาพนะ ไปดูคลิปแรกแทน
จะเห็นว่ามีหลายช็อตที่พอเนื้อร้องมาปั๊บ ภาพแม่งมาเลยครับ สวมกันได้พอดีเหมือนนัดแนะกันมาก่อน!
The post มิวสิกวิดีโอลับของเพลงนักเลงคีย์บอร์ด appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
July 25, 2014
ฮิคารุ เซียนโกะ
ผมเป็นคนที่อ่านการ์ตูนช้ามาก
ที่จริงก็ไม่ได้แปลว่าทำอะไรอย่างอื่นเร็วหรอกนะ ส่วนมากจะโดนเมียด่าเรื่องช้านี่แหละ เรียกทีกว่าจะขยับตัวก็ต้องสักพัก แต่กับการ์ตูนนี่ไม่เหมือนกัน เป็นความช้าที่ตัวเองพอใจจะละเลียดไปกับมัน
การ์ตูนเล่มไหนที่ยิ่งชอบมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพยายามอ่านให้ช้าลงเรื่อยๆ และยิ่งดื่มด่ำกับทั้งภาพทั้งเนื้อหาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพนี่ ถึงจะการ์ตูนวาดห่วยขนาดไหน แต่ถ้าภาพมันน่าสนใจก็จะยิ่งตั้งใจดูทีละช่องๆ ว่าเขาวาดยังไง (ไม่รู้คนอื่นเป็นรึเปล่านะ แต่ผมเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้มากๆ)
สำหรับฮิคารุ เซียนโกะ ผมอ่านในบูม (นิตยสารผู้ล่วงลับ) ในสมัยที่มันเป็นรายสัปดาห์ มันตีพิมพ์ในยุคที่ผมอยู่มหาลัยพอดี จำได้ว่าช่วงนั้นกระแสโกะบูมขึ้นเต็มประเทศจริงๆ ดั่งชื่อนิตยสาร หันไปทางไหนก็มีแต่คนตอบรับกระแส การ์ตูนฉบับรวมเล่มก็มีคนรอบกายซื้อหากันเฉกเช่นการ์ตูนฮิตที่ควรสะสมทั่วไป (ยุคนั้นไม่มีสปอยล์ตามเน็ต–เอาเป็นว่ายุคนี้ผมก็ไม่อ่านสปอยล์ มันไม่ใช่น่ะเข้าใจมะ) ขนาดระดับผู้ใหญ่เองก็ยังมีหนังสือและตำราโกะวางอยู่บนแผงหนังสือขายดีตามร้านอยู่ไม่น้อย แถมยังมีการจัดแข่งขันอะไรต่อมิอะไรเป็นที่คึกคักในบ้านเรา นั่นแปลว่ากระแสมันจุดติด
เป็นความบัดซบของตัวเองในยุคนั้น ที่อยู่ในช่วงอายุที่ไม่ชอบทำตามกระแส (สมัยนั้นคงรู้สึกว่าเท่ แต่พอมองย้อนกลับไปในสายตาลุงอายุ 30 กว่าๆ มึงนี่ปัญญาอ่อนมาก) ผมเลยเลิกติดตามการ์ตูนเรื่องนี้และสารพัดเรื่องเกี่ยวกับโกะอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่รู้ว่ามันน่าสนุกมาก และตั้งใจไว้ว่า วันหนึ่งมันเลิกฮิตเมื่อไหร่จะกลับมาอ่าน
จ้ะ เท่มาก
แล้ววันหนึ่งมันก็เลิกฮิตจริงๆ แบบเดียวกับสายลมแห่งกระแสอื่นๆ ที่พัดมาแล้วก็ผ่านไป เป็นอนิจจัง
จนกระทั่งที่ญี่ปุ่นเขามีโครงการเอาการ์ตูนดังๆ มาพิมพ์ซ้ำด้วยขนาดใหม่ ปกสวยขึ้น เก็บงานเนี้ยบขึ้น เล่มใหญ่ขึ้น ..และราคาแพงขึ้น แล้วเรียกมันว่า Ultimate Edition เพื่อหลอกขายผู้ใหญ่ที่ยังมีหัวใจเป็นเด็ก ไล่จากเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตีเมืองกระหนาบเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงคิวของฮิคารุ
ผมนั้นลืมความรู้สึกของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนไปแล้วครับว่าเคยไปกร้าวเกรียนอะไรเอาไว้ แต่พอมาเห็นรวมเล่มใหญ่รู้สึกแค่ว่า เออ เรื่องนี้จัดอยู่ในลิสต์ “ไว้ว่างๆ จะอ่าน” ต่อตูดนิตยสารและหนังสือเล่มอื่นๆ ที่กองหนาเป็นเมตรๆ สมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการซื้อมาดองไว้แล้วไม่อ่านแห่งลาดปลาเค้า
แต่เรื่องฮิคารุนี่ยังไม่ซื้อนะ เพราะการลงทุนซื้อความสุขเล่มละ 130 บาท คูณ 20 เล่มจบก็ปาเข้าไป 2,600 บาทเข้าไปแล้ว (แต่เอาจริงๆ ไปซื้อตามงานหนังสือที่รวมห่อขายก็ได้ลดกว่านี้อีกหลายบาท) ดังนั้นอารมณ์ที่ว่าไว้เดี๋ยวจะอ่าน ก็จืดจางลงไปทุกที
โชคดีที่มีเพื่อนอย่างไอ้ปิง
ปิงเป็นมนุษย์การ์ตูน นิตยสารบูมที่ผมเคยอ่านสมัยเรียนก็ไม่ได้ซื้อเอง ยืมมันทั้งนั้นแหละ ไหนจะเรื่องอื่นๆ ที่ยังไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่าสนุกสมควรซื้อเก็บไว้เองไหม ผมก็อาศัยยืมมันอ่าน เพราะบ้านมันรวยไง (เพื่อนแบบนี้ควรคบไว้นะครับ ดี) จนกระทั่งฮิคารุเล่มใหญ่ตีพิมพ์ออกมา ไอ้ปิงก็ซื้อมาอ่านและเก็บไว้บนหิ้งเรียบร้อย … อันที่จริงต้องบอกว่าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ และพอครบ 20 เล่มปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่บนชั้นรกๆ ของมันอยู่แบบนั้น
ดีที่มีเพื่อนอย่างเราที่เห็นค่าของการ์ตูน ไม่อยากให้การ์ตูนมันเสื่อมสภาพเพราะถูกทิ้งไว้ ก็เลยไปขโมยมันมา (ถ้ามันอ่านบล็อกนี้คงรู้แล้วแหละว่าการ์ตูนหาย)
ของร้อนนั้นเร้าใจเสมอ ผมเลยเลือกลัดคิวอ่านฮิคารุก่อนหนังสือดองเล่มอืนๆ ที่งอนอยู่บนชั้น
ฮิคารุเป็นการ์ตูนสะอาดครับ คือเด็กๆ อ่านได้ (เรต ท. คือไม่มีพิษภัย ไม่มีฉากที่ยั่วยุให้อ่านแล้ววาบหวิวหิวกระหายเพศสัมพันธ์) พอจะสปอยล์แบบไม่เสียอรรถรสคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ มันเป็นเรื่องของเด็กประถมคนนึงที่เป็นมนุษย์ปกตินี่แหละ แต่วันดีคืนดีก็ไปซนเจอกระดานโกะ (หมากล้อม) ที่วางไว้ในห้องเก็บของ แล้วเผอิญว่าข้างในมีวิญญาณที่เป็นเทพแห่งโกะสิงสถิตอยู่
วิญญาณนั้นชื่อซาอิ สมัยที่ยังไม่ตายนั้นเขาเป็นครูสอนโกะให้กับเจ้าในสมัยพันปีก่อน ดังนั้นในเรื่องก็จะใส่เครื่องแบบเหมือนผีญี่ปุ่นชั้นสูงตลอดเวลา แล้วมาวันหนึ่ง นักเล่นโกะที่น่าจะเก่งที่สุด หรือไม่ก็เก่งอันดับต้นๆ ของโลกคนนี้ก็ตายลงด้วยความช้ำใจ ความผูกพันกับสิ่งที่ยังไม่ได้สะสางก็เหมือนกับผีญี่ปุ่นทั่วไป ประมาณว่า กูอยากเล่น อยากเล่นให้มากกว่านี้อีก … สิงอีเด็กห่านี่ซะเลย
ถ้าเป็นพล็อตการ์ตูนเรื่องอื่นๆ อาจจะนำพาให้เด็กฮิคารุนี่โดนสิงแล้วไปทำนั่นนี่เป็นซูเปอร์ฮีโร่แห่งวงการไปแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่อย่างนั้นครับ ผู้แต่ง (Yumi Hotta) วางโครงเรื่องไว้ให้ฮิคารุเลือกที่จะเป็นเด็กที่เป็นเด็กน่ะ คือยังเป็นตัวของตัวเอง จากที่ไม่เคยสนใจโกะเลย และเฉยๆ จนเริ่มใจอ่อน เอาวะ กูสานฝันให้ผีซะหน่อย ยอมเล่นตามใจมันหน่อย จนจับพลัดจับผลูเข้าไปสู่วงการหมากล้อมจนได้ เพราะผีผลักนี่แหละ
พวกการ์ตูนในวงการอะไรแปลกๆ สักอย่างนี่ดีนะครับ ก่อนเริ่มลงมืออ่าน เราจะไม่รู้เลยว่าวงการนี้มันคืออะไร โกะมันเล่นยังไง แต่พออ่านๆ ไป มันจะค่อยๆ สอนเราทีละหน่อยอย่างแนบเนียนครับ ไม่ใช่แบบการ์ตูนฟุตบอลที่ลงลึกในเทคนิคของการแข่งขันแต่ละครั้ง (ไม่งั้นแปลงเป็นหมากล้อมนี่คงน่าเบื่อตายชัก) แต่เขาจะมีวิธีนำเสนอให้เรารู้สึกสนุกไปกับมันด้วย โดยที่ไม่ต้องเล่นเป็นก็ได้ หรือถ้าเกิดเล่นเป็นขึ้นมาก็ยิ่งสนุกใหญ่ แบบเดียวกะอีเด็กพระเอกของเรื่องที่แต่เดิมก็โง่ๆ นี่แหละ จับหมากแบบเท่ๆ ยังไม่เป็นเลย แต่พอสนองนี้ดผีในการสิงร่างให้ไปนั่งเล่นกับชาวบ้านจนเขาแตกตื่นกันปั๊บ ฮิคารุเองก็เริ่มค่อยๆ ซึมซับความสามารถในการเล่นโกะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ที่เจ๋งก็คือ อิทธิพลของผีไม่ได้มีส่วนในการเอาชนะใครเท่าไหร่ ความเจ๋งมันอยู่ที่พรสวรรค์และทัศนคติของตัวเด็กเองต่างหาก ว่าเขาค่อยๆ เติบโต ก้าวผ่านความเป็นเด็กธรรมดาๆ ใส่ชุดนักเรียนปะปนกับเพื่อนๆ ที่วันหนึ่งก็ต้องเรียนต่อ จบไปหางานทำ แต่เขากลับเลือกทางเดินอีกแบบด้วยวิธีของตัวเอง ที่มีวิญญาณคอยเป็นผู้สนับสนุน โดยที่พ่อกับแม่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เป็นตัวน่าสงสารที่มองตามลูกที่โตขึ้นพรวดพราด รู้ตัวอีกทีก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้วน่ะครับ
มันมีคำศัพท์ที่เรียกว่า Coming of age ที่เอาไว้อธิบายปรากฏการณ์ของเด็กวัยรุ่นเห่อหมอยธรรมดาๆ ที่ไปเจอจุดเปลี่ยนของชีวิตสักอย่างที่ส่งผลอย่างรุนแรงกับเส้นทางที่จะต้องเลือกเดินต่อจากนี้ไปทั้งชีวิต และตัวเอกก็ต้องมุ่งไปสักทาง เพื่อข้ามกำแพงนี้ให้ได้ อารมณ์แบบนี้แหละครับที่สร้างความประทับใจมากๆ (ยกตัวอย่างเป็นหนังก็เรื่องเด็กหอ หรือ Stand by Me หรือการ์ตูนก็ BECK ได้ไหมหว่า?)
และเนื้อเรื่องของฮิคารุก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ผู้เขียนก็เขียนไปหาข้อมูลไป ได้เห็นภาพในมุมกว้างขึ้นเรื่อยๆ ผู้วาด (Takeshi Obata) ก็วาดสวยขึ้นเรื่อยๆ (ผมชอบลายเส้นและขนาดช่องการ์ตูนในช่วงท้ายๆ ของเรื่องฮิคารุนี่มากกว่าความอัดแน่นเกินไปในช่วงหลังๆ อย่างเรื่อง Death Note หรือแม่แต่ BAKUMAN อีกนะ มันอ่านสบายตากว่า แถมวาดผู้หญิงดูสวยน่ารัก ถูกจริตกว่า)
จาก 20 เล่ม ผมอดหลับอดนอนละเลียดอ่าน (งงไหม คืออ่านช้าไง แต่ติดหนึบ) จนตอนนี้อ่านไปได้ 15 เล่มแล้ว เนื้อเรื่องแข็งแรงมาก ทุกอย่างบิ๊วมาให้เป็นหนึ่งในการ์ตูนระดับตำนานอย่างสวยงาม คือตอนนี้อ่านไปขี้ไปอย่างสมองโล่งเลยครับ ชอบโมเมนต์เวลาอ่านการ์ตูนที่ประทับใจจนต้องรีบเอามาเขียนอะไรแบบนี้
แต่ก็ต้องมาหยุดชะงักเมื่อพบว่าเล่ม 16 ไม่มี ไอ้ปิงมันเอาไปเก็บไว้ไหนวะ แย่จริงๆ ต้องรีบไปขโมยมาซะแล้ว
จึงตัดจบด้วยประการฉะนี้
The post ฮิคารุ เซียนโกะ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
July 18, 2014
แม้วนิมัล
ไม่รู้ว่าเพราะว่างหรือมีแรงบันดาลใจอะไร เลยเปิดโฟโต้ช็อปแล้วทำรอยเปื้อนเป็นรูปพี่แม้วขึ้นมา (ต้นฉบับเป็นภาพถ่ายซึ่งไม่ทราบที่มาครับ ขออภัย) ก็นะ เล่นกะพี่มาหลายที ถือว่าทำไว้สุขสันต์สันเกิดล่วงหน้าละกันครับ
The post แม้วนิมัล appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
July 11, 2014
นักษัตร
วันนี้เอากระท้อนไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ท่านนึง แกทักผมกะเมีย
ญ: โบว์ท้องโตมากแล้วนะ นี่จะคลอดเมื่อไหร่
อ: ประมาณกลางๆ กันยาครับ
ญ: ปีนี้ปีอะไร… มะเมีย ปีม้านี่ แล้วคนแรกล่ะเกิดปีอะไร
อ: (นึกพักนึง)… มังกรครับ
ญ: โอ้โห ใหญ่ๆ ทั้งนั้น
อ: ตอนทำก็ไม่ได้คิดหรอกครับ ว่าจะใหญ่
The post นักษัตร appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
July 3, 2014
วันนี้ฟ้าสวย
ป.ล.เพิ่งเปิดเพจเล็กๆ ชื่อ “เมฆเมพ” ครับ ใครเจอเมฆรูปร่างเหมือนอะไรส่งมาได้นะ เงยหน้ามองฟ้ากัน
The post วันนี้ฟ้าสวย appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
June 30, 2014
มือถือเดี๋ยวนี้มันต้องกี่บาท
บล็อกทุนนิยมอีกแล้ว จดไว้หน่อย เดี๋ยวอีกสองสามปีก็ลืม จะได้กลับมาดู
มือถือตอนนี้ก็คงเหมือนคอมในยุคนึงที่แข่งกันทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาอย่างดุเดือด จนตอนนี้คอมพันจุดอิ่มตัวและเข้าสู่ยุคหดตัว กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง ที่ไม่ใช่ว่าทุกบ้านต้องมีเหมือนสมัยก่อนแล้ว ซึ่งอุปกรณ์พกพาที่เราแทบทุกคนมีกันในมือตอนนี้ก็เบียดเข้ามาทำหน้าที่นั้นแทน (อันนี้ย้อนไปสิบปีก่อนใครมันจะไปนึกวะ ตี๊บจ็อบเองจะนึกหรือเปล่า)
ผมเกิดทันในยุคที่ออเร้นจ์เปิดตัวในไทย พอดีได้โควตาญาติพนักงานเทเลคอมเอเชีย รับส่วนลดโปรโมชันสักอย่างที่ทำให้สามารถซื้อมือถือเครื่องแรกในชีวิตมาได้ นั่นคือโนเกีย 3310 ในตำนาน
ราคาท้องตลาดตอนนั้นประมาณ 8-9,000 บาท แต่ญาติพนักงานคนนี้ทุบกระปุกซื้อมา 5,000 บาท! สเป็กตอนนั้นถือว่าเจ๋งสุดๆ ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ก็คงเหมือนวีออสเพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ และหลังจากนั้นมันก็ขายดีระเบิดระเบ้อ กลายเป็นรุ่นยอดนิยม มีหน้ากากขายสารพัด มีนวัตกรรมเสียงริงโทน หรือสายโมดิฟายมากมายที่เอามาต่อกับคอมแล้วแต่งนั่นนี่ได้ แม้จะหน้าจอสีเดียว และเป็นเม็ดพิกเซลเหลี่ยมๆ ก็เถอะ แต่ความมันส์มันอยู่ที่ใครจะแต่งมือถือตัวเองได้แซบกว่ากัน (ตูก็บ้าซื้อมาเล่นนะ ตอนนั้นอดข้าวซื้อไอ้สายที่ว่านี่เส้นละสองสามร้อยมั้ง มานึกดูแล้วน่าต่อยมาก) และที่สำคัญคือมือถือในตำนานเครื่องนี้ดันทนทานดุจชัชชาติผลิตให้ ใช้มาหลายปีกว่าจะพินาศไป ทำให้เครื่องต่อๆ มาที่ใช้ก็เป็นฟีเจอร์โฟนเครื่องละสองสามพันแนวๆ ไอโมบาย ฯลฯ ที่ใช้งานได้แค่ปีเดียวก็เจ๊ง
จนมาถึงยุคสมาร์ทโฟน ที่จริงพวกโนเกีย ซัมซุง แอลจี อะไรนี่ ก็มีความสมาร์ทอยู่พอสมควรนะครับ ดูหนังฟังเพลงได้แบบขลุกขลักหน่อยในราคาเฉียดหมื่น (ซึ่งตอนนั้นก็ดูสมเหตุสมผลกับราคานี้ แต่ผมยังมีความสุขกับมือถือธรรมดาอยู่) แต่พอแอปเปิลเปิดตัวไอโฟน โลกสมาร์ทโฟนก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ตอนนั้นก็นั่งดูและกรี๊ดแบบที่ใครๆ ก็เป็นกันนี่แหละ ชอบดีไซน์ ชอบนวัตกรรม ถึงจะงงๆ อยู่หน่อยว่า มือถือมันจะแข่งกันมีกล้องทำไม? (สมัยนั้นโลกยังไม่มีคำว่าเซลฟี่ไง) สรุปว่าชอบเกือบทุกอย่าง แต่ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวคือราคา..
อีห่า มือถือเครื่องนึงซื้อเครื่องสูบน้ำได้ตั้ง 4 เครื่อง
(ผมชอบเทียบราคาของเล่นไฮเทคพวกนี้กับเครื่องสูบน้ำครับ พอดีเมื่อก่อนที่บ้านน้ำประปายังไม่เข้า ต้องสูบน้ำใต้ดินใช้ เลยพอรู้ราคาว่าเออ จ่ายเท่านี้ได้ฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพขนาดนี้ ต่อมาเวลาเห็นอะไรแพงๆ ก็จะเทียบกับเครื่องสูบน้ำไว้ก่อน // พี่ในฟอนต์คนนึงแกเลี้ยงควาย แกเลยเทียบกับควายบ้าง ว่าต้องขายควายกี่ตัวถึงจะซื้อได้งี้ น่ารักดี)
ด้วยจำนวนเงินในบัญชี และค่าครองชีพตอนนั้นที่ไอโฟนออก เงินสองหมื่นกว่าบาทกับมือถือหนึ่งเครื่องมันเป็นสิ่งไกลตัวมาก จนอีกค่ายคือแอนดรอยด์เปิดตัวมือถือของตัวเองบ้าง (รู้สึกว่ามันก๊ากกาก) จนไอโฟนออกรุ่นถัดมา ถัดๆ มา แอนดรอยด์ก็อปไอ้นั่นล็อกไอ้นี่ ไอโฟนก็เลยก็อปกลับบ้าง
ในที่สุดก็เลยทนกิเลสไม่ไหว ทุบกระปุกอีกครั้งเพื่อซื้อมือถือจอสัมผัสเครื่องแรกมาเป็น hTC Legend มือสอง (รับของที่บีทีเอสหมอชิต) ได้มา 15,000 บาทถ้วน ในขณะที่ท้องตลาดมือหนึ่งอยู่ที่ 17,900 บาท ก็ถือว่าโอเคมากนะครับ แอนดรอยด์ตอนนั้นเป็น 2.2-2.3 แล้ว ในขณะที่แอปเปิลก็ยังนำอยู่ห่างไกลทั้งประสิทธิภาพและราคา แต่ไม่เป็นไร ดูแววของกูเกิลยาวๆ แล้วขอลงทุนเชียร์ค่ายนี้ดีกว่า (ตอนนั้นยังไม่เป็นติ่ง)
และแล้วก็เสร็จเลยครับ เคยใฝ่ฝันมาตลอดว่าวันหนึ่งจะขอออกแบบชีวิตตัวเองให้ทำงานที่ไหนก็ได้ (ข้ออ้าง) แล้ววันนั้นก็เปิดศักราชใหม่เลย ปรับระบบนั่นนี่จนสามารถพกมือถือเครื่องเดียวทำงานนอกบ้านได้สบายจนทุกวันนี้ (บล็อกนี้ก็เขียนในมือถือ)
พอ hTC Legend หมดอายุขัยไปหลังจากทำตกครั้งที่ 86 สภาพรอบเครื่องบุบบิบยับเยินแต่ตัวถังเป็นโลหะเลยยังคงทนอยู่นะ แต่ปุ่มเปิ่มนี่ไม่ไหวแล้ว เลยมองหาเครื่องถัดมา โดยมีโจทย์เดิมว่าต้องทำงานนอกบ้านได้ คราวนี้ขอเพิ่มอีกข้อคือต้องโซเชียลได้ด้วย นั่นเพราะเริ่มมีตังค์พอจะซื้อเน็ตใช้ได้แล้ว แบะประเทศไทยเริ่มมีแววจะได้เห็นสามจีในอีกไม่นาน
พอดี ณ พ.ศ.นั้น ระดับราคาที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างความเจ๋งกับความพอใช้ได้คือ 15,000 บาท จึงจัด Galaxy Note มาในราคาเฉียด 20,000 มั้ง (ลืมเป๊ะๆ ไปแล้ว) เล่นของแพงเลยครับ กะว่าลงทุนกับมันไปเลยจะได้ใช้นานๆ ซึ่งก็ใช้คุ้มฉิบหายโดยเฉพาะปากกาของมัน (ตอนนั้นก็ยังถือว่ากากนะ แต่มันยังไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ไง) ตอนนั้นก็อวยปากกามันจนเวอร์เหมือนรับเงินซัมซุงมาโฆษณา แถมพอใช้ไปปีนึงยังไม่ทันจะพังเลย ก็ดันไปประกวดวาดรูปชนะ จนได้รุ่น Galaxy Note 2 มาอีก ทีนี้ของมันดันเจ๋งกว่าเดิมเยอะ คือราคาของในระดับเครื่องสูบน้ำ 4 เครื่องเนี่ย มันควรต้องดีให้สมกับความแพงเลยนะ
ก็โอเคนะครับ รู้สึกคุ้มดี ข่าวมือถืออะไรก็ติดตามตลอด ยังรู้สึกว่ามันเป็นของดีจริงๆ อยู่ (เป็นคนบ้าอ่านฟีดเทคโนโลยีล้นสมองเพื่ออะไรไม่รู้) แม้ตอนแรกไม่เคยคิดจะซื้อเลยก็ตาม เพราะโน้ตตัวแรกมันยังดีอยู่มาก แต่พอเทียบกับเครื่องรุ่นสองแล้วมันดันดีกว่ากันชัดเจนแบบก้าวกระโดด ก็เลยกะว่าจะอยู่กับมันไปอีกนาน..
แล้วโน้ตสามก็มา..
พอดีได้ไปงานเปิดตัวของซัมซุงด้วยน่ะครับ (เขาคงเห็นว่าเราอวยบ่อยเลยให้ไปด้วย) ก็เลยได้ลองเล่นของจริงดูก่อนที่มันจะวางขาย คือมันก็เจ๋งกว่าเดิมมากๆ อีกครั้ง แต่พอเปิดราคามาที่สองหมื่นกว่าบาทก็ถอดใจครับ จำได้ว่าแพงกว่าไอโฟนซะอีก เลยนึกไว้ว่าราคาระดับนี้ไม่ไหวนะ คงใช้จนโน้ตสองในมือพังไปก่อนแล้วค่อยหาใหม่
ปรากฏว่ากลับบ้านไปเมียถามว่าเป็นไง ดีไหม ตอบไปว่าดี เมียบอกดีก็ซื้อเลย คนอย่างเตงใช้คุ้ม
อ้าว ไฟเขียวมาจากเมียแบบนี้ ซวยเลยครับ สุดท้ายก็กลืนน้ำลาย ซื้อไปจนได้ T-T ยังดีที่เอาเครื่องเก่าไปขายต่อได้ เลยเหมือนตอนนี้เราเสียค่าอัปเกรดให้ทันเทคโนโลยีติ่งๆ ประมาณปีละแปดเก้าพัน บวกลบดูแล้วน่าจะเป็นราคาที่โอเคอยู่ เพราะตัวเองก็อยู่ในโลกทุนนิยม กิเลสนิยม และบ้าเทคโนโลยี ที่สำคัญคือเราหาเงินได้จากทางนี้ ก็ควรเสียเงินเพื่อมัน
ต่อมาทันดันมีโน้ตสามรุ่นใหม่ที่ปรับตัวขยับขึ้นไปรองรับ 4G ได้อีก (ที่จริงคือมีอยู่แล้วแต่เพิ่งเอาเข้ามาขายในไทย และเพิ่มราคาพอสมควร) ไอ้ผมก็มาฟอร์มเดิม ซื้อทำไม ทุกวันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เว็บ Droidsans ดันมีเกมให้เล่นแข่งกันชิงมือถือรุ่นที่ว่านี้ ผมเลยไปแข่งแล้วชนะมา แม่งได้มาอีกเครื่อง 囧 ก็ปล่อยเครื่องเดิมไปเพื่อใช้เครื่องใหม่จนทุกวันนี้
แน่นอนว่าแฮปปี้ทุกอย่างกับของเล่นชิ้นปัจจุบันนี้ เพราะตอบโจทย์ชีวิตได้ทุกอย่าง แบบที่เป็นมากกว่าของเล่นหรือเอาไว้อวดกัน (คือผมไม่เล่นเกม แต่ใช้ทำงาน อ่านข่าว กับโซเชียลหนักๆ อันหลังนี้เสพติดสุด) จะติดอยู่ก็แค่เกลียดแอปอ้วนๆ รกๆ จากผู้ผลิตเอง ที่ติดมากับเครื่องที่ชาตินึงก็ไม่ได้ใช้ และลบออกไม่ได้ กับอินเทอร์เฟซโบราณๆ ของซัมซุง นอกนั้นโอเคนะ เวลามีปัญหา เข้าศูนย์บริการก็โอเค ไม่เจอปัจจัยดราม่าแบบที่ใครเขาเจอกันเมื่อก่อน
ก็คงปากดีเหมือนเดิม ว่าจะใช้มันไปจนกว่าจะพัง หรือเมียไฟเขียวให้อัปเกรดไปอีกรุ่นงี้
ทีนี้จุดเปลี่ยนมันดันเป็นช่วงสองสามอาทิตย์ก่อนนี่เองครับ
คือเมียผมให้หาข้อมูลไว้ซื้อมือถือใหม่ให้แม่ยาย ก่อนหน้านี้เคยตั้งงบไว้ 5-6,000 บาท ก็ซื้อ Oppo เครื่องนึงตามงบเพื่อให้แกหัดเล่น (หลักๆ คือไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ) ปรากฏว่าได้มาสมราคา คือเล่นได้ แฮปปี้ดี แต่มันก็ไม่ได้ดีอะไร อยู่ในระดับที่ใช้ได้เฉยๆ พอลองดูมือถือในตลาดตอนนั้น การจะให้ดีไปเลย (ในสายตาข้าพเจ้า) ก็ต้องมีประมาณ 12,000 ขึ้นไปแหละ
แต่พอสองสามอาทิตย์ก่อน ลองสำรวจราคาดูอีกที เฮ้ย โลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า Zenfone 5 อยู่ด้วย ราคา 5,990 บาท (เครื่องสูบน้ำเครื่องเดียวพอดี) แต่เครื่องสวยจอใหญ่กล้องดี สเป็กจัดเต็ม นอกนั้นก็มี Xiaomi Mi3 ที่เทพกว่านี้ขึ้นไปอีกเยอะมาก ในราคาที่แพงกว่ากันเกือบเท่า แต่มันก็โคตรคุ้มในระดับที่ถ้าซื้อใหม่ผมก็คงเอาตัวนี้เลย คุ้มที่สุดในโลกนี้เลย ซึ่งข้อเสียของมันก็คือ ณ วันนี้ยังไม่ทำตลาดในไทย แปลว่าถ้าอยากได้ให้หิ้วเอาเท่านั้น (ใครอยากรู้ความดีของมัน ลองกูเกิลเอาเองครับ)
ดังนั้นของแม่ยายเอา Zenfone ไปละกัน ได้ถูกกว่างบหลายพันด้วย แต่เพราะความที่มันดันคุ้มราคาไง เลยหาซื้อที่ไหนก็ไม่มีของซะที …เอ๊ะ มีร้านที่เขารับหิ้วจากสิงคโปร์ในราคาที่แพงขึ้นมาอีกพันเดียวนี่นา ได้รุ่นที่ดีกว่าบ้านเราพอสมควร แถมยังมีของทันทีด้วย ก็เลยตัดสินใจสั่งซื้อไป และได้ของมา
พอลองเล่นดูแล้วสรุปสั้นๆ เลยครับ ว่าคุ้มเหี้ยๆ
ถึงจะคิดได้ช้าไปหน่อย แต่มือถือเครื่องต่อไปก็คงพิจารณาอะไรแบบนี้ครับ คือพวกราคาระดับเดียวกับที่ฟาดฟันกับไอโฟนนั่นคงปล่อยให้เป็นเรื่องของคนชอบเล่นของแพงไป ส่วนเราพอมาเห็น Zenfone และ Xiaomi แล้วก็รู้สึกเสียดายเงินส่วนต่างตั้งสองสามเท่า เอาไปซื้อขนมให้ลูกกินดีกว่าเลยครับ
ที่เขียนบล็อกนี้เลยเถิดก็เพราะนึกได้สั้นๆ ว่า เส้นแบ่งระดับราคาของ “พอใช้” กับ “เจ๋ง” ที่เมื่อก่อนอยู่ที่ 15,000 ขยับลงมาเป็น 12,000 นั้น เดี๋ยวนี้ล่าสุด อีเส้นนี้มันขยับลดลงมาเหลือไม่ถึง 6,000 บาทแล้ว
ยิ่งพอ Xiaomi เปิดตลาดในไทยเมื่อไหร่ (เดาแบบไม่มีข้อมูลอะไรเลย ว่าอาจปีหน้า) รับรองวงการมือถือบ้านเราสั่นสะเทือนพลิกฟ้าดินแน่นอน
อย่าลืมว่าตลาดกลุ่มที่พร้อมจ่ายเงินค่าอะไรพวกนี้ในราคาไม่เกิน 4-5,000 มันมหาศาล และในฐานะคนขายของออนไลน์อย่างผม (โฆษณา) บอกเลยว่า ตอนนี้รอจุด mass crisis รอวันที่ชาวบ้านร้านตลาดสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์(ผ่านมือถือ)ได้แบบเจ๋งๆ ไม่ขลุกขลัก ซึ่งปีหน้าเตรียมตัวสนุกได้ มาแน่นอน 100%
ป.ล.
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือในไทย จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านมือถือในครึ่งปีที่ผ่านมานั้น มีมากกว่าจากคอมแล้ว! ดังนั้นคนทำเว็บโดยคิดอะไรแบบ Mobile First นั้นถึงเวลาของท่านแล้วครับ
ป.อ.
นี่ใช้แอป WordPress ในมือถือ มันทำลิงก์โยงไปบล็อกตอนอื่นๆ ที่อ้างถึงลำบากจัง เดี๋ยวไว้ขยันค่อยมาปรับเป็นลิงก์เพิ่มนะ
ป.ฮ.
คอยดูนะ เดี๋ยว Galaxy Note 4 ออกมา ตูก็กลืนน้ำลายไปซื้ออีก เขียนมาตั้งยาว สัส
The post มือถือเดี๋ยวนี้มันต้องกี่บาท appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.