iannnnn's Blog, page 12
April 23, 2015
รีวิวห้องสมุดลาดปลาเค้า ห้องสมุดที่เมพเกินคาด
พอนับนิ้วดู ผมอาศัยอยู่ลาดปลาเค้ามาหกเจ็ดปีแล้วครับ ที่นี่มีศูนย์กลางชุมชนคือวัดลาดปลาเค้า ที่ผมเองก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากไปกว่าการไปทำเรื่องขอยืมโต๊ะกับหม้อไหมาจัดงานทำบุญบ้านเมื่อสมัยย้ายมาอยู่ใหม่ๆ แน่ล่ะ เวียนเทียน งานบุญอะไรก็ไม่เคยไปร่วม (#คนบาป)
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมปั่นจักรยานผ่าน เหลือบไปเห็นว่าหลังซุ้มประตูวัดนั้นมีห้องสมุดประชาชนเหี่ยวๆ ตั้งอยู่ ด้วยความว่าง เลยแวะเข้าไป ในใจก็คาดไว้อยู่แล้วว่าสิ่งที่จะได้พบคืออะไร แล้วก็เป็นไปตามคาด
มันคือห้องสมุดเหี่ยวๆ จริงๆ
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนบ้านมาโพสต์ในกรุ๊ปของหมู่บ้านว่า ห้องสมุดแห่งนั้นได้รีโนเวตใหม่เอี่ยม เป็น “ห้องสมุดอย่างดี” ไอ้ผมที่มีภาพติดตาในครานั้นก็นึกไม่ออกแหละว่ามันจะไปดีได้ยังไง สถานที่ราชการที่เดินเข้าไปก็นึกออกว่าต้องมีกลิ่นขี้นกพิราบลอยมาเตะจมูกนั่น
แต่ด้วยความว่างหลังจากไปส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนอนุบาล ผมเช่าการ์ตูนมา แต่เกิดขี้เกียจเข้าบ้านทันที อยากเอ้อระเหยหาที่นั่งอ่านการ์ตูนก่อน
ส่วนตัวไม่ชอบบรรยากาศอันน่าอึดอัดของร้านกาแฟ (คิดไปเองว่ามันต้องเก๊กนั่งหลังตรง และต้องพรีเซนต์เป็นตัวของคนอื่นตลอดเวลา) และสารภาพว่าสมัยเด็กผมเคยเป็นเด็กเนิร์ดสุดๆ ขนาดที่พักเที่ยงต้องไปสิงอยู่ห้องสมุดทุกวัน ยืมหนังสือจนบัตรยืมเปื่อยยุ่ย และสนิทกับครูบรรณารักษ์อะไรแบบนั้น แต่พอโตมาก็ห่างหายจากห้องสมุดไปเสียนาน
ในเมื่อโอกาสเหมาะเจาะแบบนี้ ผมจึงตั้งใจวกไปห้องสมุดเหี่ยวๆ แห่งนั้นอีกครั้ง อยากรู้ว่าพอศัลยกรรมออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร
พอจอดแว้นที่ด้านหน้าอาคาร เท่านั้นเอง ผมนี่ถึงกับอึ้งเลยครัชเมี้ยว
ด้านหน้าที่เมื่อก่อนเป็นอาคารปูนเก่าๆ ทึมๆ มีนกพิราบเยอะๆ เหม็นอับๆ ตอนนี้ผ่านการบูรณะใหม่ปิ๊ง ประตูเหล็กสีดำสวยงามมีรสนิยม เห็นแล้วเซอร์ไพรส์มาก
หันไปเจอทางลาดสำหรับคนแก่และผู้พิการก็มั่นใจเลยครับว่าที่นี่ผ่านการคิดมาดีจริงๆ เราวัดคุณภาพของอาคาร (และวิสัยทัศน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตั้งแต่คนออกแบบ ไปยันผู้เซ็นอนุมัติงบ) ได้ตรงนี้เลย
เวลาเปิดทำการ เปิดถึงค่ำกว่าที่คิดแฮะ (แต่สองสามทุ่มตรงหน้าวัดนี่เปลี่ยวมากเลยนะ)
มีแผนผังของแต่ละชั้น ที่จริงสาระของบล็อกนี้ก็ดูแค่ผังนี่ก็ได้ครับ ภาพอื่นๆ ก็แค่พาทัวร์ แต่ประเด็นคือเรายังได้ความอุ่นใจจากพี่ทหารที่ถอดเสื้อโชว์ไว้ว่าสถานที่นี้ปลอดภัยแน่ๆ ขอให้เธอจงไว้ใจและศรัทธา
พอเดินเข้ามาปั๊บ นั่นไง ถ้าเป็นเว็บไซต์โรงเรียน นี่ก็เปรียบเหมือนขอบจอมุมบนซ้าย ที่จะต้องโชว์หน้าผู้บริหารชัดๆ ใหญ่ๆ และขุดภาพจากสมัยไหนมาก็ไม่รู้ ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามเช็กลิสต์นั้นทุกประการ (หม่อมเคยหนุ่มเฟี้ยวขนาดนี้ด้วยเหรอครับ คิดว่ารับตำแหน่งตอนแก่หน้ามันแล้ว)
หันไปข้างหน้า มีเคาน์เตอร์บริการ ข้างๆ เป็นชั้นนิตยสาร สังเกตนิตยสารนะครับ ไม่ใช่ขี้ๆ หรือของเศษๆ จากไหนนะครับ
คือนิตยสารแต่ละหัวนั้นดูเป็นของดีเลย เฮ้ยเราเริ่มหลงรักแล้ว เราอยากมาจมปลักที่นี่บ่อยๆ แล้วว่ะ
แพนกล้องไปทางขวา มีห้องสำหรับเด็ก!!!!!!!! ใส่เครื่องหมายตกใจเยอะๆ เลยละกัน คือในห้องนั้นน่าพาลูกมานอนอ่านหนังสือมากๆๆๆๆๆๆ ดูดีมาก คืออภัยให้เหล่าข้าราชการที่โชว์หน้าตัวเองชัดๆ แบบเห่ยๆ เมื่อกี้เลย เฮ้ยดูดีจริง หนังสือเด็กโอเคจริง
เฮ้อ
เอาน่ะ ไอ้ความไม่ชอบอะไรแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่คือจะบอกว่าถ้าย้อนกลับไปดูผังอาคารข้างบน จะเห็นได้ว่าโซนนี้ที่จริงคือร้านกาแฟ เป็นที่ที่เปิดให้เอกชนเข้ามาเช่าทำร้านชิกๆ อ่านหนังสือคูลๆ ซึ่งจะว่าไปก็ดูโอเคมากๆ ครับ บรรยากาศใช้ได้เลย เพียงแต่ไม่มีใครมาเช่า หรือมีเหตุอะไรสักอย่างที่ทำให้มันกลายเป็นที่จัดบอร์ดอาเซียนแห้งๆ ไปแล้ว อ้ะโอเคๆ ถือว่ายังดี ยังอาเซียนร่วมใจ ครูสังคมชอบ ผ่านๆๆ
ห้องสมุดนี้มี 4 ชั้นครับ คราวนี้ไปดูชั้นสองกัน
ขนาดยังไม่ถึงชั้นสอง แค่บันไดก็สุดจ๊าบแล้วครับ มีหนังสือไฮไลต์ๆ มาอวดปกไว้ ดูดี (สังเกตการออกแบบด้านซ้าย ดูเหมือนดิสเพลย์ที่ต้องจ้างนักออกแบบภายในมาทำเลยนะ ไม่ใช่ขี้ๆ นะ)
ที่ไม่ธรรมดาคือมีหนังสือเด็กที่ดูดีมากอยู่เยอะเลย!
อันนี้ชั้นสาม มีพี่ติวมานั่งสอนแกะแพะให้น้องด้วย
ชั้นสี่ว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีและไอทีต่างๆ มีคอมตั้งวางเรียงให้ใช้เน็ตฟรี ดูดีเนอะ
มีเด็ก มานั่งเล่นกัน เห็นโลโก้ช้างนั่นแล้วก็นึกถึงความหลังอันมืดมนสมัยเคยต้องรับจ้างทำอะไรบางอย่างกับแคมเปญนี้ (ช่างมันครับ เป็นเรื่องอดีตไป เราไม่ด่าลูกค้าเนอะ เหี้ย)
น้องสองคนนี้คุยกัน “(ชื่อเด็ก) อย่าไปเล่นเฟซบุ๊กของคนอื่นเขาซี้” “อ้าวก็เขาเล่นค้างไว้ไม่ยอมออกอะ หนูก็เล่นได้สิ” “แต่มันของคนอื่นเขา” …
นี่คือปัญหาของห้องสมุดที่มีหนังสือคอมพิวเตอร์ครับ
เราไม่ลืมที่จะแวะไปดูห้องน้ำ อันเป็นหัวใจของห้องสมุด ถ้าห้องน้ำดี น่าขี้ นั่นแปลว่าห้องสมุดนั้นดี (ใช่ไหม ใช่เถอะ)
และก็ดูดีจริงๆ นั่นแหละ สะอาดสะอ้าน มีถังน้ำสำรองกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
เช่นนี่ นี่ห้องข้างๆ — ผมใช้ภาพนี้ทำหน้าจอล็อกมือถืออยู่ครับ ดูดีเลยทีเดียว
และสุดท้ายคือป้ายที่ชี้ไปห้องออดิโทเรียม ผมเปิดประตูชะโงกเข้าไปเห็นแม่บ้านเข้ามาหลบนอนอยู่ 2 คนครับ ไม่อยากปลุกแก เพราะห้องมันน่านอนจริงๆ แต่เอ๊ะ สร้างมากี่ปีแล้วทำไมยังสภาพดูใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน อย่างโซฟานี่ไม่มีร่องรอยการแกะพลาสติกเลยนะ (แต่ห้องดูดีมากครับ เดี๋ยวมาคราวหน้าจะสอบถามเขาว่าถ้าจะขอใช้จัดสัมมนาเล็กๆ ไม่เกิน 12 คน ต้องทำอย่างไรบ้าง)
…
สรุปภาพรวมว่าชอบมาก ประทับใจมาก แต่แยกแยะเอาเองนะครับว่าอันไหนชมจริงอันไหนอวยส่งเดช แต่ที่เห็นแล้วแทบล้มก็คือไอ้นี่
แต่ระบบราชการก็ทำให้มีอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นที่อื่นจะไม่ว่า แต่นี่ห้องสมุดนะ mockup ที่ตัดเป็นอะคริลิกเรียบร้อย ห่า (╥﹏╥) pic.twitter.com/hrU5V2sLyL
— 囧 iaиииии (@iannnnn) April 23, 2015
กดดูภาพเอาเองนะครับ ป้ายแบบนี้มีทุกชั้น (เลื่อนไปดูข้างบนก็ได้ ที่ถ่ายไกลๆ) เห็นแล้วเข้าใจกระบวนการการทำงานของระบบจัดซื้อจัดจ้างเป็นอย่างจะแจ้งเลย คือมันผ่านมือ ผ่านสายตาทั้งคนทำ คนเซ็น คนจ่าย คนตรวจมาเรียบร้อย จนเปิดใช้จริงนี่ก็ควรจะ 2-3 ปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ โอ้ว ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้สมความกระอักกระอ่วนที่อัดอั้นอยู่ในอกดี
งั้นหัวเราะแห้งๆ ไปพลางๆ ละกัน จะดีจะร้ายก็ภาษีของเราทั้งนั้น
The post รีวิวห้องสมุดลาดปลาเค้า ห้องสมุดที่เมพเกินคาด appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
April 19, 2015
ต้มไข่ด้วยเตาไมโครเวฟ
เคยได้ยินมานานว่า “ห้ามต้มไข่ในเตาไมโครเวฟ เพราะมันจะระเบิด”
ด้วยความไม่เคยต้องสงสัยอะไร ก็เลยไม่ต้ม เอาจริงๆ คือไม่ได้ชอบกินไข่ต้มเป็นพิเศษอยู่แล้ว ตอกดิบๆ ใส่ใส่มาม่า แล้วโยนลงไปในเตายังจะถนัดกว่า ประสาคนขี้เกียจแม้แต่จะจุดเตาแก๊ส
แต่วันนี้ลูกสาวบอกว่าอยากกิน (พ่อทำไข่น้ำให้เอาไหม — ไม่เอา ทานจะกินไข่ต้ม)
ส่วนเมียก็ยุ่งอยู่ชั้นบน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า #พ่อบ้านใจกล้า จากทั่วโลกคงเคยเจอสถานการณ์บีบบังคับนี้มาบ้างแหละ ก็เลยเปิดตู้เย็น และปรึกษากูเกิล ได้คำตอบมาประมาณนี้
อย่านะครับ ของผมนี่ระเบิดตูม ฝาหน้าไมโครเวฟหลุดกระจายมาแล้ว
ไม่ได้ยากอะไรหรอก แต่ต้องจ้องดีๆ ถ้ามันทำท่าจะระเบิด ให้รีบกดปิดทันที (แม่งใครจะไปกล้าจ้องวะ)
ของเราใส่น้ำให้ท่วมไข่ แต่พอทำออกมาแล้วตอกดู มันมาระเบิดข้างนอก เต็มหน้าเลย ร้อนมาก
เคยมีเคสที่ต่างประเทศ การระเบิดของไข่นี่แหละทำให้คนที่ทำเกือบตาบอก เพราะเปลือกไข่ร้อนๆ ที่พุ่งเข้ามาแรงๆ มันคือสะเก็ดระเบิดดีๆ นี่เอง
ฯลฯ
เหี้ยแล้วไหมล่ะ กำลังใจแต่ละอย่างมาเต็ม
แต่กระนั้นก็ต้องมีคนที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ผมเลยทำเป็นลืมข้อมูลเชิงลบจากพวกนู้บข้างบน แล้วหาข้อมูลจนสรุปออกมาได้วิธีการดังนี้
เทน้ำใส่ถ้วยในปริมาณเยอะพอที่จะท่วมเหนือไข่สัก 1 นิ้ว (ไข่ไก่นะไม่ใช่อัณฑะ …ถ้าอัณฑะนี่ สูงขึ้นมา 1 นิ้วก็คงอยู่กลางดงหมอย) เอาไปต้มให้ร้อนก่อน นี่ถามจริงๆ ว่าแกจะให้ต้มทำไมในเมื่อนี่คือหลักสูตรการใช้ไมโครเวฟ งี้ถ้ารักจะต้มกิน แค่เอาไข่โยนลงไปด้วยก็จบแล้วเนอะ อีบ้า (ดังนั้นผมเลยเอาน้ำเปล่าไปเวฟ 1.30 นาที ได้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อน
โยนไข่ลงไปแล้วตรวจสภาพ ต้องแน่ใจว่าน้ำท่วมไข่นะ ถ้าไข่ลอยห้ามดื้อดึงทำต่อ ระเบิดแน่ คือต้องจมน้ำเท่านั้น (แนะนำแบบคนที่ไม่เคยทำอ่านแล้วเสียวมาก) แช่ไว้ประมาณ 2 นาที (ทำไมนาน)
เสร็จแล้วลากทุกอย่างไปเข้าเตาไมโครเวฟ เลือกความร้อนสูงสุด 5 นาทีสำหรับไข่ยางมะตูม และ 7 นาทีสำหรับไข่สุก
เมื่อได้ยินเสียงติ๊ด (บางบ้านก็ปี๊บ บางบ้านก็นิ้งหน่อง แต่นั่นใช่เรื่องที่จะใส่ใจไหม ก็ไม่นะ) ให้เอาออกมาแช่น้ำเย็นด้วย ไม่งั้นระเบิดใส่หน้า (มีการขู่ปิดท้ายอีก สัสเอ๊ย)
อีกแหล่งข้อมูลนึงบอกว่า ไม่เห็นยากเลย ใส่เกลือลงไปในน้ำ 1 ช้อนชา (ไม่ได้บอกปริมาตรน้ำ) แล้วเวฟตามปกติ โซเดียมในเกลือจะทำให้การสั่นเทิ้มของแอมปลิจูดส้มตำอะไรสักอย่างที่เป็นภาษาวิชาการสารประกอบทางเคมี อันนี้ผมอ่านข้ามไปอย่างไม่ไยดี สรุปว่ามึงใส่เกลือก็พอ
ด้วยความเป็นมือใหม่ เลยเอาสองวิธีมาปนกันแม่งเลย และไหนๆ ก็ขอทดลองทีเดียว 3 ฟองดังนี้
ขอแนะนำตัวละครทั้งสาม: ไพโรจน์ผู้เป็นไข่เบอร์ 0 ส่วนฉวีวรรณและอุไรรัตน์ เธอเป็นไข่เบอร์ 4 ที่ซื้อมาหลังสงกรานต์จากแผงหน้าร้าน CP (เขาลดราคาเธอทั้งสองเหลือแค่กระบะละ 69 บาท ก็ตกฟองละ 2 บาทนิดๆ เอง)
ทีแรกจะลองแค่ 2 ฟอง คือไพโรจน์กับฉวีวรรณ แต่พอแช่น้ำร้อนไปได้สัก 30 วินาที ก็สังเกตพบปัญหาคือ ฉวีวรรณเธอมีฟองพรายผุดออกมา เอ๊ะ ไข่รั่ว หรือมีรอยร้าว หรือเธอต้องการเรียกร้องความสนใจกันแน่ ผมเลยไปเปิดตู้เย็น เรียกอุไรรัตน์ลงมาออนเซ็นอีกฟอง
ก็นั่นแหละครับ ด้วยความป๊อด ผมเลยทำทุกวิธีทางที่กูรูแนะนำมา คือใส่เกลือด้วย ต้มน้ำร้อนก่อนด้วย แล้วค่อยเอาไปเวฟด้วยใจระทึก ระหว่างนี้ก็บอกลูกสาวให้ไปหลบหลังบังเกอร์ แล้วอีพ่อมาเกาะดูห่างๆ อย่างห่วงๆ เหงื่อเริ่มซึมตามง่ามนิ้วมือ อ้อ ผมตั้งเวลาไว้ 4 นาทีเท่านั้นเอง กะว่าถ้าระเบิดตูมขึ้นมา ลูกจะได้ปลอดภัย พรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียนวันแรกด้วย (อีพ่อก็คาดว่าอีหวีวรรณมึงตูมแน่ แววมึงมาตั้งแต่แช่นำ้แล้ว)
หลังจากนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างเยือกเย็น ในที่สุดก็ครบ 4 นาทีแห่งความทรมาน ผมเชิญทั้ง 3 ออกมาจากห้องเซาน่า แล้วตรวจดูสภาพ
นั่นไง อีหวี ปริเชียวนะแก นี่แกเตรียมเปลี่ยนเป็นร่างสามแล้วสิ!
เอ้า ย้ายลงไปแช่น้ำก๊อกธรรมดา (นี่ก็เพราะความป๊อด เขาบอกอะไรมานิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อหมด อารมณ์คนมีฐาติเป็นมะเร็งแล้วโดนหมอผีหลอกให้กินยาหม้อ) เสร็จแล้วจัดการใช้มีดผ่าออกมาดูผลการทดลองเลยทั้งสามฟอง
ไพโรจน์: สุกสนิท แบบนี้เหมือนไข่ต้มเซเว่น ซึ่งโอเค นั่นแสดงว่าการแช่น้ำร้อน 2 นาทีแรก ทำให้แกสุกจนเวลดัน
อุไรรัตน์: เป็นไข่ยางมะตูมพอดี!!! ยูเรก้า!!! นิทานชอบกินเยิ้มๆ แบบนี้เลย แล้วเซเว่นนะ แม่งขายแพงมาก ทั้งที่ทำเองได้ แค่เสี่ยงระเบิดนิดเดียวเอง งั้นนิทานรอพ่อแป๊บนะ ขอถ่ายมาโซเชียลก่อน
ขอดูอุไรรัตน์อีกมุมนึง อื้อหือ เซ็กซี่สุดๆ!
ส่วนฉวีวรรณที่น่าเป็นห่วง ผมเอามาเคาะๆ ถอดเสื้อผ้าดู ก็พบว่ามีความสุกประมาณไพโรจน์ (เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนเหมือนกัน) ซึ่งแสดงว่าการที่ไข่มีฟองอากาศตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้มีผลอะไรนัก สบายใจ ไม่ใช่ไข่เน่าอย่างที่คิด (เพราะมันจมน้ำด้วยแหละ)
แต่ไม่ทันได้ถ่าย เพราะนิทานทนหิวไม่ไหว เลยคว้าไปกิน …ก็พ่อมัวแต่เล่นอยู่ได้
.
สรุปผลการทดลอง: โลกโซเชียลทำให้เสียเวลาทำมาหากิน
The post ต้มไข่ด้วยเตาไมโครเวฟ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
April 15, 2015
ทะเลาะกับลูก
เมื่อคืนเถียงกับนิทานเป็นครั้งแรก เป็นการทะเลาะกันครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยรู้จักกันมา 3 ปี
ด้วยเรื่องชุดนอน
นิทานมีตู้เสื้อผ้าเด็กอยู่ ข้างในมีชุดนอน ชุดชั้นใน และชุดอื่นๆ (หมวดหลังสุดนี่ส่วนใหญ่คุณยายจะตัดให้) วางแยกกันอย่างเป็นระเบียบ… กว่าตู้เสื้อผ้าของพ่อแม่มันอีก
แล้วเมื่อคืนเป็นคืนที่สองที่นิทานต้องนอนอยู่บ้านกับพ่อ โดยไม่มีแม่และน้องเวลาอยู่ด้วย เนื่องจากน้องป่วยแตะมือต่อจากพี่ที่ตอนนี้หายดีแล้ว และแม่ก็ต้องเป็นคนไปนอนแกร่วเฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาลอีก (เดือนนี้โบว์อยู่โรงพยาบาลมากกว่าบ้านละกัน)
จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะที่ได้นอนด้วยกันสองคนพ่อลูกโดยไม่มีแม่อยู่ด้วย
นิทานเป็นเด็กติดแม่ ติดมาก ตั้งแต่เกิดมาก็แทบไม่เคยแยกห่างจากกันเลย อยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาสามปีแล้ว มีครั้งเดียวที่ห่างกันนานๆ ก็คือแม่คลอดน้องเวลา และพ่อต้องเป็นคนไปนอนเฝ้า ดังนั้นนิทานเลยไปอยู่กับคุณตาคุณยายเป็นสิบคืน แม้จะคุยกัน(กับเด็กสองขวบครึ่ง)รู้เรื่องนะว่าแม่ต้องไปคลอดน้อง นิทานอยู่กับคุณตาคุณยายนะลูก (ค่ะแม่) แต่เอาเข้าจริงๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมา นิทานก็จะแสดงออกตอนหลับละเมอออกมาเสมอว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทุกข์ใจอย่างที่สุด ทานคิดถึงแม่ ทานอยากเจอแม่ ฮือ…
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ หลังจากไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลเสร็จ พ่อพาไปกินข้าว กลับมาอาบน้ำแปรงฟัน อ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนเสร็จเรียบร้อย โทรหาแม่เพื่อ บ๊ายบายกัน ปิดไฟแก๊ก นิทานก็พลิกคว่ำพลิกหงาย ไม่ยอมนอน
แล้วรำพึงออกมาว่า “ทานไม่อยากนอน ทานหิว”
รู้อยู่นะว่าที่จริงนี่คืออาการคิดถึงแม่นั่นแหละ แต่ด้วยความเข้มแข็งของเด็กสามขวบ เลยไม่พูดออกมาตรงๆ แต่เลี่ยงไปเป็นเรื่องอื่น
ผมคุยกับนิทาน ถามย้ำให้แน่ใจว่าหิวใช่ไหม กินนมไหม (มีนมกล่องในห้องนอน) แต่นิทานก็ตอบว่าจะกินไข่ต้ม
อีพ่อเลยเปิดไฟ จูงลูกไปชั้นสอง ให้นั่งอ่านหนังสือรอ ส่วนพ่อเดินลงไปทำไข่น้ำให้กิน
ก็ขึ้นมาแล้วก็กินไป อ่านหนังสือนิทานให้ฟังไป (คืนนี้ผลาญหนังสือไปหลายเล่มมาก เป็นการตะล่อม) จนกินหมดก็ไปแปรงฟันกันอีกรอบ และเตรียมตัวเข้านอน
ทันใดนั้นเองพอนิทานบ้วนปากปั๊บ ดันไปโดนคอเสื้อเปียก พอคอเสื้อเปียกก็เป็นอันรู้กันว่าต้องเปลี่ยนชุดนอน ก็ไม่มีไรมาก เดินขึ้นมา เปลี่ยนชุด และ *หาชุดที่เข้ากัน*
เรื่องมันเกิดขึ้นตรงนี้แหละ
ชุดนอนเดิมเป็นชุดที่คุณยายตัดให้ (โฆษณา: คุณยายเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี เปิดร้านนลินฟ้า สาวๆ ไปเลือกชมเดรสสวยๆ กันได้นะคะ) แต่ชุดที่นิทานจะใส่ต่อจากนี้คือชุดหมา (ชุดนอนสีขาว มีแพตเทิร์นเป็นรูปหมาเยอะๆ) ซึ่งเจอแต่กางเกง …ไม่เจอเสื้อ
อ้าว แล้วเสื้อหายไปไหน อีพ่อก็ช่วยค้นให้
เข้านอนตอนแรกสองทุ่มกว่า แต่นี่มันสี่ทุ่มแล้ว พอหันไปมองแววตาลูกก็รู้เลยว่าเริ่มง่วงเต็มที่ นั่นแปลว่าต่อมเหตุผลของเด็กได้ปิดทำการแล้ว ตอนนี้รีเควสต์แค่ว่าจะเอาชุดหมา ชุดอื่นไม่เอา ทานไม่นอน (ที่พูดนี่คือนิทานถอดชดคุณยายออกแล้วยืนแก้ผ้าทำหน้ามุ่ยช่วยกันค้นอยู่)
แต่ไม่เจอ
พ่อเจอชุดรถ (ชุดนอนสีขาว มีลายรถเยอะๆ) ซึ่งก็สวยเหมือนกัน พยายามคะยั้นคะยอให้ใส่ ก็ไม่เอา ให้ใส่แค่ครึ่งบน แล้วครึ่งล่างเป็นชุดหมาก็ไม่เอา นิทานเริ่มร้องไห้
ผมก็บอกให้ใจเย็นๆ ฟังพ่อนะ (สบตา) พ่อ หา ไม่ เจอ (มันจะดีใจไหม) ป้าแอ๋วอาจจะเอาไปซักอยู่ข้างล่าง หรือวางไว้ที่อื่นก็ได้ คืนนี้เราใส่เสื้อรถนอนกันก่อน ไว้คราวหน้…
“แง้!!!!!! พ่อ (ฮึก ฮึก) พ่อเอาไปแอบ (อ้าวเฮ้ย) เมื่อกี้ทานยังเห็นพ่อถือเล่นอยู่เลย (ฮึก ฮึก)”
“เดี๋ยวๆๆๆ นิทาน พ่อจะไปถือเล่นทำไม พ่อไม่ได้แกล้งนิทาน แต่เราช่วยกันหาแล้วไม่เจอจริงๆ ไง เนี่ยลองค้นดูสิ”
“ทานเห็นพ่อถือเล่นเมื่อกี้อะ แต่พ่อเอาไปแอบไว้ตรงไหน แง้!!!”
อ้าวซวยละ หรือเมื่อกี้เป็นผี
ผมทำเสียงจริงจัง “นิทาน… พ่อไม่ได้แกล้งนะ แต่นี่ไง (ชี้ไปที่กองผ้าที่นิทานรื้อออกมาทั้งตู้) ชุดหมาไม่มี เราเจอแต่กางเกง นี่ถ้านิทานไม่ยอมใส่เสื้อเดี๋ยวเป็นหวัดนะ แบบกุ๋งกิ๋งไง (ชื่อหนังสือที่มีตอนนึงอีเด็กกุ๋งกิ๋งมันเล่นน้ำฝนจนเป็นหวัดเข้าโรงพยาบาล) นิทานไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกทีใช่ไหม”
“ทานเบื่อโรงพยาบาลแล้ว” โอเค เข้าทาง
“งั้นนิทานก็ใส่เสื้อรถนะ จะได้ตัวอุ่นๆ แล้วเราไปนอนกัน”
“แต่ แต่ แต่ทานจะใส่เสื้อหมาาาาา แง้!!!!” … เวรกรรม
ผมลองค้นดูก็ไม่เจอจริงๆ ว่าเสื้อหมามันหายไปไหน ปกติตู้เสื้อผ้าเด็กจะเก็บเรียงกันทุกชุดอย่างเป็นระเบียบอยู่แล้ว แต่ถ้าหาไม่เจอก็คือจนปัญญาจริงๆ และยิ่งลูกกำลังง่วงสุดขีดและจิตใจอ่อนแอเพราะไม่ได้นอนกับแม่แบบนี้ ทางแก้ปัญหาคืออะไร คิดสิคิด
“ฮืออออออ ทานอยากโทรบอกแม่” นิทานพูดกลั้วเสียงสะอื้น
“โอเคได้ๆ” เด็กยุคนี้เกิดมากับการสื่อสารทางไกลเป็นเรื่องปกติ ผมทึ่งนิดนึงแต่ก็รีบ #ดึงสติ คืนมา ดูนาฬิกา ตอนนี้โบว์คงยังไม่หลับ เลยกดโทรไป แล้วเปิดลำโพง
“โหล เป็นไงมั่ง” ปลายสายเป็นเสียงเมีย
“แม่ขาาาาาา” นิทานรีบฟ้อง “พ่อเอาชุดหมาของทานไปแอบ ทานไม่มีชุดใส่ %#$@^&!@%#&^!@#*” (ละล่ำละลัก ฟังไม่รู้เรื่องเลย)
ผมรีบตัดบท สรุปเหตุการณ์ให้เมียฟังเป็นลำดับ และเสนอทางออกคือ ให้โบว์บอกลูกว่าใส่ชุดไหนก็นอนได้เหมือนกัน ถ้าไม่รีบใส่เสื้อผ้าตอนนี้เดี๋ยวป่วย ต้องมานอนโรงพยาบาลอีกทีนะ ซึ่งเมียผมก็พูดแบบที่ผมพูดเป๊ะเลยนี่หว่า
ถึงกระนั้น นิทานก็สงบลงนิดนึง แต่ยังร้องสะอึกสะอื้นอยู่ ก่อนวางสาย ผมเลยบอกให้โบว์ให้โอวาทอะไรกับลูกไว้สักหน่อยเพราะท่าทางคืนนี้น่าจะหนักหนาอยู่ และก็หนักจริงๆ เพราะตลอดคืนนิทานยังสะอึกสะอื้น และยิ่งรอบดึกๆ ที่หลับละเมอออกมา คราวนี้พูดเลยว่าคิดถึงแม่ ทานอยากนอนกับแม่ ทานอยากให้แม่มานอนด้วย (แต่คือทานไม่อยากไปโรงพยาบาล อันนี้คือคุยกันก่อนหน้านี้แล้วว่าทานเบื่อโรงพยาบาลมาก ทานไม่อยากไปแล้ว)
และแล้ว มันก็ผ่านไป…
ตื่นเช้ามา นิทานก็สดใสร่าเริง ปลุกพ่อตั้งแต่หกโมงกว่า “พ่อจ๋า อุ้มทานไปฉี่หน่อย”
อีพ่องัวเงียอุ้มพาไปฉี่ ก็บ่นว่านี่มันยังไม่ถึงเวลาตื่นเลยนี่นา นิทานปลุกพ่อเร็วจัง
“ทานปลุกเร็วกว่ากูเกิลอีก กูเกิลยังไม่ตื่นแต่ทานตื่นก่อน”
แน่ะ เด็กสมัยนี้
คือก่อนนอนผมชอบตั้งปลุกด้วย Google Now โดยพูดใส่มือถือไปว่า “Okay, Google. Wake me up at 8.” อะไรแบบนี้น่ะครับ แล้วนิทานฟังเข้าใจเว้ย 555
ป.ล.
ในสายตาผู้ใหญ่ การเลือกชุดนอนถือเป็นเรื่องปัญญาอ่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีลูกแล้วจะเข้าใจครับว่านี่แหละคือเรื่องใหญ่ของเด็ก เผลอๆ ใหญ่กว่าที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันด้วยเรื่องการเมืองเลย แต่ทะเลาะเรื่องการเมืองยังไกลตัวกว่ามากๆ นั่นจึงอาจเป็นเรื่องปัญญาอ่อนเมื่อมองจากสายตาของเด็กสามขวบ (และพ่อวัยสามสิบสามขวบ) ก็ได้
ป.อ.
ในที่สุดก็เจอ เสื้อหมาอยู่ในรถ แม่วางไว้เบาะหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อกี้ผมเลยหยิบไปให้ลูกดู “นี่ไง ทานมั่ว ว้ายๆๆๆ”
ป.ฮ.
เลี้ยงเด็กเล็กก็เจออาการเจ็บป่วยแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ ยิ่งมีลูกสองคนพี่น้องที่ยังไงเดี๋ยวก็เอาโรคมาติดกันจนได้แบบนี้ ทำประกันเจ็บป่วยไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ไม่จนกรอบมาก (นี่ขนาดนิทานยังไม่เข้าโรงเรียนอนุบาลนะ ถ้าเข้าแล้วคงได้มาอีกหลายโรค)
The post ทะเลาะกับลูก appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
April 10, 2015
เจ็บ
เกิดมา 30 กว่าปี (กว่าเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ) ผมไม่เคยนอนโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยเลยครับ
ด้วยร่างกายที่ดูก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะออกกำลังกายได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยแน่ๆ แต่การที่ไม่เคยต้องเจ็บป่วยจนต้องใช้สิทธิ์ที่(เมียบังคับ)ทำประกันไว้เลยสักครั้ง จะว่าดีก็ดี และก็คิดไว้ด้วยว่าอย่าได้เจ็บเลย
มันคงไม่สนุกหรอก
ที่ไม่สนุกก็เพราะช่วงตลอดเกือบสิบวันที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่ผมไม่มีความสุขเท่าไหร่ นั่นเพราะลูกสาวคนโตป่วย
ขนาดได้คลอดหนังสือเล่มล่าสุดวางขายที่งานหนังสือ ทีแรกกะว่าจะเขียนอวยในบล็อกตัวเองให้เรี่ยมมันแผล็บเลย แต่เชื่อเถอะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขียนไม่ออกจริงๆ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเขียนเลย นั่นเพราะใจมันแป้วไปแล้วส่วนหนึ่ง
ไปเซ็นหนังสือในงานมาสามวัน (+1 วัน ที่ไม่ได้มีคิวเซ็น แต่ก็ไปเซ็นกองหนังสือที่ผู้อ่านพรีออเดอร์ไว้) ก็พบว่ามันชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาหน่อยนึง (ใช้ศัพท์แก่) แต่บอกตามตรงว่ามันปกปิดริ้วรอยความกังวลไม่ได้
นิทานไม่สบายมาหลายวันแล้วครับ
นี่เป็นการป่วยครั้งที่หนักที่สุดที่เคยป่วยมาตลอดอายุ 3 ปีของลูก (เคยป่วยนอนโรงพยาบาลแล้วทีนึง แต่ตอนนั้นขวบเดียว) คราวนี้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสที่คุณหมอเรียกว่า EBV-Like โดยชื่อโรคที่เหมือนอ่านแล้วเห็นไอคอนเฟซบุ๊กลอยมานี้ บ่งบอกว่าอาการอยู่ในกลุ่มไวรัส EBV ที่เป็นญาติๆ กับเริม (ตระกูล Herpes เหมือนกัน) แปลเป็นไทยว่ามันคือไวรัสตัวนึงที่สามารถแพร่เชื้อส่งถึงกันได้ทางน้ำลาย ส่วนใหญ่จะมาจากการจูบ แต่กับลูกสาวผมนี่คงไม่ได้ไปจูบกับใครมาหรอกครับ (เอ๊ะหรือมี) แต่น่าจะเกิดจากการที่เด็กชอบไปอม ไปเลียพนักเก้าอี้เอย ขอบโต๊ะเอย ขาตู้เอย ฯลฯ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่งสอนเท่าไหร่ก็ยังมีเผลอไปเอาปากทาบมาจนได้ ก็ให้โรคนี้เป็นตัวสอนละกัน แถมยังคิดค่าสอนโหดด้วย
นี่ถ้าไม่ได้ทำประกันไว้ก็กรอบกันทั้งพ่อทั้งแม่เลยแหละครับ (ขนาดประกันจ่ายให้ก็ยังตัวเบาเลย)
อาการของโรคนี้คือ — ไปกูเกิลเอาเถอะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นบล็อกสุขภาพเกินไป แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่เอฟเฟกต์ที่ไวรัสทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า คืออาการอ่อนเพลีย ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวนะครับ แต่จะเพลียไปอีกหลายวันเลย
ในคลิปนี่คือถ่ายตอนอยู่โรงพยาบาลเป็นคืนที่ 4 มั้ง? ตอนนั้นอาการป่วยไข้ยังสำแดงพลังอยู่ ตอนที่ถ่ายคือสุขภาพจิตของนิทานยังดีเพราะเป็นช่วงไข้ลด แต่ก็หลั่นล้าน้อยกว่าปกติ (ที่ไม่ได้ป่วย) ประมาณ 50% แล้ว คือปกติจะเป็นเด็กที่ดีดมาก เหมือนกินยาบ้าตลอดเวลา หลังจากนั้นพอตรวจไม่พบเชื้อ และค่า #@#$ (ศัพท์ทางการแพทย์) ที่แปลว่าหมดระยะของโรคแล้ว เราก็ขนข้าวของ เดินทางออกจากโรงพยาบาล
ทีนี้เข้าสู่ระยะอ่อนเพลียแทน ตรงนี้แหละประเด็น
ทีนี้เหมือนเรามีลูกเป็นผักเลย นอนทั้งวัน ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีแม้เสียงหัวเราะลั่นบ้านแบบที่เคยเป็นมาตลอดทั้งวันทุกวัน แต่เปลี่ยนเป็นคราง อือ… อือ… สลับกับการบ่นหนาว ไม่มีแรง ทานง่วง ทานไม่หิว ทานไม่ฉี่ วนลูปแบบนี้ตลอดทั้งวัน
ในฐานะของพ่อแม่ที่มีลูกสาวซึ่งค้นพบตัวเองว่ากูเอาดีด้านตลกตั้งแต่สองสามขวบ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงงดตลก กลายเป็นโหมดนิ่ง เล่นมุกอะไรไปก็ไม่ตอบนั้น …โอ้โห
มันเจ็บปวดมากนะครับ
ด้วยความกังวลที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วอาการของโรคนี้มันคืออะไร ยังไง มันมีตัวอะไรแทรกซ้อนที่จะพาสู่อะไรที่ไม่อยากรับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เมียผมถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ สะกิดก็ไม่เล่นด้วย (อีพ่อนี่ก็นะ)
ในแต่ละคืน ขณะที่เมียไปกกลูกหลับ อีพวกมนุษย์กูเกิลอย่างผมก็เฝ้าเปิดหาข้อมูลดูอาการเทียบเคียงว่ามันใกล้เคียงกับโรคอะไรบ้าง ซึ่งในทางการแพทย์แล้วการวินิจฉัยโรคด้วยกูเกิลนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยนะครับ เพราะเปิดไปเจอกระทู้โอดโอย โดยเฉพาะจากผู้ปกครองเด็ก หรือชุดความเชื่อผิดๆ ที่พาเราสู่ความไม่รู้เข้าไปใหญ่ แบบนี้จะยิ่งมั่ว – แต่ผมยังศรัทธาในภูมิคุ้มกันข้อมูลของตัวเอง เลยขอดูซะหน่อยน่ะ (คืออยากรู้ไง ยังไงก็ต้องไปหาหมออยู่แล้ว)
สลับกับปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอ ซึ่งคำตอบในรอบล่าสุดของมันก็คือ “แกรีบพาลูกไปเจาะเลือดเถอะ” ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้ว แต่กลับยิ่งทำให้เมียผมยิ่งว้าวุ่น และรอให้ถึงเช้าวันนี้
และแล้ว เมื่อเช้าเราจึงพาลูกไปหาหมอเด็กท่านเดิมอีกครั้งเพื่อ “ติดตามอาการ” ของลูก ซึ่งที่จริงจุดประสงค์หลักของผมคือไปรักษาความกังวลของคนเป็นแม่มากกว่า
และแล้ววันนี้ก็เลยเป็นการนั่งคุยกับหมออย่างยาวนานที่สุด ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ และความเป็นมืออาชีพ คุณหมอก็อ่านแววตาของเมียผมออก จึงตอบทุกคำถาม แนะนำทุกอย่าง แม้กระทั่งพูดคุยเรื่องหัวใจของคนเรียนหมอ (โฆษณา #เรียนหมอหนักมาก ของ @guplia)
เพียงเท่านี้ ความกังวลที่สั่งสมมานานก็สลายไปหมดเลยครับ
การได้เจอหมอแบบนี้ ในมุมของคนไข้ (และญาติคนไข้ที่มักเรื่องมากกว่าตัวคนไข้เอง) ถือว่าประเสริฐนัก แต่ความเหนื่อยก็จะมาตกอยู่กับตัวหมอเองที่เวลารักษาเด็กทีนึง ก็ต้องรักษาอาการอะไรแบบนี้ที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ด้วย ขอนับถือใจคุณหมอจริงๆ ครับ อยากตีลังกากราบแต่เกรงใจครอบครัวถัดไปที่มารอคิวตรวจอยู่
ส่วนอาการของนิทานตอนนี้ไม่น่ากังวลอะไรแล้วครับ แม้จะเป็นอาการเดิมที่เป็นมาหลายวันแล้วก็ตาม (แต่ต่างกันมาก ตรงที่ความเข้าใจของพ่อแม่ ซึ่งมีผลมากๆ) คืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์จากไวรัสชนิดนี้อยู่แล้ว โดยอาการนี้น่าจะเป็นไปอีกพักนึง อาจจะอาทิตย์นึง สองอาทิตย์ (ไอ้ที่อ่านๆ มาจากการกูเกิลบางทีลามไปหลายเดือนเลย แต่เราจะทำเป็นไม่เห็นละกันนะ)
สงกรานต์นี้บ้านเราเลยของดตลกนะ เดี๋ยวนิทานแข็งแรงดีแล้วมาสาดน้ำย้อนหลังกัน
The post เจ็บ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
March 31, 2015
[คุยกันท้ายเล่ม] แซลมอนบุ๊คส์กับข้าพเจ้า
งานหนังสือผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังไม่ได้เขียนถึง “ศิลป์ซิตี้” เลย ถ้าเป็นคนรู้จักวางแผนและขายของเก่งๆ มึงควรเขียนให้เสร็จตั้งแต่ก่อนงานนะ 5555
พอดีเรื่องเล่ามันเยอะจนตัดสินใจไม่ลงว่าจะหยิบเม็ดไหนมาพูดถึงก่อนดี แต่ไหนๆ พอเขียนช้าแล้ว ก็ตั้งใจเขียนไปเลยละกัน จึงขอใช้ย่อหน้าถัดจากนี้ไป เล่าย้อนถึงชีวิตตัวเองที่ได้มีโอกาสโคจรเข้ามาเจอสำนักพิมพ์แซลมอน (ที่กดลิงก์เว็บหลักตอนนี้เจอแต่รายการหนังสือระลอกก่อน ส่วนของใหม่คงพร้อมโชว์หลังงานฯ) และได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน (พูดแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้กับ บ.ก.) แต่ยาวนะ บอกไว้ก่อนเลย เอาเลยนะ โอเคนะ
นับถึงตอนนี้ผมทำหนังสือร่วมกับสำนักพิมพ์แซลมอนมา 3+1 เล่มแล้วครับ (+1 คือเล่มเหลืองๆ ข้างบนที่ออกในนามเฟลาธิการ ส่วนเล่มอื่นใช้ชื่อ iannnnn) โดยสามารถไล่เรียงไทม์ไลน์ และเล่าเรื่องที่หลังเล่มที่ผ่านมาในมุมมองของคนเขียนได้ดังนี้…
อ้อ… ภาพเปิดของแต่ละเล่มคือ “แบบร่างปก” หรือไม่ก็ปกที่ออกแบบไว้ ไม่ได้เอามาใช้จริงนะครับ ผมชอบเก็บงานพวกนี้ไว้ดูเล่น สนุกดี

FAIL OF THE สอง YEARS
(มกราคม 2555)
ย้อนกลับไปเมื่อสี่ห้าปีก่อน ผมยังเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มขั้น แต่หลังจากงานออฟฟิศแล้ว ผมยังเป็นคนมีเวลาว่างเหลือเฟือ เพราะยังไม่มีลูก ในช่วงนั้นการมีครอบครัว (=เมีย) จึงยังสามารถใช้ชีวิตเป็นของตัวเองได้เต็มที่ จึงผุดโปรเจ็กต์นั่นนี่ออกมามากมาย – เว็บเฟลก็หนึ่งในนั้น
เออ จะว่าไป สมัยปี พ.ศ.2553 (ค.ศ.2010) นี่ เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเป็นแบบนี้โดยไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัว แต่เกี่ยวกับพฤติกรรมการ “ฆ่าเวลา” ในยุคที่เทคโนโลยียังไม่ได้สามสี่จีอย่างปัจจุบันมากกว่า เพราะตอนนั้นโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างทวิตเตอร์เฟซบุ๊กเป็นเพียงความสนใจของคนเฉพาะกลุ่มอยู่ จำได้ว่าเคยไปบรรยาย (สไลด์อยู่นี่) แล้วทำนายว่า “ยุคนี้คนมองว่าอินเทอร์เน็ตคือกูเกิล แต่เชื่อเถอะว่าอีกไม่นาน โลกออนไลน์จะหมายถึงเฟซบุ๊ก” ซึ่งเอามาเล่าตอนนี้ก็เป็นนิยายย้อนยุคไปแล้ว ทุกคนแม่งใช้เฟซบุ๊ก (และไลน์ที่ตอนนั้นยังไม่เกิด) กันเป็นเรื่องปกติยิ่งกว่ากินข้าวซะอีก
ที่เปรียบเทียบเส้นเวลาให้เห็นก็เพื่อจะอ้างว่า เว็บเฟลมันเกิดขึ้นในยุคนั้นแหละครับ ยุคที่เวลาคนจะแชร์อะไรกันก็คือ เอาไปแปะตามเว็บบอร์ดเอย ส่งต่อทางฟอร์เวิดเมลเอย ส่วนเฟซบุ๊กทวิตเตอร์นั้นกำลังเริ่มระบาดเข้ามาในประเทศไทย พอจังหวะมันดี เว็บมันก็เลยเกิด พอเกิด ก็เลยเป็นหนึ่งในภาระของชีวิตที่ต้องดูแล อาบน้ำแต่งตัว ขัดสีฉวีวรรณให้มันทุกวันหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้าน บันทึกไว้ว่าทุกวันก่อนนอน ผมต้องคัดแยกผลงาน “ทิ้ง” ในแต่ละวัน วันละเป็นร้อยๆ ฉบับ เพราะไม่เชื่อว่าระบบโหวตมันจะใส่ “กลิ่น” ของเฟลาธิการลงไปได้
เท่านั้นยังไม่พอ พอมานึกทีหลังก็สยองเหมือนกัน ว่าหลังจากคัดเหลือวันละ 6-7 ภาพ (หรือคลิป) แล้ว ก็ต้องมาคิด “ก๊อปปี้” ใส่กลิ่นให้แต่ละเฟลมีเอกลักษณ์ด้วย (แบงค์ บ.ก.บห.แซลมอนเพิ่งถามเมื่อไม่นานมานี้ว่า “มึงทำได้ยังไงวะพี่”)
นั่นแหละจึงทำให้ช่วงพีกๆ มีสำนักพิมพ์หลายเจ้าติดต่อเข้ามาขอรวมเล่ม เจ้าไหนที่อาร์ตเวิร์กไม่สวย งานไม่เนี้ยบ โลโก้ไม่สวย (เดี๋ยว…) จึงถูกเชิดใส่ด้วยความหยิ่งยโสโอหัง และผู้เข้าประกวดรายสุดท้ายคือสำนักพิมพ์หน้าใหม่ ชื่อ “แซลมอนบุ๊คส์”
แซลมอนในตอนนั้นคือสำนักพิมพ์น้องใหม่สุดๆ เลยครับ ผมรู้จักก็แค่ว่าเป็นญาติกับเครือบันลือ ที่เป็นเจ้าของขายหัวเราะในตำนาน และที่สำคัญคือ น้องกราฟิกน่ารัก …จึงตัดสินใจว่าเอาเจ้านี้แหละ (แต่เวลาทำงานจริงๆ ได้ทำกับอีแซม บุรุษหน้าหนวดผู้พยายามกันท่าผมออกจากน้องกราฟิกตลอดเวลา เลวมาก โกรธ)
น่าจะนับเป็นกระบวนการออกหนังสือที่แปลกสักหน่อย คือเป็นหนังสือที่รวม 200 สุดยอดมุกจากเว็บเฟลในช่วงตลอด 2 ปีที่ทำเว็บมา (ทีแรกกะว่าจะรวมตั้งแต่ปีกว่าๆ ตามชื่อเดิม แต่ทำไปทำมากินเวลาไปถึงปีที่ 2 จนได้) ผมในฐานะเฟลาธิการ ก็ไปเซ็ตระบบให้จัดเรียงลำดับตามค่าคะแนนโหวต และค่าถ่วงน้ำหนัก ฯลฯ (อธิบายไปก็เนิร์ดเปล่าๆ) ไว้จำนวนหนึ่งในรอบแรก และมาคัดกรองเจ้มจ้นอีกรอบด้วยตัวเอง จนได้มาตามจำนวน
เสร็จแล้วก็ใส่ลิงก์ ใส่ข้อมูลประกอบ คัดคอมเมนต์ จัดระบบทุกอย่างแม่งยังกะคำนวณภาษีส่งสรรพากร ที่แน่ๆ คือ เป็นต้นฉบับหนังสือเล่มที่เท่าไหร่ของประเทศไทยกันนะ ที่ทำด้วย Google Spreadsheets (เดี๋ยวนี้ชื่อ Google Sheets) ทั้งเล่ม 5555 บ้าบอมาก
เฟลออฟเดอะสองเยียร์ส วางแผงในเดือนมกราคม นั่นแปลว่าวางแผงแยกจากงานหนังสือ ส่วนฉบับพิมพ์ครั้งที่สองนั้นตามมาในอีกไม่กี่เดือน แถมยังมีการเปลี่ยนปกเป็นแบบไม่มีรู ดังนั้นใครเจอฉบับพิมพ์ครั้งแรกนี่เก็บไว้เลยนะครับ อีกห้าพันปีมันจะมีราคาสูงมาก
และในช่วงปีนั้น ผมก็ดันอิ่มตัวจากภาระที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าแม่งต้องทำอะไรรูทีนแบบนี้ทุกวันจนเลี่ยนแล้ว จึงเลิกทำเว็บเฟล และส่งมอบสิทธิ์ทั้งหมดต่อให้คนอื่นรับช่วงไป (ซึ่งก็ดันไม่ยอมทำต่อเฉยเลย กลายเป็นตำนานของจริง โธ้)
ส่วนตอนนี้ถ้าใครไปงานหนังสือ น่าจะยังหาได้ตามกระบะลดราคา ลดเหลือเล่มละ 50 บาท แต่เอามาพลิกดูแล้วยังแนะนำอยู่ครับ ราคานี้นี่คือมุกละ 1 สลึงเองนะ ลองไปพลิกอ่านก็ได้โคตรคุ้ม 5555

คือปะป๊าครองพิภพ
(มีนาคม 2556)
หนึ่งในสาเหตุที่ผมเลิกทำเว็บเฟล รวมถึงค่อยๆ “ปลิด” สิ่งที่กินเวลาจนรู้สึกว่าเป็นภาระออกไปจากชีวิต นั่นคือการมีลูก
ผมพูดเรื่องนี้ไว้ในบทแรกๆ ของหนังสือ “คือปะป๊าครองพิภพ” เหมือนกัน ว่าคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตคนเรามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ สามสเต็ป คือเรียนจบ แต่งงาน และมีลูก” ถึงคนที่ยังอยู่ในสเต็ปก่อนหน้านั้นจะพยายามจินตนาการถึงตัวเองในชั้นถัดไปอย่างไรก็นึกไม่ออก จนกว่าจะได้ไปยืนเอง
บัดนี้พอมีลูกมาสองคน คนโตสามขวบ คนเล็กหกเดือน มองย้อนกลับไปก็ยิ่งมั่นใจว่าจริงนะ และขอเสริมไว้อีกหน่อยว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่าเนี่ย มันเกิดขึ้นภายในจิตใจมากกว่าที่เห็นภายนอกด้วยซ้ำ แต่จะเปลี่ยนไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคน ไม่มีสูตรตายตัว ส่วนของผมนั้นเล่าไว้ในนี้แหละ ลองอ่านดูได้ (ย่อหน้านี้ขายของ)
โว้ย ทำไมเขียนแล้วมันดูซีเรียสจัง ที่จริงมันเป็นหนังสือเล่าเรื่องชีวิตการเป็นพ่อคนแบบเบาสมองมากๆ เลยนะ 5555
งั้นเอาใหม่ ว่าด้วยที่มาของเล่มนี้ละกัน…
กำลังหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดดูเพื่อจะเขียนถึงที่มา ปรากฏว่าเจอคำนำอันนี้พอดี ดีเลย แปะ (จริงๆ นิ้วไม่ได้ดำแบบนี้นะ กล้องซัมซุง โทษมัน)
จบ!
ไม่จบสิไอ้บ้า ขอเขียนนิดนึง คือจะบอกว่ากระบวนการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กรของแซลมอนแม่งเป็นงี้จริงๆ นะครับ คือถ้าอีแบงค์ไปเจอใครที่น่าจะเขียนหนังสือขายกับมันได้ ก็จะใช้วิธีป้ายยาให้มึนๆ เผลอไปตอบตกลงกับมัน รู้สึกตัวอีกทีก็นั่งเขียนต้นฉบับอยู่แล้ว ทีนี้แม่งคือหนีไม่ได้แล้ว
สิ่งที่น่าจดจำในเล่มนี้คือ
เป็นงานเขียนเล่มแรก ที่ออกมาเป็นเล่มๆ จริงๆ โดยสำนักพิมพ์และระบบการพิมพ์มาตรฐาน (ไม่นับหนังสือทำมือที่เย็บขายในงานแฟตเฟสที่แดนเนรมิต) แถมยังไปวางแผงครั้งแรกในงานสัปดาห์หนังสือด้วย ดังนั้นทุกอย่างจึงใหม่ สด สั่นแหงกๆ ไม่แพ้เนื้อหาในเล่มที่ว่าด้วยการออกลูกเป็นตัวๆ
มีอีฟรีคลับเป็นแผนกทวงหนี้… ฟรีครับนั้นเป็น Hulk ประจำกองบรรณาธิการ (นึกภาพไม่ออก? ดูนี่) คือเป็นพวกใช้กำลัง ป่าเถื่อน โหดร้าย
เล่มนี้เปลี่ยนจากการส่งต้นฉบับผ่าน Spreadsheets เป็น Google Docs / Google Drive และเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเราทำแบบนี้คนแรก จนตอนนี้ทางสำนักพิมพ์ก็ใช้ระบบนี้เป็นหลักในการทำงาน (ดีใจกับอะไรแบบนี้)
ซึ่งการเขียนต้นฉบับแทบทั้งเล่มนั้นผมใช้เวลาว่างระหว่างโดยสารรถไฟฟ้าไปออฟฟิศ คือเขียนด้วยนิ้วโป้งในมือถือนี่แหละครับจนจบเล่ม ไม่รู้มีใครเคยทำไหม ถ้าไม่เคยก็จะได้เคลมไว้อีกอย่าง 5555
เออ นิ้วโป้งผมได้ไปโผล่ในคอลัมน์สัมภาษณ์ปากกาในนิตยสาร a day ด้วยแหละครับ เล่มไหนไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว
ชื่อ “คือปะป๊าครองพิภพ” นี่เป็นชื่อที่พอผมไป “คุยงาน” (หมายถึงการไปเจรจาว่าจะเขียนหนังสือก็ได้วะ) (คุยที่บ้านของอีแบงค์แถวๆ ทุ่งครุอันไกลโพ้น) (และลืมกางเกงในลูกทิ้งไว้) (สามปีแล้ว มันยังเก็บไว้) เสร็จปั๊บ ชื่อนี้มันก็ผุดขึ้นมาเลย ชื่อเดิมคือ “คือป๊ะป๋าครองพิภพจบสากล” แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น ปะป๊า ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน สงสัยว่าจะได้ดูไม่เหมือนป๋าแบบ ป๋าขา เสี่ยขา อะไรแบบนี้ ซึ่งผมก็เห็นด้วย
การทำงานกับสำนักพิมพ์นี้มันจะแบบนี้อยู่บ่อยครั้งเลยครับ บางทีนั่งกินขนมไปก็พิมพ์คุยอะไรกันไม่รู้ไปด้วย บ้าๆ บอๆ แม่งดันเอาจริง แต่ทีไปคุยจริงจังบางครั้งก็เดินกลับบ้านมือเปล่า
เริ่มเขียนตั้งแต่ลูกสาว (นิทาน) ยังแบเบาะ จนต้นฉบับเสร็จก็อยู่ในวัยที่ลูกกำลังปีนป่ายไปทั่วตัวแล้ว ดังนั้นหลายครั้งต้องขอย้อนกลับไปเขียนเพิ่ม เพราะมันมีเรื่องเล่าอีกเยอะงอกขึ้นมา ถือว่ามีพัฒนาการไปพร้อมๆ กับหนังสือจริงๆ
ปีนั้นแซลมอนได้บูธในโซนลึกลับที่มีพื้นที่กว้างขวาง เลยผมสามารถหอบลูกไปนั่งเล่นในงานหนังสือได้ด้วย แต่ตอนนี้แซลมอนเป็นสำนักพิมพ์ฮิตติดลมบนไปแล้ว (ซึ่งขนาดบูธยังเท่าเดิม เอ๊ะหรือเล็กกว่าเดิมวะ)
หนังสือเล่มนี้นิทานก็รักมากเช่นกัน เราเรียกกันว่า “หนังสือของนิทานตอนเด็กๆ” ขนาดที่ตะกี้เขียนบล็อกค้างไว้แล้วจะลงไปกินข้าว นิทานผ่านมาเห็นก็ยังถลามาเปิดดูหน้าตัวเองที่ปรากฏในหนังสืออยู่เลย :) อ้อ เล่มที่ถ่ายไว้ข้างบน และถ่ายหน้าคำนำลงบล็อกนี่ เป็นเล่มที่สภาพเยินมาก เพราะเก็บใส่ชั้นหนังสือไว้ และให้นิทานหยิบอ่าน (=เปิดรัวๆ) ได้ตามใจชอบมาตั้งแต่ขวบนึง ดังนั้นสภาพนี่อย่างเละ แต่ความเละนี่มีคุณค่ามากๆ
เคยไป B2S แล้วเจอเล่มนี้วางไว้ตรงแผงเด่นๆ (ถ้าสำนักพิมพ์อื่นบางทีไปหลบอยู่ในหมวดแม่และเด็ก -_-) นิทานถึงกับถลาไปหา และชี้ให้ทุกคนดูว่านี่คือหนังสือของนิท้านนนนน
การ์ตูนท้ายเล่มที่มีคนชอบเยอะมากๆ ก็มีเขียนต่อเนื่องมาอีกเป็นร้อยๆ ตอนเลยนะครับ ที่บล็อกนิทานสี่ช่อง (ปัจจุบันเลิกเขียนเพราะนิทานพ้นวัยเบบี๋มาแล้ว แต่พอมีอะไรเกรียนๆ ก็เล่าผ่านทวิตเตอร์ @noonitan อยู่เรื่อยๆ จ้ะ)
สำนักพิมพ์จะมีโควต้าหนังสือฟรีให้นักเขียนหน่อยนึง เลยไปขนมาแจกญาติโยมเยอะมาก จนหมด แล้วก็ต้องซื้อมาเพิ่มอีก สรุปว่าถ้ามันขายหมดหาซื้อไม่ได้ ก็แสดงว่าผมไปเหมามาเก็บไว้เอง (โถ)
(สาระ) (จริงๆ คือขายของ) ทุกวันนี้ยังหาซื้อได้อยู่นะ ถ้าขี้เกียจไปซื้อในร้านก็ซื้อออนไลน์ได้ ได้ลดด้วย – จิ้ม

SLOTH MACHINE
(2557)
ที่จริง ที่มาของหนังสือเล่มนี้ก็เคยเล่าไปแล้ว กดลิงก์ข้างบนนี่ได้เลย (ที่จริงน่าจะเอามาเป็นคำนำมากกว่าคำนำจริงๆ ในหนังสือ… ที่แบบ)
แต่อันนี้ขอเล่าในมุมที่พ้นจากช่วงโปรโมตหนังสือละกัน คือพอเขียนปะป๊าฯ เสร็จแล้วผมก็ห่างหายจากวงการหนังสือไปเลย เนื่องด้วยตัวเองต้องทำงานทำการและหาเลี้ยงดูลูกเมียเป็นหลัก ถ้าเอาไทม์ไลน์ชีวิตตัวเองมาเทียบก็คือตอนนั้นเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานเกี่ยวกับงานออกแบบและเทคโนโลยีเต็มตัว โดยตัวงานน่ะสนุกดี เงินเดือนก็เพียบ เพื่อนร่วมงานก็ฮา แต่เกลียดชีวิตช่วงนั้นจนเผลอระบายออกมาบ่อยๆ ว่าเบื่อชีวิตในช่วงนี้จริงๆ แต่งานมันสนุกดี เงินเดือนก็เยอะ โอกาสพัฒนาฝีมือตัวเองก็เยอะ แต่เบื่อ แต่งานก็ดี เงินก็แจ่ม เพื่อนร่… พอ!!!
ทันใดนั้น ผมก็ลาออกมาเลย
ที่จริงคือไม่ได้ลาออกทันทีหรอกครับ มันมีสเต็ปมากกว่านั้นพอสมควร (เล่าไว้ในหนังสือนั่นแหละ กดอ่านดูได้ #ขายของ) พอออกจากงานปั๊บ แทนที่จะหางานที่อื่นต่อ ผมก็ถือโอกาสนั้นแขวนนวมจากชีวิต “วัยทำงาน” ซะเลย เรียกง่ายๆ ว่าเกษียณตัวเองนั่นแหละ
เรื่องไปถึงหูผีของอีแบงค์ผู้เป็น บ.ก.ใหญ่แห่งอาณาจักรแซลมอน ที่ตอนนี้กลายเป็นสำนักพิมพ์มีชื่อเสียงเด่นดังไปแล้ว มันก็มาชวนให้เขียนหนังสือ ผมจึงปฏิเสธไปว่า “ขี้เกียจว่ะ” เช่นเดียวกับที่ปฏิเสธมาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
แต่ใครจะไปรู้ว่าคราวนี้มันเอาจริง มัน (ซึ่งตัวใหญ่ ยืนปิดทางเดิน) บอกว่า พี่ก็เขียนเรื่องมนุษย์ชิลของพี่สิ – ผมโยกหลบไป เจอ “ท่านผู้นั้น” ที่อยู่เบื้องหลังอาณาจักรลันลือ พูดด้วยประโยคคล้ายกัน แต่มาพร้อมกำหนดการวางแผงเรียบร้อย จบเกม
(ที่จริงก็เล่าเรื่องเดียวกับในลิงก์ข้างบนนี่หว่า 5555 กดไปอ่านเอาละกัน ขี้เกียจให้มันสมกับหนังสือหน่อย)
เอาเรื่องเล่าหลังเล่มละกันนะ
ชื่อเรื่อง SLOTH MACHINE นี้คิดได้ก่อนหนังสืออีก คือน้องที่ออฟฟิศเก่ามันชอบเปรียบผมเป็นตัวสลอธ มีตัดต่อ ใส่แว่นตาให้ด้วย (เหี้ยมาก หาภาพไม่เจอแล้ว) และคลิปสลอธข้ามถนนนั้นก็ยังตราตรึงใจจริงๆ จนรู้สึกอิจฉาชีวิตของมัน ว่าทำไมวะ ทำไมเราแม่งไม่สามารถขี้เกียจแล้วอยู่รอดมาได้แบบมัน เอ๊ะหรือได้? มันต้องได้สิ
แล้วก็ได้จริงๆ
ที่จริงวันที่ตัดสินใจว่า เอาวะ มึงทวงขนาดนี้ กูเขียนก็ได้ ผมกระซิบหนุงหนิงก่อน (@notsosad บ.ก.สำนักพิมพ์บัน) พอบอกชื่อหนังสือที่คิดไว้ในหัวไปปั๊บ ปรากฏว่าคอนเซปต์ผ่านแฮะ เลยได้ข้อคิดว่า ถ้าชื่อหนังสือมันมาแล้วเนี่ย หลังจากนี้ก็สบายเลย ถือว่ามีของแข็งอยู่กับตัว (คือชื่อเนี่ยนะ)
เล่มนี้เขียนกับ บ.ก.กาย ที่มาเป็น บ.ก.สำนักพิมพ์อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ยักษ์อย่างฟรีคลับลาออกจากแซลมอนไป (น่าจะไปทำงานทวงหนี้จริงๆ) อีกายก็มารับหน้าที่แทน และตอกย้ำวัฒนธรรมองค์กรอย่างการทวงตะพึดทุกโซเชียลเช่นเคย ไม่สิ โหดกว่าเดิมอีก (เคยเขียนถึงอีกายเต็มๆ ที่นี่)
เทียบกับไทม์ไลน์ของชีวิตตอนที่ตัดสินใจเขียน ก็คือเป็นช่วงที่เมียท้องแก่ ใกล้คลอดลูกคนที่สองพอดี เลยตัดสินใจยากมากว่าจะลุยต่อหรือจะพับไปก่อน เพราะถ้าเมียคลอดออกมาแล้ว ต้นฉบับก็จะต้องสะดุดแน่นอน ทางแก้ก็คือรีบปั่นให้เสร็จก่อนเมียคลอด ซึ่ง ถุย ใครจะไปทำได้วะ!
จึงเป็นหนังสือที่ใช้เวลาเขียน (และวาด) เร็วมาก โดยอาศัยช่วงที่ลูกเมียหลับแล้วมานั่งทำงานต่อ เคยมีที่ปั่นต้นฉบับดึกดื่นจนเผลอสัปหงกบนหน้าจอ รู้สึกตัวอีกทีก็กด ผ ผึ้งค้างไว้ประมาณ 3 หน้ากระดาษ
ถึงจะเขียนเสร็จไม่ทันเมียคลอด (และเมียเหนื่อยมากเนื่องจากต้องดูแลลูกเล็กลูกใหญ่ที่ใช้พลังงานในการเลี้ยงสูงมาก) แต่ในที่สุดก็เสร็จทันวางแผงในงานหนังสือนะครับ ถึงจะเป็นการปิดเล่มเป็นปกท้ายๆ และเลยเดดไลน์มาพอสมควรแล้วก็เถอะ
บทลงโทษที่ได้รับก็คือ งานหนังสือผ่านไปครึ่งนึงแล้วก็ยังพิมพ์ออกมาเป็นเล่มไม่เสร็จ แต่พอเสร็จปั๊บก็ไปนั่งเฝ้าแจกลายเซ็นในงานอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แฮ่
ทั้งนี้สัมผัสโลกของนักเขียนยุคนี้ได้อย่างนึงว่า ถ้าเราไม่ได้สร้างกลุ่มผู้อ่านที่ติดตามผลงานกันอยู่แล้ว (หรือถ้าเป็นคนมีชื่อเสียง มีแฟนคลับไรงี้) หรือเว้นช่วงจากเล่มก่อนหน้า ทิ้งร้างไว้นานๆ ก็ต้องมาบิ๊วกันใหม่หมดเลยอีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม หากคุณต้องการสร้างฐานแฟนคลับ แนะนำให้เปิดเพจแล้วหมั่นอุ๋งอิ๋งๆ และรักษาความสม่ำเสมอไว้ครับ ดูเป็นเรื่องง่ายๆ นะครับ แต่ให้ผมทำก็ไม่ไหวครับ ขยันไม่พอจริงๆ
ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากหนังสือวางแผงตามร้านทั่วไป ก็พบว่ามีคนอ่านกลุ่มใหม่ๆ ปรากฏตัวขึ้นมา และทักทายกันในฐานะที่ผมเป็นนักเขียน (ไม่ใช่คนเล่นทวิตเตอร์ที่โผล่มาเล่นมุกแล้วก็ไป) ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดีนะ
เออ เล่มนี้มันเป็นหนังสือแนวๆ อธิบายคอนเซปต์ชีวิตทั้งเล่ม ดังนั้นเนื้อเรื่องจะไม่ได้เป็นไทม์ไลน์แบบเล่มปะป๊าฯ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเข็มทิศชีวิตนะ -_- คือตั้งใจไว้ว่าเนื้อหาจะค่อนข้างโตหน่อย กลุ่มผู้อ่านจึงค่อนมาในวัยมหาลัย หรือวัยทำงาน
ซึ่งฟีดแบ็กของคนใกล้ชิดที่รู้จักนิสัยกันดีอยู่แล้ว พออ่านปั๊บก็จะไม่ค่อยอะไร คือรู้จักอยู่แล้วว่ามึงเป็นคนแบบนี้ อ่านบล็อกมึงก็มาแนวนี้ตลอดนี่หว่า แต่กับคนที่เข้ามาทักทายกันในฐานะนักเขียน (ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน) ส่วนใหญ่ก็จะแสดงความชอบออกมา ประมาณว่า โอ๊ยพี่ มันโดน หนูเจอตัวเองอยู่ในหนังสือเล่มนี้ หรือผมค้นพบชีวิตตัวเองแล้ว ฯลฯ
ซึ่งสำหรับคนเขียนหนังสือแล้ว ฟีดแบ็กแบบนี้มันโคตรมีค่าเลยครับ คือหนังสือของเราไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่ถ้าเผอิญไปโดนคนที่เหมาะขึ้นมาแล้วดิ้นๆๆ นี่ มันฟิน
แต่ผลตอบรับอันดับหนึ่งจากผู้อ่านก็คือ ซื้อมาแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้อ่าน ขี้เกียจ …
(ปิดท้ายด้วยการขายของ) สลอธแมชชีนยังมีขายทั้งในงานหนังสือ ร้านหนังสือทั่วไปโดยเฉพาะ B2S และซื้อออนไลน์ (มีส่วนลดด้วย)
เออ พอพูดเรื่องวาดด้วยเขียนด้วย เลยนึกได้ว่า งานเขียนของผมทุกเล่มจะต้องมีการวาดรูปประกอบอยู่เสมอ ไม่มากก็น้อย แต่ดูแล้วท่าทางจะมากขึ้นเรื่อยๆ …มากที่สุดก็อีศิลป์ซิตี้เล่มล่าสุด (ที่ยังไม่ได้เขียนถึงเต็มๆ ซะที) นี่แหละ วาดและเขียนด้วยลายมือทั้งเล่ม
โอ๊ย ไว้ค่อยเล่าต่อตอนหน้า
ป.ล.
ลืมสรุปไปหน่อยนึง จะบอกว่างานเขียนหนังสือนี่มันสนุกดีนะครับ ใครเข้าใจว่าน่าจะสนุกยังไง นั่นแหละถูกแล้ว เพียงแต่มันไม่ได้เป็นงานที่เหมาะกับทุกคน เพราะไม่เพียงคุณต้องเขียนหนังสือได้ (อ้าวอีห่า) หรือเล่าเรื่องเป็นเท่านั้น แต่ต้องมีวินัยในการทำงานในระดับที่คนที่เกี่ยวข้องสบายใจด้วย เออ ไม่ได้มีแค่กองบรรณาธิการนะ แต่ยังรวมไปถึงฝ่ายการตลาด เจ้าของตังค์ที่ลงทุนค่าผลิตให้เรา ยันพนักงานโรงพิมพ์ ฯลฯ
ป.อ.
ที่สำคัญคือลูกเมียครับ เกือบทุกเล่มตอนเขียนผมจะต้องขออนุญาตลงปฏิทินขอจำศีลอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเมียจึงรับภาระหนักในการเลี้ยงลูกแทบตลอดเวลา จนต้องย้ายไปพำนักบ้านตายาย ไม่งั้นครอบครัวแตกแยกแน่ 5555 นี่คงเป็นข้อจำกัดของคนมีครอบครัวครับ ส่วนนักเขียนที่โสดก็ได้เปรียบหน่อยนะ จะนอนสำนักพิมพ์ตลอดเดือนก็ไม่มีใครว่า
ป.ฮ.
ผมมีคิวไปแจกลายเซ็นที่งานหนังสือ บูธแซลมอน X-07 วันอาทิตย์ที่ 5 และจันทร์ที่ 6 เมษายนนี้ ประมาณบ่ายสองนะครับ แต่วันเสาร์ที่ 4 ว่าจะแว้บๆ ไป ใครเจอกันแวะจับตูดกันได้นะ
The post [คุยกันท้ายเล่ม] แซลมอนบุ๊คส์กับข้าพเจ้า appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
March 26, 2015
พรุ่งนี้ก็สายอีกแล้ว
พูดไว้ซะดิบดีว่าเขียนหนังสือเล่มใหม่ของตัวเองเสร็จแล้ว หมดภาระหนักอึ้งแล้ว เลยเกิดฮึกเหิมขึ้นมา ประกาศกร้าวว่า “อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังการทำหนังสือของตัวเองที่ผ่านมาแบบละเอียดๆ วันละเล่ม เขียนติดกันสี่วันก็ครบสี่เล่มพอดี” ช่างแสนโรแมนติกอะไรเช่นนี้
แล้วไงล่ะ ติดเลี้ยงลูก ติดพาเมียไปห้าง ติดหอบครอบครัวไปตรังเพิ่งกลับมา พอบวกลบดูด้วยเหตุผลและอารมณ์ทุกประการแล้วก็พบว่า ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นสำคัญต่อชีวิตมากกว่าการเขียนบล็อกทั้งนั้นเลยว่ะ 5555
ผ่านไปสิบวันหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ นี่เข้าสู่วันที่ 27 มีนาคม เข้าสู่งานหนังสือครั้งแรกแห่งปี 2558 แล้ว ตามกำหนดการที่เคยวางไว้ (ตอนที่ยังฟิตๆ) คือวันนี้จะโพสต์ลงบล็อกว่า “พรุ่งนี้ (28 มีนาคม) เวลา 14:00 น.เป็นต้นไป ผมไปเฝ้าบูธแซลมอน X-07 เพื่อเซ็นหนังสือ เจอกันนะคร้าบบบบ” อะไรแบบนี้
แต่หนังสือก็เพิ่งเสร็จจากโรงพิมพ์สดๆ เมื่อกี้ 55555 เดดไลน์ก็เดดไลน์เถอะ ลองมาเจอประสิทธิภาพการผลิตของวงการสิ่งพิมพ์ในช่วงก่อนงานหนังสือ ที่หมุนฟันเฟืองกันไม่หยุดหย่อนตลอด 28 ชั่วโมงต่อวันแบบนี้
งงไหมครับ ถ้างง เอาใหม่อีกที
คือช่วงที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ พอไปเยี่ยมสำนักพิมพ์ทีไร ก็จะเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กำลังอยู่ในร่างสุดท้ายของซูเปอร์ไซย่า ที่กำลังบีบเค้นเฟ้นนวดให้ผลงานหนังสือออกมาเป็นเล่มๆ และวางขายโป๊ะในงานหนังสือพอดี แต่ แต่ แต่ สรุปว่าหลายเล่มวางแผงไม่ทันวันแรกในงานครับ 555
แม้กระทั่ง “ศิลป์ซิตี้” (ที่จริงตรงนี้ต้องทำลิงก์ไปหน้าโฆษณาขายหนังสือ แต่ก็ตามข้ออ้างเรื่องลูกเมียในย่อหน้าที่สอง จึงยังไม่ได้โฆษณาซะที) ก็มีกำหนดการวางแผงครั้งแรกน่าจะเป็นพรุ่งนี้เนอะ และตารางแจกลายเซ็นนักเขียนอย่างเป็นทางการก็ยังไม่คลอดซะทีเดียว (เพราะเล่มอื่นๆ ยังทยอยคลอดกันอยู่) ทางสำนักพิมพ์ได้ขอโทษขอโพยผู้อ่าน และมีโปรโมชันเยียวยาผ่านหน้าเพจไปแล้ว จิ้มไปอ่านดูสิ (เอาจริงนะ อยากได้การ์ดว่ะ เก็บไว้ล้อทีมงานได้)
เออ ลืมไปว่าเฟซบุ๊กมันแปะลงบล็อกได้ด้วยนี่หว่า — งั้นแปะแบบนี้เลยนะครับ
** สเตตัสนี้ยาวเฟื้อย แต่อยากให้ผู้อ่านทุกคนได้อ่านนะจ๊ะ เพราะเกี่ยวข้องกับงานหนังสือครั้งนี้ของเราโดยตรงเลย **เนื่องจ…
Posted by Salmon Books on Thursday, March 26, 2015
เฮ้ย สนุกดี เอาอีก
Cover04: ศิลป์ซิตี้พิมพ์เขียวความทรงจำ ในรั้วมหาวิทยาลัยที่ศิลป์ที่สุดในเขตพระนคร โดย iannnnn ศิษย์เก่าถาปัด ผู้ก่อตั้…
Posted by Salmon Books on Thursday, March 19, 2015
นั่น เผลอโฆษณาจนได้ (ไม่ได้ตั้งใจจริงจริ๊งงงง)
เอาเป็นว่า ประกาศไว้เล็กๆ แบบนี้ก่อนว่าพรุ่งนี้หลังจากว่างจากการเลี้ยงดูบุตรและภรรยา ข้าพเจ้าจะมาเล่าถึง “ศิลป์ซิตี้” หนังสือเล่มใหม่ที่ไปพลิกดูได้ (อ่านฟรีแล้วก็วาง ทุ้ย ไม่ใช่) ในงานหนังสือ บูธ X-07 ของแซลมอนจ้ะ เสร็จชัวร์จ้ะ
และคงไม่โพสต์ดึกๆ ตีสองตีสามแบบนี้อีกนะ ใครมันจะอ่าน
The post พรุ่งนี้ก็สายอีกแล้ว appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
March 16, 2015
ยูจะไลก์หรือไม่ไลก์ ไอก็กลับมาแล้ว
ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ อยู่ดีๆ ก็นึกสนุก เขียนบล็อกลุยๆๆ ตูมๆๆ เกือบทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่กลับมาอ่านแล้วก็ไม่เสียดายที่ยังเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากเขียน (ซึ่งต่างจากการเขียนเพื่อให้คนอ่าน)
แต่แล้ว มรสุมแซลมอนก็พรากเวลาว่างในชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวไป 1 เดือนกว่าๆ เรียกได้ว่ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ตารางงานแน่นเอี้ยด จนคนรอบกายแซะกันว่า ไหนล่ะความเป็นมนุษย์ชิลของมึง
ถึงกระนั้น เมื่อพายุงานที่ถ่าโถมได้พัดผ่านไป ตอนนี้ฟ้าใสแล้วครับ ถึงจะสีออกเหลืองหน่อยๆ ก็เถอะ แต่แอนกลับมาแล้ว เป็นนิวแอน ที่จะมาหัดวาดภาพสีน้ำ จะมาเขียนการ์ตูนปัญญาอ่อนเล่น จะมานอนอ่านการ์ตูน จะไปปั่นจักรยานเล่น จะไปขูดหินปูน
และที่สำคัญ จะได้กลับมาอยู่กับลูกเมียเหมือนเคย (ให้นึกภาพว่าช่วงกลางกุมภาฯ เป็นต้นมา เมียผมหอบลูกไปอยู่บ้านตายายมากกว่าอยู่บ้านตัวเอง ที่ทำแบบนี้เพื่อหลีกทางให้ตัวพ่อทำงานได้สะดวก ซึ่งนี่มันบาปมาก พรากลูกเมียของคนอื่นน่ะ มันบาป!)
แล้วทุกอย่างก็จบลง เมื่อคืนนี้เอง
แน่นอนว่าลูกเมียอยู่บ้านตายายเหมือนเดิม ส่วนเราแวะไปสำนักพิมพ์ หอบคอมไปด้วย และจัดการทุกอย่างให้สะเด็ดน้ำในตีสาม จึงขับรถกลับถึงบ้านภายใน 20 นาที (ปกติการฝ่ารถติดไปสำนักพิมพ์นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ชั่วโมงกว่า) แล้วอาบน้ำนอนอย่างสบายใจ
ตื่นมาก็ช่วยเมียทำงานเหมือนเดิม คือกิจการครอบครัวน่ะยังเต็มมือและเต็มเวลาเหมือนเดิม แต่เป็นตารางเวลาชีวิตปกติ ไม่ได้สวิงอย่างเปรตเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว ตาแม่งบวมสลับซ้ายขวาทุกครั้งที่โต้รุ่งเลยครับ
ซึ่งทั้งหมดนี้เลยทำให้ผมนึกสนุก อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังของหนังสือตัวเองที่เคยทำมากับสำนักพิมพ์นี้ ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้ตัวเองลืมซะเอง …เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะทยอยเล่าทีละเล่มละกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ลืมน่ะนะ เคนะ
.
ป.ล.
ทีแรกว่าจะเขียนบ่นเรื่องข่าวคราวรกสมองประจำวันที่ลามไปทั่วโซเชียล แต่ไม่ไหวจริงๆ เพราะพอตัวเองจดจ่อกับการทำงาน เลยมารู้ข่าวเอาทีหลังชาวบ้านเสมอ ตั้งแต่อีคุกกี้ เพจพยาธิดูดคลิปมาหากิน ฯลฯ (รวมถึงน้องอลิซด้วย แต่คนนี้เราดูแค่พอหื่น ไม่ได้ตามเท่าน้องมุกกี้ แต่พูดก็พูดเถอะ น้องจินเจ๋งสุด) (นี่ไงล่ะสาเหตุที่แท้จริงของการโดนเมียหอบลูกหนี) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดถึงสั้นๆ ละกันว่ากูเหนื่อยจะตามพวกมึงแล้วโว้ย แม่งไม่เกี่ยวห่าอะไรกับชีวิตเลย แต่ต้องตามเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่นว่ากูก็ทันข่าวเหมือนมึงนะ อีห่า เนื้อยเหนื่อย จะลาออกจากโซเชียลก็ยังกิเลสหนาเกินไป ก็บ่นไปแบบไร้คุณค่าทางโภชนาการใดๆ งี้ไปละกัน
.
ป.อ.
หนังสือเล่มที่เพิ่งส่งทุกอย่างเสร็จไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหา’ลัยศิลปะแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง ที่ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนและพบความเปรตมา (ตามหลักแล้ว คำว่ามหาลัยต้องมีเครื่องหมายอะโพ้ดโซฟี่ด้วยนะ ต่อไปจะหัดเขียนให้ถูกถึงจะไม่ชินเองก็เถอะ) ซึ่งเล่มนี้วาดเป็นการ์ตูน และตอนทำก็ชอบมากที่ส… เฮ้ยพอๆ เดี๋ยวค่อยเขียนเต็มๆ แต่ดูทีเซอร์ก่อนที่โพสต์นี้ของสำนักพิมพ์นะ
Post by Salmon Books.
.
ป.ฮ.
แด่เพื่อนนักเขียนทุกท่านทั้งร่วมค่ายและต่างค่ายที่ยังปิดเล่มไม่เสร็จ
บ.ก.สำนักพิมพ์แซลมอนใจดีครับ pic.twitter.com/OI0oYv9z1h
— 囧 iaиииии (@iannnnn) March 15, 2015
ข้อความด้านหลังนั่นตัดมาจากหนังสือเล่มนี้นะ ไม่ใช่อีกายพูดเอง แต่จริงๆ มันก็คือคำพูดจากใจของอีกายนั่นแหละ
The post ยูจะไลก์หรือไม่ไลก์ ไอก็กลับมาแล้ว appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
February 28, 2015
เจ็ดวันจองเวร
หายจากการเขียนบล็อกไปนานมากๆ เนื่องจากปั่นต้นฉบับอยู่ครับ ปั่นแม่งโต้รุ่งทุกวัน จนเมียหอบลูกเต้าหนีไปอยู่บ้านแม่ยายมากกว่าอยู่บ้านอีก (เป็นความช่วยเหลืออันประเสริฐของเมียเลยครับ ซึ้งมาก เดี๋ยวพาเที่ยวเป็นการตอบแทน)
ตอนนี้ใกล้เสร็จแล้ว ใกล้มากๆ แล้ว เดี๋ยวปิดเล่มสมบูรณ์แล้วจะเอามาอวด :D
เอาเรื่องนี้ก่อน
ตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา ผมทำงานโต้รุ่งทุกคืน เมื่อก่อนเวลาอยู่ดึกๆ จะเปิดเดอะช็อกฟังไปเป็นเพื่อน ไม่ได้กลัวผีนะ แต่กลัวฟังเพลงแล้วง่วง ทำไปทำมาฟังเดอะช็อกดันง่วงกว่าอีก เลยเปิดเทยเที่ยวไทยตอนที่เซฟไว้ในลิสต์ Watch It Later มาดูจนเกลี้ยงคลัง เลยไม่รู้จะดูอะไรต่อดี
อยู่มาวันหนึ่ง ยูทูบก็แนะนำซีรี่ส์ “เจ็ดวันจองเวร” ของเวิร์กพอยต์มาให้ดู ทีแรกก็เซฟไว้ก่อน จนพอตัดสินใจเปิดปั๊บ ทีนี้ตาสว่างไม่แพ้เทยเที่ยวไทยเลยครับ แต่เป็นโหมดผีนะ
ดูแล้วสนุกดีครับ เป็นละครผียาวๆ แบบพี้ผีเลยนะ มีพล็อตหลักเป็นเรื่องของพระเอกชื่อซัน (แสดงโดยชาคริต) ที่อยู่ดีๆ ก็เห็นวิญญาณได้ มีโครงเรื่องหลักคือสืบเรื่องแฟนตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็หายไป แล้วมีพล็อตย่อยแบ่งเป็ฯตอนๆ ค่อยๆ พาโครงใหญ่คืบหน้าไปเรื่อยๆ ช้าๆ แต่ไม่ได้ช้าแบบหลอกแดกเหมือนโคนัน
ดูมา 14 ตอนแล้ว ไม่มีผีแฮ่ ใครเกลียดผีแฮ่ก็สบายใจได้ ที่สำคัญคือบทดี นักแสดงดี ประเด็นผีๆ สางๆ ในแต่ละตอนทำออกมาค่อนข้างดี งานสร้างก็ดี คุณภาพพอที่จะส่งออกไปขายต่างประเทศได้ (แต่เปิดให้ดูฟรีในยูทูบนะ)
ใครที่ลูกเมียไม่อยู่และต้องทำงานโต้รุ่งอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ แนะนำครับ
The post เจ็ดวันจองเวร appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
February 14, 2015
ทัศนคติต่อในหลวง
อ่านความเห็นของคุณคนนี้ที่มีต่อสมศักดิ์เจียม (ไม่รู้จักนะ เห็นเขาแชร์ๆ กันมาเลยกดอ่าน หาต้นตอไม่เจอแล้วว่ามาจากไหน) คุณคนนี้ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อสมเจียม โดยก่อนหน้านี้สมเจียมได้โพสต์แสดงความเห็นต่อโฆษณาเรื่องการยืนเคารพเพลงสรรเสริญในโรงหนัง ที่ชาวเน็ตได้แสดงความเห็นต่อโฆษณานี้กันอย่างกว้างขวาง ชมบ้างด่าบ้าง (ทำไม refer หลายชั้นจัง)
สำหรับผมนั้นเฉยๆ ค่อนไปในทางไม่ชอบครับ โฆษณามันยาวยืดไป ที่จริงตัดต่อให้กระชับและ impact ได้มากกว่านี้เยอะ พอดูจบแล้วก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าการที่คนที่ไม่จะไม่ยืนในโรงหนังเพราะอะไร ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ที่จะเอามีดไปจี้กันให้ทำตามซะหน่อย เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่ๆ (ต่ำกว่า 30 ขวบ) ในบ้านเราส่วนใหญ่ก็รู้จักในหลวงผ่านตำนานและคำบอกเล่ากันทั้งนั้น ถ้าเขาไม่เชื่อ นั่นก็คงเพราะวิธีสื่อสารมันยังไปไม่ถึง หรือโลกที่เขาอาศัยอยู่นั้นต่างจากคนที่เชื่อก็ได้… ทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่เรื่องทัศนคติ
ในยุคที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ทัศนคติ บรรทัดถัดจากนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทัศนคติ
เกิดมาเป็นคนเพชรบุรีก็ดีอย่าง
เวลามีคนเถียงกันว่าในหลวงนั้นเป็น “ของจริง” หรือเปล่า เจ๋งจริงอย่างที่เห็นในสารคดีแกล้มเสียงดนตรีไทยน่าเบื่อๆ ที่โรงเรียนเปิดให้ดูบ่อยๆ ไหม หรือเราโดนข่าวสองทุ่มกล่อมมาตลอด
อยากพิสูจน์ใช่ไหม มา เราพาทัวร์ได้เลย
เอาใกล้บ้านหน่อยก็หุบกะพง ห้วยตะแปด ห้วยทราย แหลมผักเบี้ย ดอนขุนห้วย และล่าสุดคือโครงการชั่งหัวมัน
นี่แค่โครงการที่เรานึกออกทันทีนะ ที่จริงมีแบบอินดี้ๆ ที่ไม่ได้พีอาร์อีกเพียบ หลายแห่งก็เพิ่งมารู้ตอนหลังว่า อ้าว นี่ก็ของในหลวงเหรอ
จะว่าไป แค่โครงการที่นึกออกข้างบนนี่ ถึงจะพาไปทัวร์ดูของจริงยังสถานที่จริงแบบผ่านๆ ได้หมดคงต้องใช้เวลาสามวันสามคืนแหละ
แต่ไปผ่านๆ ก็คงรู้จักแค่ผิวๆ ถ้าจะไป “พิสูจน์” กันจริงๆ (แบบที่พี่ป๋องพาทีมงานเดอะช็อกไปบ้านร้าง)เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก็คงต้องศึกษาข้อมูลล่วงหน้ากันหน่อย ว่าโครงการนี้ๆ คอนเซปต์คืออะไร สมัยนั้นเป็นยังไง ปัญหาในยุค “บีฟอร์” คืออะไร ในหลวงคิดอะไร ทำอะไร แล้วผล “อาฟเตอร์” ออกมาเป็นยังไง
โดยเฉพาะโครงการที่ผมยกให้เป็นสุดยอดแล็บวิทย์ในตำนานอย่างแหลมผักเบี้ยนี่ ได้เห็นตั้งแต่สมัยยังเด็กมากๆ ที่ยังเป็นช่วงบีฟอร์ มาจนเห็นผลประจักษ์ตาว่าอลังการขนาดไหน หรืออย่างหุบกะพงที่พ่อเคยพาตะลอนๆ ไปดูของจริงตั้งแต่ยังเด็กๆ เทียบกับสมัยนี้แล้ว …เรียกว่าสิ้นสงสัยแบบไม่ต้องดูผ่านข่าวสองทุ่มที่ผู้ประกาศจะต้องนั่งหลังตรงและรายงานกระดกลิ้นชัดถ้อยชัดคำอีกเลย
ตอนนี้โปรเจกต์ล่าสุดของในหลวงอย่าง “ชั่งหัวมัน” ที่กำลังผ่านช่วงบีฟอร์มาแล้ว คือทุกอย่างลงตัวแล้ว เปลี่ยนไปจากทะเลทรายตอนแรกแบบผิดหูผิดตา ภาพที่แปะไว้ข้างบนนี่ ผมถ่ายตอนที่เพิ่งพาแม่ไปดูโครงการอีกรอบหลังจากที่แม่เคยไปเองในสมัยที่เขากำลังเริ่มไถหว่านกัน ที่ชั่งหัวมันนี่เหล่าญาติโยมที่บ้านผมจะชอบกันมาก เพราะได้ไปช่วยเขาบุกเบิกโครงการนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังต้องบุกป่าฝ่าดง เดินทางเข้าไปในพื้นที่ด้วยถนนที่เห็นสภาพแล้วอย่าเรียกว่าถนนเลยดีกว่า นั่งรถทีไส้สะเทือน …อ้อ แม่ถ่ายรูปโรงนาแห่งแรกๆ แล้วอัดขยายใส่กรอบติดฝาบ้านไว้ด้วยแหละ (ไม่เห็นจะสวยเลย แต่ได้ความเอ็กซ์คลูซีฟ)
ถ้าจะมีสิ่งที่ผมจะสงสัยเกี่ยวกับในหลวง ก็คงสงสัยเรื่องที่ว่า ขนาดท่านแก่แล้วและสุขภาพไม่ค่อยดีแบบนี้ ยังมีพลังเยอะขนาดที่คิดโปรเจกต์ชั่งหัวมัน รวมถึงไปติดตามผลการทดลองบ่อยๆ ขนาดนี้ได้ยังไง (และนั่งรถเข้าไปที่ site ยังไงไม่ให้ไส้สะเทือน)
ผมไม่ใช่คนประเภทที่เห็นในหลวงเสด็จผ่านแล้วซาบซึ้งน้ำตาไหลโบกธง ไม่ได้เห็นในหลวงเป็นเทพเทวดาของศาสนาที่เหนือมนุษย์จนจับต้องไม่ได้ วันที่ใครๆ ใส่เสื้อสีเหลืองกันก็ไม่ได้ซื้อใส่ นี่เขียนบล็อกเรื่องในหลวงก็ใช้ราชาศัพท์ไม่ถูก ขนาดคำว่าไส้สะเทือนยังนึกไม่ออกเลยว่าเขาเรียกไส้ว่าอะไร (ทำไมไม่กูเกิล)
แต่การได้เกิดที่เพชรบุรี ได้มีโอกาสได้เห็นของจริงมาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น ก็ถือว่าโชคดี ที่เวลาคนที่มีทัศนคติต่างๆ นานา มาทุ่มเถียงกันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านจินตนาการ เราก็จะอ่านแล้วยิ้ม
The post ทัศนคติต่อในหลวง appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
February 10, 2015
รีวิว Galaxy Note Edge: สั่ง Note 4 เพิ่มขอบชีส
ถ้าไม่ชอบอ่านยาวๆ ผมมีเกริ่นก่อนไว้ก่อนดังนี้ครับ
บล็อกตอนนี้ยาวและมีภาพเยอะมาก ใครอ่านในมือถือแล้วมีโปรเน็ตจำกัด กรุณากดหยุดตั้งแต่บรรทัดนี้ครับ เอ้า กดเลย
ขอออกตัวว่าเป็นติ่ง Galaxy Note ครับ เคยเขียนอวยสุดคมไว้ด้วย ดังนั้นรีวิวนี้จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานอคติที่ว่า “ไอ้นี่มันเชียร์โน้ตอยู่แล้วแหงๆ” …และก็จริงตามนั้นครับ (อ้าว)
มือถือเครื่องปัจจุบันที่ซื้อมาใช้คือ Galaxy Note 4 สีขาว ซึ่งจะปรากฏตัวเพื่อเปรียบเทียบกับ Note Edge เป็นระยะๆ นั่นเป็นความตั้งใจของรีวิวนี้ เพื่อจะหาคำตอบว่า การมีขอบโค้งๆ เพิ่มมาในราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มจากปกติ 3,000 บาทนั้น มันคุ้มไหม
รีวิวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากซัมซุง ซึ่งไม่มีผลต่อการเขียนนะครับ (คือตรงไหนไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ)โดยซัมซุงส่ง Note Edge มาให้ผมถูไถเล่น และเอามาใช้อวดญาติมิตรประดุจมือถือตัวเองเป็นเวลา 1 สัปดาห์
พวกข้อมูลสเป็ก ชื่อซีพียู เบนช์มาร์ก อะไรที่เป็นตัวเลขเนิร์ดๆ นั่น ไม่มีเขียนนะครับ ถ้าอยากรู้ไปกูเกิลเอาเอง
เข้าเรื่องกันเลยนะ…
.
แรกพบ
นี่คือแวบแรกที่ได้เห็นเลยครับ แกะห่อมาเปิดเครื่อง พอจอสว่างก็เห็นเป็นหน้าจอมาตรฐานจากซัมซุงแบบนี้เลย แต่หลังจากนี้ชุดไอคอน ตีมต่างๆ นี่ผมเปลี่ยนแหลกเลยนะครับ เนื่องจากไม่ชอบดีไซน์อินเทอร์เฟซของซัมซุง
อยากบอกว่าหน้าตาของตัวเครื่องมันดีกว่าที่คิดไว้มาก
แน่นอนว่าส่วนตัวก็รู้สึกโอเคกับดีไซน์ของโน้ตสี่อยู่แล้ว มันเหมือนมือถือซัมซุงที่ผ่านการลองนั่นลองนี่ ปรับนั่นนี่มาอย่างยาวนาน และทำเสร็จในโน้ตสี่ และ Galaxy Alpha เป็นครั้งแรก ลบคำครหาว่าออกแบบกาก และวัสดุกากได้หน่อย และหวังว่ามือถือรุ่นกลางถึงบนของค่ายนี้จะรักษามาตรฐานนี้ไปอีกนาน
ตอนที่เห็น Note Edge บนจอครั้งแรก คือเห็นจากงานเปิดตัว (ของโน้ตสี่) นี่แหละ แต่ไม่ประทับใจเอาซะเลย เพราะการนำเสนอในงานมันดูเฉยและเชยมาก ก็เลยพาลให้รู้สึกว่าอี Note Edge เนี่ย น่าจะเป็นรุ่นที่ออกมามึนๆ ตั้งราคาแพงๆ ผลิตน้อยๆ ขายไอเดีย เสร็จแล้วก็จากไปเงียบๆ รึเปล่าหนอ (หลายสำนักข่าวก็พูดในลักษณะนี้)
แต่ปรากฏว่าพอมันเริ่มวางขายกระจายตัวในหลายประเทศ ดันมีหลายกระแสที่บอกว่า เฮ้ย แม่งขายเฉยเลยดีว่ะ (หกแสนกว่าเครื่องแล้วมั้งถ้าจำไม่ผิด ตัวเลขนี้อาจจะไม่มาก แต่อย่าลืมว่าแม้แต่ซัมซุงเองนั้นก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ ผลิตรุ่นนี้ออกมาไม่เยอะนะ)
พอซัมซุงประเทศไทยประกาศราคาเปิดตัวของมันคือ 28,900 บาท เห็นครั้งแรกก็ เชี่ยแม่งแพงสัสอย่างที่คิด (แต่คิดไว้ว่าจะเฉียด 30,000 มากกว่านี้) คือแค่โน้ตสี่รุ่นมาตรฐานก็ล่อเข้าไป 25,900 บาทแล้ว
(ถึงตอนนี้ราคาซื้อจริงตามแหล่งที่คนในวงการเขารู้กันจะตกลงมาพอสมควร แต่ถ้าเข้าใจธรรมชาติของราคามือถือค่ายนี้ ใครไม่รีบ รอพักนึงเดี๋ยวก็ได้ราคาดีๆ ไว้สอยเองแหละ แฮ่)
เนื่องจากไม่ได้ติดตามราคามือถือค่ายคู่แข่งอย่างไอโฟน พอมารู้ราคาของฝั่งนู้นบ้าง ก็เลยตกใจว่ารุ่นจอใหญ่ (6 Plus) ก็ 28,900 เหมือนกันเด๊ะๆ …จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า วงการมือถือตัวท็อปเดี๋ยวนี้นี่ ราคามันปริ่มๆ จะสามหมื่นกันทั้งนั้น
แต่เอ๊ะ ไม่สิ ไม่จะ เพราะคนซื้อไอโฟนรอบตัวส่วนใหญ่ไม่มีใครเอารุ่นเริ่มต้น (ที่จุได้แค่ 16GB) หรอก คือมันเพิ่มการ์ดไม่ได้ใช่มะ ส่วนใหญ่เลยจะโดดไปซื้อรุ่นที่แพงขึ้นมาหน่อย (64GB) กัน ซึ่งราคาของมันคือ 32,900 บาทถ้วน
โอ้เจ้าแม่อุลตร้า อยากจะเป็นลม แพงกว่าคอมตู 2 เครื่องรวมกันอีก
เอ้าๆๆ กลับมาเกาหลีๆ
.
.
สบตา
แกะกล่องปั๊บก็ลองเอามาวางเปรียบเทียบกับ Note 4 เครื่องสีขาวที่ผมใช้อยู่สักหน่อย
พอดูด้านหน้าด้านหลังก็พอจะสังเกตได้ว่า เออ Note Edge นี่ตัวเครื่องจะสั้นกว่ารุ่นมาตรฐาน และขยายออกด้านข้างมากกว่ากันนิดนึงแฮะ ใครที่บ่นเรื่องมือถือใหญ่ไป นิ้วสั้นไป เอื้อมไปก็ไม่ถึง มาเจอพี่บานเข้าไป ก็ไม่ต้องบ่นแล้วครับ แม่งใหญ่กว่าเดิมอีก
ถือเทียบกันอีกทีและพลิกหน้าหลังให้ดู ผู้ชายนิ้วยาวๆ ที่ใช้โน้ตมาจนชินก็โอเคนะครับ แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ นิ้วสั้นๆ นี่ไปหาทางแก้ปัญหาชีวิตกันเอาเอง
อีขอบโค้งที่เพิ่มเข้ามานี่แหละครับที่ทำให้ความกว้างของเครื่องมันกว้างกว่ารุ่นปกติ เพราะมันต้องวาดเส้นโค้งลงมาหน่อยจะได้พอดี
วางซ้อนกันให้ดู พอมีขอบโค้งแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างแบบไม่ต้องการเหตุผล คงอารมณ์แบบ
“โอ๊ย โน้ตสี่เหรอ ใครๆ เขาก็มีกัน ยืนถือบนรถไฟฟ้าแล้วหน้าตาก็ไม่เห็นจะต่างจากรุ่นอื่น”
“งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง ของกูขอบโค้งเว้ย!” (หันขอบออก)
“เหยด มีตังค์อย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีรสนิยมด้วย” อะไรแบบนี้
เออ จะบอกว่าคนซื้อมือถือก็เพราะเหตุผลแบบนี้กันเยอะนะครับ 555
ถ่ายมาให้ดูอีกหลายๆ มุมตามประสาคนสนใจเรื่องดีไซน์มากกว่าตัวเลขสเป็ก พลิกซ้ายพลิกขวาดูรอบๆ เครื่อง ก็ถือว่าเก็บงานออกแบบดีๆ มาได้เกือบทุกมุม ติดแค่เลนส์กล้องด้านหลังที่มันนูนๆ ออกมาเป็นสี่เหลี่ยมหน้าตาเชยๆ นี่เท่านั้นแหละที่ดูเป็นปมด้อยของเครื่อง ไม่สวยเอาซะเลย หาเคสมาใส่ซะ
สิ่งที่ต่างไปจากโน้ตสี่รุ่นปกติอีกอย่างก็คือตำแหน่งของปุ่มเพาเวอร์ ที่ย้ายจากด้านข้างไปด้านบนครับ เนื่องจากขอบโค้งมันมาครองพื้นที่ด้านขวาของเครื่องไปแล้ว ดังนั้นปุ่มที่ว่าจึงโดนย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่กดไม่ถนัดซะเลย ก็บอกไว้ก่อนเผื่อใครจะซื้อมือถือมากดปิดเปิดบ่อยๆ จะได้ไม่เสียอารมณ์ (ใครมันจะไปกดบ่อยๆ วะ)
.
.
อีตรงขอบโค้งมันเอาไว้ทำอะไร
นี่เป็นโจทย์สำหรับรีวิวนี้ อย่างที่บอกว่าผมใช้โน้ตสี่รุ่นปกติอยู่ และแฮปปี้กับมันมาก (ถ้าให้คำแนนความพึงพอใจ สมัยโน้ตสามให้สัก 7/10 พอมาโน้ตสี่ก็ 9/10) ดังนั้นพอมันเหนือโน้ตสี่ขึ้นมาอีกปิ๊ดนึง ก็เลยขอเพ่งเล็งหน่อย
ก่อนหน้านี้ผมเห็นฝรั่งโพสต์แซะไว้ประมาณนี้
ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่ามันต้องไม่มีประโยชน์อะไรมากกว่าการโชว์ว่ากูโค้งได้นะ เนื่องจากดูในคลิปโฆษณาฟีเจอร์ ก็เห็นแต่ความพยายามหาอะไรใส่ให้มันซะหน่อยทั้งนั้น แล้วไม่ได้เกิดความว้าวอะไรเลย -_-
แต่พอมาเล่นจริงๆ ก็พบว่า “ที่จริงมันก็ใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า”
ถ่ายใกล้ๆ ชัดๆ ให้เห็นว่าส่วนที่เป็นจอโค้งนั้นเวลาเราใช้งานจิปาถะทั่วไป มันจะเป็นสีดำสนิทเหมือนขอบเครื่องปกติ ดูไม่รู้ว่าเป็นจอ แต่เพื่อแก้เหงา เขาเลยทำข้อความตรงนี้ไว้ซะหน่อยเพื่อให้รู้ว่าเรามีจอข้างๆ นะ
ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนพื้นหลัง เปลี่ยนข้อความได้ตามใจชอบ (เวลากดจับภาพหน้าจอจะติดแถบสีดำมาด้วย เพื่ออะไรยยยย)
ประโยชน์อันเห็นได้ชัดอย่างสุดยอดโคตรๆ ของมันก็คือ การย้านพวกข้อความโนติสั้นๆ (เช่น ตั้งปลุกแล้วนะ ลบแอปแล้วนะ ดึงปากกาออกแล้วนะ จับหน้าจอแล้วนะ ฯลฯ) ไปวางไว้ที่ขอบด้านข้าง ซึ่งปกติอีข้อความพวกนี้มันจะโผล่กลางๆ จอ ทำให้เกะกะเวลาเรากำลังโซเชียลติดพันอยู่ใช่ไหมครับ การเคลียร์พื้นที่ส่วนกลางให้สะอาดสะอ้านแบบนี้จึงเป็นข้อดีมาก
อ้อ อยากให้สังเกตความหนาของแถบดำด้านข้าง ภาพนี้แถบดำจะเยอะหน่อย แต่ภาพบนก่อนหน้านี้จะเป็นแถบสลิมๆ นั่นเป็นเทคนิคการออกแบบหลอกตาให้ได้พื้นที่หน้าจอกว้างขึ้นนิดนึง (สังเกตพื้นที่หลังตัวเลขแสดงเวลาด้านบน) ซึ่งส่วนโค้งที่เพิ่มมาจริงๆ นั้นหนาเท่าภาพบนนี้แหละครับ ส่วนเรื่องปากกาไม่ต้องห่วง หน้าจอทั้งผืนรองรับการสัมผัสด้วยปากกาเป็นปกติครับ
หน้าจอล็อกสกรีนปกติเป็นแบบนี้
พอเอานิ้วไปไถส่วนโค้งนั่นในแนวนอน ก็จะเห็นว่ามีแถบเครื่องมืออื่นๆ กระดึ๊บเข้ามา เป็นเหมือน shortcut ให้เรียกแอปได้เลย อันนี้สะดวกมากจริงจัง ให้ผ่าน
เลื่อนไอคอน “^” ขึ้นมาก็จะเจอปุ่มให้จิ้มปรับเปลี่ยนสลับตำแหน่งและแทนที่แอปได้ตามใจชอบ (สังเกตไอคอนด้านขวามันแสดงเบิ้ล ทำให้พอจะเดาได้ว่าเราไม่สามารถลากข้ามระหว่างส่วนตรงกับส่วนโค้งได้ น่าสนใจว่าที่จริงมันคือการเอาจอสองจอมาต่อกัน แต่การทำงานนั้นแยกขาดจากกันเลย)
ไม่ใช่แค่ shortcut นะครับ แต่ด้านขวานี่มันเหมือนเป็น dock ที่เอาไว้ใส่อะไรก็ได้ที่พร้อมจะแสดงผลเป็นแถบยาวๆ ซึ่งทางซัมซุงเองก็มีทำของเล่นมาให้ปรับเปลี่ยนเปิดปิดพอสมควร แต่ยังไม่เยอะ (ไอ้การที่จะเยอะหรือไม่เยอะนี่ขึ้นอยู่กับอนาคตของมือถือรุ่นนี้ด้วยแหละ ถ้าคนใช้น้อย คนเขียนแอปก็ขี้เกียจทำมาลงให้เปลืองเวลา)
อันนี้ตัวนับก้าวและอื่นๆ ของ S Health
เสียดายที่ผมลืมถ่ายไว้อันนึง เป็นการเลื่อนๆ ไปแล้วเจอปุ่มลัดไว้เปิดปิดไฟฉาย (เอ้า สะดวกมากเลยนะ) และเครื่องมืออื่นๆ รวมถึง. ไม้บรรทัดครับ
เฮ้ย ไม้บรรทัดมันวัดได้จริงๆ นะ 555 แต่ห้ามเอามาวัดแล้วทาบคัตเตอร์กรีดล่ะ เดี๋ยวพินาศหมด ไปซื้อฟุตเหล็กถูกๆ ดีกว่า
ส่วนของนักพัฒนาภายนอกก็มีช่วยกันสร้างสรรค์วิธีใช้งานอื่นๆ แต่อย่างที่บอกว่ามันยังน้อยครับ ถ้าไม่ดั้นด้นเข้าไปดูที่บอร์ด XDA (ซึ่งมันไม่ช่สถานที่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปนะ) ก็จะไม่เห็นข้างนอกเท่าไหร่
สองภาพด้านบนคือสิ่งที่ดีที่สุดของการมีขอบข้างเพิ่มขึ้นมาครับ คือแอป S Note ของซัมซุงเองที่ปกติแล้วเวลาผมใช้จะหงุดหงิดที่ปุ่มไอคอนต่างๆ มันชอบมาวางตรงขอบบนขอบล่างของภาพ เกะกะมาก แต่พอย้ายทุกอย่างไปด้านข้าง มันเวิร์กจริง สะดวกจริง หน้าจอสะอาดจริง
ยิ่งถ้าใช้จอแนวนอนแล้วจะรู้เลยว่า การจดโน้ตแบบหน้าจอเโล่งเรียบนั้นมันเวิร์กมาก อันนี้ให้ 10/10/10
นอกนั้นก็อย่างแอปเล่นไฟล์มีเดีย การย้ายปุ่มควบคุมไปไว้ข้างๆ นั้นถือว่าโอเคครับ ทำได้ดีอย่างที่จินตนาการไว้
เรื่องกล้อง นี่ก็ย้ายปุ่มต่างๆ ไปไว้ด้านข้างหมดเลย เห็นหน้าเต็มๆ สะใจครับ แต่ถนัดไหม ไม่ถนัดครับ เพราะปุ่มชัตเตอร์อยู่ในตำแหน่งที่กดยากกว่าเดิม นึกออกไหมว่าเวลาจะกดถ่ายนี่มันต้องเอื้อมนิ้วไปจิ้มตรงนั้น ชีวิตยากขึ้น ไม่ผ่าน แต่แก้ไขได้ด้วยการเปิดโหมด “แตะจอแล้วถ่ายทันที” หรือไปใช้แอปกล้องอื่นๆ แทน
อันนี้ลองให้น้องจิน (นางแบบร้าน Nalinfa) ถือดู เห็นไหมครับ มือถือบ้าอะไรใหญ่กว่าหัวอีก (มุมกล้องเถอะ!)
สำหรับภาพถ่ายที่ออกมานั้นก็ไม่ต่างจากโน้ตสี่รุ่นปกติครับ
วางเทียบกันให้เดาเอาเองว่าภาพไหนใครถ่าย (กดไปดูข้อมูลได้) ซึ่งกล้องของโน้ตสี่นี่ผมสบายใจละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าไอโฟนกล้องมันดีแค่ไหน แต่เห็นการทดสอบ blind test แล้วโน้ตสี่ชนะขาดลอย สาวกไอโฟนกรี๊ดแตก เท่านี้ก็พอ ฟินละกู 555
นอกนั้นก็เป็นฟีเจอร์ขี้หมูขี้หมาประปรายนะครับ เช่นนาฬิกาด้านข้างที่เปิดเองตอนกลางคืน เหลือบดูได้โดยไม่ต้องชะโงกมองเครื่อง หรือเคสแบบมีปกหน้า ที่ออกแบบมาไม่เต็มแผ่นเพื่ออวดขอบโค้ง (ดูไม่ลงตัวจนพิลึก ทำเพื่ออะไร 5555)
คือลำพังแค่โน้ตสี่รุ่นมาตรฐาน มันก็เป็นมือถือรุ่นที่เทพที่สุดตัวหนึ่งในจักรวาลแอนดรอยด์แล้ว แต่ Note Edge นี่มีการตีบวกพลังขึ้นมาอีก ก็เลยมีอะไรไว้อวดน้องเมียได้มากขึ้นอีก (แน่นอนว่าราคาก็แพงขึ้นอีก)
นี่รอดูการอัปเดตเป็นแอนดรอยด์ 5.0 (หรือ 5.1 นะ) ที่ทำให้ระบบเปรียวกว่านี้ แอปแถมเกะกะๆ หายไป และดีไซน์สวยขึ้น รับรองว่าถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาซะอย่าง จะโน้ตไหนสักโน้ตก็ถือเป็นของดีที่ใช้แล้วบอกต่อเป็นยาสีฟันดอกบัวคู่เลยครับ
เอ้า ไหนๆ ก็ไหนๆ สรุปปิดท้ายซะหน่อย
.
.
ข้อดีข้อเสียหลังจากใช้งานจริงมาหนึ่งสัปดาห์
ข้อดี ขอบข้างนั้นใช้ประโยชน์ได้จริง ลบล้างคำสบประมาทที่คิดไว้ว่ามันคงจะเหมือนการ์ตูนที่ข้างบน คือซัมซุงคงพยายามจะยัดฟีเจอร์ลงไปแบบทุลักทุเล และออกมาดูแย่ ซึ่งก็จริงที่บางอย่างมันดูทุลักฯ อยู่บ้าง แต่บางอย่างก็เวิร์กจริง (อย่าง S Note หรือปุ่มลัดต่างๆ)
ข้อเสีย แอปที่รองรับขอบข้างนั้นยังน้อย บางทีแมคก็อยากให้ยูทูบหรือโครมมันสนับสนุนบ้าง เอาแท็บ เอาปุ่มคอนโทรลไปใส่คงจะลงตัวมาก แต่ก็นะ มันไม่ได้เมดบายซัมซุง
ข้อดี สัดส่วนจอเมื่อรวมกับแถบควบคุมที่เพิ่มมาแล้ว มันโอเคเลยนะสำหรับคนที่ชินกับมือถือจอใหญ่ คือใหญ่เต็มตา
ข้อเสีย แต่เครื่องก็บานออกด้านข้างเพิ่มขึ้นอีกจึ๋งนึง มึงยังใหญ่ไม่พอใช่ไหมที่ผ่านมา ควรพอนะ
ข้อดี มันดูไฮโซจริงๆ อีคนออกแบบมันคิดอะไรอยู่ถึงผลักดันให้จนเคาะผ่านได้วะ 5555 เสียดายรูปถ่ายมันไม่ค่อยส่งเสริมความไฮโซของมันเท่าไหร่ แล้วกระจกที่เป็นส่วนโค้งนี่ลูบสนุกมากครับ สัมผัสจะคล้ายกับ Gear Fit เลย (ผมชอบนะ) แนะนำว่าให้ลองไปลูบดูในงานมือถือ หรือตามศูนย์ซัมซุงเอาละกัน
ข้อเสีย ไม่รู้จะเรียว่าเป็นข้อเสียได้หรือเปล่าเพราะผมไม่ได้สนใจมาก คือขอบด้านที่โค้งเนี่ย มันไม่ใช่โลหะแบบขอบอื่นๆ นะครับ ความไฮโซ (?) จะลดลงไปหน่อยเพราะต้องหลักทางให้จอโค้งไง อะไรนะ กรี๊ด เป็นพลาสติกเหรอ ชั้นรับไม่ได้ กรี๊ดดดดดด (โปะครีมเซเล็บรัวๆ)
.
.
.
สรุป: เพิ่มขอบชีสแล้วคุ้มไหม?
คุ้ม ถ้าคุณเป็นคนขี้อวดและมีตังค์พอจะจ่ายเพิ่มขึ้น 3,000
ไม่คุ้ม ถ้าคุณรู้สึกว่ามือถือราคาสองหมื่นมันแพง เพราะนี่มันล่อไป 2 ปลายแล้วนะครับ
คุ้ม ถ้าเทียบราคาแล้วพบว่ามันเท่า iPhone 6 Plus รุ่นกากสุด
ไม่คุ้ม เดี๋ยวราคามันก็ตก ขายต่อขาดทุน (บางคนซื้อมือถือมาขายต่อจริงๆ นะ)
คุ้ม ถ้าเข้าใจวัฎจักรราคาของมือถือซัมซุง แล้วสอยในช่วงที่จังหวะเหมาะๆ หรือมีโปรร่วมกับอะไรสักอย่าง (มีมาบ่อยๆ แหละ) เท่านี้ก็จัดได้ละครับ
สรุปว่าเงินใครเงินมันครับ 555555
.
เอวัง
The post รีวิว Galaxy Note Edge: สั่ง Note 4 เพิ่มขอบชีส appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.