iannnnn's Blog, page 9
December 20, 2015
กระป๋องโค้กใส่เม็ดถั่วเขียว
มีจดหมายแนบมากับกระเป๋าเป้ของนิทานว่า วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันกีฬาสีของโรงเรียน
เพื่อความครื้นเครงและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ทางโรงเรียนจึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ให้ช่วยนำเศษวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์เชียร์ (อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้ม เสร็จตูล่ะ งานประดิษฐ์แบบนี้ของถนัดเลย)
แต่เดี๋ยวก่อน… ในจดหมายมีระบุไว้ว่า จงทำแบบนี้
ใช้กระป๋องโค้ก 2 กระป๋อง (ระบุยี่ห้อเรียบร้อย เข้าใจว่าบริษัทโค้กอาจมีเอี่ยวกับธุรกิจกีฬาสีของโรงเรียนอนุบาลที่มีมูลค่านับพันล้านบาทด้วยไม่มากก็น้อย)
ใส่เมล็ดถั่วเขียวลงไป
ปิดทับด้วยกระดาษสีชมพูซึ่งเป็นสีของลูกหลานท่าน
โอเค ฟังดูไม่ยาก ทีนี้ปัญหาคือ
บ้านเราไม่มีใครดื่มน้ำอัดลม ไอ้ครั้นจะใช้กระป๋องเบียร์แทนก็ยิ่งยากใหญ่เลยเพราะไม่มีใครดื่มเบียร์แน่ ก็เลยต้องไปซื้อในแม็กซ์แวลู่ข้างบ้าน เสียตังค์อีก (ถือว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ให้ใช้เศษวัสดุเหลือใช้ละ)
บ้านเราไม่มีใครทำอาหาร ไอ้ครั้นจะหาถั่วเขียว… เอาเถอะ ตอนไปแม็กซ์แวลู่เลยแวะดูชั้นวางถั่วเขียวด้วย ก็มีแต่แบบออร์แกนิก อีห่า ถุงละ 74 บาท…
กระดาษสีชมพู (และกาว) อันนี้เดี๋ยวไปซื้อ ต้องซื้ออยู่แล้วแหละเนอะ
แล้วก็นึกได้ว่าที่บ้านเรามีอุปกรณ์ส่งเสียงอยู่เยอะแยะเลยนี่หว่า ทั้งกลองบองโก้ กลองคาฮอง คาซู่ นิ้งหน่อง ระนาดเล็ก 2 ราง ไข่เขย่า ขลุ่ยอีก 3 เลา นี่ยังไม่นับขวดเหลือๆ ที่เอามาทำเสียงก๊องแก๊งๆ ได้สารพัด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้เศษผ้ามาพันเป็นสีชมพูได้ (ผมมีผ้าสามสีประจำตัวอยู่ด้วย)
เลยคิดว่าปีนี้ขอดูลาดเลาไปก่อน ปีหน้าพอรู้แนวทางแล้วจะฝืนคำสั่งครู ลองทำอย่างที่เราคิดว่าโอเคกว่าคำสั่ง คสช.ดู
อ้อ พอดีครูประจำชั้นขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองที่ว่างงานไปเชียร์บุตรหลานของท่านด้วย เมียก็เลยดำริว่าเราจะไปเช่าชุดมาสคอตจากร้านใกล้ๆ บ้าน (เป็นรูปช้างสีชมพู) ไปช่วยเขาถ่ายรูปและเชียร์ลูกด้วย 555555 เออ เอาวะ ลองดู ถึงจะแพงกว่าถั่วและน้ำอัดลมสองกระป๋องรวมกันหลายเท่า แต่ก็บันเทิงแบบเซอร์ไพรส์ดี
ส่วนถั่วเขียวออร์แกนิก เดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นเก็บก้อนกรวดข้างบ้านมาใส่แทนคงได้เนอะ
December 11, 2015
ไม่ได้เขียนมาเดือนนึง!
นอกจากนี้แล้ว
– อย่าว่าแต่หนังสือกองพะเนินเลย การ์ตูนก็ไม่ค่อยได้อ่าน
– หนังก็ไม่ค่อยได้ดู (เมียตกลงเข้าโครงการ “ต่อไปนี้จะดูหนังทุกวัน”)
– เที่ยวเหรอ เออเที่ยวว่ะ เที่ยวบ่อยมาก
สรุปง่ายๆ ได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแบ่งเวลาชีวิตเกือบทั้งหมดไปกับลูก 2 คน (ที่ต้องการให้ชีวิตของพ่อและแม่กลายเป็นของเขาแบบคนละ 100% ทั้งคู่) ที่เหลือคือประคับประคองหน้าที่การงานของตัวเอง จนไม่มีเวลามาทำสิ่งอดิเรกใดๆ เลย
ก็ถือเป็นอีกครั้งที่พอรู้สึกว่าบาลานซ์เสีย ธรรมชาติของความเฉื่อยในตัวมันจะสะกิดแรงๆ แล้วบอกว่าต้องปรับอะไรสักอย่างแล้ว
ซึ่งก็ไม่สามารถหักดิบได้เพราะติดเงื่อนไขด้านบน ตอนนี้รอเวลาอย่างเดียว ให้ลูกโตกว่านี้อีกนิด (ไม่ใช่หลักปี แต่เป็นหลักไม่กี่เดือนต่อจากนี้) เราก็น่าจะว่างมานั่งเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยๆ ได้เหมือนเดิม
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนขู่ให้รู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่มีลูกแล้วมาอ่านเข้า คงกลัว และตัดสินใจไม่มีลูกไปเลยเพราะกลัวจะสูญเสียเวลาอันมีค่าของตัวเองไป ก็อยากจะบอกว่าเชิญเถอะครับ วิถีใครวิถีมัน ไม่โน้มน้าวละกัน
แต่ถ้าถามว่าถ้าให้ย้อนกลับไปได้จะมีไหม เฮ้ย ไอ้บ้า มีสิ
มันไม่ใช่แค่คุ้มแบบได้อย่างเสียอย่างนะ แต่นี่เสียแค่อย่าง แต่ได้มาสามร้อยล้านอย่าง โคตรคุ้มเลย
แต่อธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอก
October 30, 2015
ขี้แตกจนเก็บไปฝัน
คำเตือน: ใครกินแกงกะหรี่อยู่ขอให้ปิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ครับ
วันนี้วันดี ได้เติมพลังงานชีวิตจากเพื่อนร่วมงานเก่า คราวหน้าเจอกันใหม่นะ แก๊งสามย่าน
— 囧 (@iannnnn) October 28, 2015
คือผมเพิ่งไปกินเอ็มเคโกลด์มา พอกลับถึงบ้านดึกดื่น ตื่นนอนมาตอนเช้าก็สงสัยว่าทำไมมึนๆ เหมือนจะอ้วก และอ่อนระโหยโรยแรงผิดปกติ พอขี้ตอนเช้าก็ไหลพรวดๆๆ เป็นน้ำ อลังการมาก รอบเดียวไม่พอ นี่เบิ้ลเป็น 2-3 รอบ
ทีแรกก็คิดว่า “ร่างกาย เป็นอะไรของมึง แค่กูนอนดึกตื่นเช้านี่เล่นกูงี้เลยเหรอ” (ทำเสียงเหมือนยุ่น) คือคิดว่าเป็นเพราะนอนน้อย
แล้วก็ปั่นจักรยานไป ม.เกษตรเพื่อไปทำธุระที่ธนาคาร เสร็จแล้วก็รู้สึกอ่อนเพลียมาก นั่งงงอยู่ตรงอาคารจอดรถ
ก้นหอยมรณะ pic.twitter.com/8PFM3olk0h
— 囧 (@iannnnn) October 29, 2015
อยู่ดีๆ ข้าศึกก็ประกาศสงคราม บุกเข้าตีเมืองอย่างจัง! เลยไปฝากรอยรักเอาไว้ใน ม.เกษตรก่อนกลับบ้าน แล้วพอนึกสงสัยก็เลยค้นในมือถือดู
พิมพ์ยังไม่ทันจบก็กลุ้มแล้ว pic.twitter.com/qdpgiNXVvV
— 囧 (@iannnnn) October 29, 2015
ก็นั่นแหละครับ สรุปว่าอาการทุกอย่างชี้เป้ามาที่ “อาหารเป็นพิษ” และต้องปั่นจักรยานกลับบ้านอีก 7 กิโล (เป็นรถพับคันเล็กๆ เลยเหนื่อยกว่าคันใหญ่ไซส์มาตรฐานที่นักปั่นเขาปั่นกันประมาณ 3 เท่า) ปั่นไปก็มึนไป คือเพิ่งสำเหนียกว่ามันคืออาการเพลียจากการเสียน้ำมากเกินไป จะเป็นลม นึกอะไรไม่ออกเห็นรถเข็นขายสับปะรดเลยแวะซื้อ ช่วยได้นิดนึง แล้วปั่นเซๆ ถึงบ้าน นอนมันทั้งเหงื่อท่วมนั่นแหละ
แล้วก็ตื่นมาขี้ๆๆๆๆๆๆ ขี้ๆๆๆๆ เป็นน้ำ ไม่ต้องเบ่งอะไรเลย ทุกอย่างราบรื่นเกินไป เหมือนร่างกายตัวเองเป็นลูกโป่งที่เติมน้ำจากก๊อกจนเต็มแน่นบวมเป่ง พอเปิดรูนิดนึง น้ำก็พุ่งทะลักออกมา ต้องเอานิ้วคีบไว้ พอคลายนิ้วก็พุ่งออกมาอีก พรวดดดดดดดดดด
เกิดมา 17 ปีไม่เคยอาหารเป็นพิษเลย เจ๋งว่ะ สังเกตอาการตัวเองตอนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการเกร็งรูตูด สนุก
— 囧 (@iannnnn) October 29, 2015
พอปรึกษาอาการกับเพื่อนหมอมันก็หัวเราะเยาะ (เกลียดดดด) แล้วสั่งจ่ายยามาแก้ขี้แตก สรุปว่าเมื่อวานนี้ทั้งวันเลยไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ขับรถมาบ้านแม่ยายก็ให้เมียขับให้ (สบาย) แถมพอนอนก็เป็นไข้สูงปรี๊ด
ทีนี้มันสนุกตรงที่เก็บไปฝันว่าผมได้ไปงานสัมมนาสักแห่งแถวๆ นครปฐมกับคนไม่รู้จักทั้งขบวน (เหมือนงานเสวนาที่เอาคนมาจากหลายๆ แห่ง) แล้วปวดขี้ไง เลยไปขี้
ปรากฏว่าพอเบ่งออกมา มันดันก้อนใหญ่มาก สีเหลืองอมน้ำตาลกำลังพอดี กลมๆ แบบแอปเปิลเลย (ไม่รู้ออกมาได้ไง แข็งเป๊กเลยนะ) แล้วมันใหญ่จนยังไงก็ไม่มีทางกดให้ผ่านรูคอห่านชักโครกลงไปได้
กดไปกดมาก็ค้างอยู่ในรู ค้างคอขวดอยู่ครึ่งก้อนนั่นแหละ ทีนี้พอกดอีกที น้ำก็เริ่มเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ จนจะท่วมออกมานอกโถ ซึ่งจังหวะนี้อันตรายมาก ผมก็เหงื่อแตกอยู่ในส้วมแล้วนึกวิธีแก้ปัญหาอยู่นาน
รอให้น้ำลด แล้วเดินออกมานอกส้วม เผอิญเห็นไม้ที่เป็นตัวปั๊มท่อน่ะ ก็เอามาปั๊มๆๆ กดปล่อยๆ อีก้อนนั้นจึงหลุด บั๊วะ! ออกมาจากคอห่าน ในสภาพสมบูรณ์สวยงา่ม กลมดิ๊กๆ เหมือนเดิม
เอาไงดี เลยเดินออกมามองซ้ายมองขวา …เห็นช้อนตกอยู่ เลยเอาช้อนไปค่อยๆ บิออก หั่นแบ่งอุ๊จให้ขนาดของชิ้นเนื้อเล็กลงมาหน่อย (ในฝันได้ความรู้สึกว่านุ้มนุ่ม) ค่อยๆ ออกแรงกดตัดเป็นส่วนๆ ให้พอดีคำ แล้วก็กดให้มันลงไปอีกครั้ง ทุกอย่างจึงแฮปปี้
หลังจากตื่นมาจากฝันสู่โลกแห่งความจริง ข้าพเจ้าก็ขี้แตกพุ่งเป็นน้ำเหมือนเดิม…
October 27, 2015
“พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร”
1.
ประโยคที่เอามาเป็นชื่อบล็อกคราวนี้ ผมจำไม่ได้ว่าที่จริงเป๊ะๆ พี่แกพูดว่าอะไร เป็นประโยคจากบทสัมภาษณ์คุณแหม่ม เจ้าของ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” นวนิยายซีไรต์ปีล่าสุด (2558) ซึ่งเพิ่งประกาศผลไม่กี่วันมานี้เอง แต่บทสัมภาษณ์นี้น่าจะหลายวันแล้ว พี่แกมาในฐานะตัวเก็งของปีนี้
ชื่อรายการที่สัมภาษณ์ชื่อ Radio Read เป็นรายการวิทยุออนไลน์ผ่าน SoundCloud เพิ่งมีตอนนี้เป็นตอนแรก (ไม่รวมตอนแนะนำรายการซึ่งก็สนุกเหมือนกัน) ถ้าสนใจจงสละเวลาอันมีค่าของท่านไปฟัง
2.
พอก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว (แน่ล่ะ นี่ผมก็อายุ 30 กว่าๆ จนชินกับการมีเลข 3 เป็นของตัวเองแล้ว) พบว่าแทบทุกคนจะมีเหตุผล หรือสิ่งยึดเหนี่ยว หรืออีโก้ หรืออัตตา หรืออะไรอีกล่ะ ที่มันอารมณ์ประมาณนี้ แต่สรุปได้ว่าเป็นสิ่งรองรับการกระทำของตัวเองว่า “กูคิดแบบนี้ มีอะไรไหม และนี่คือคำอธิบายชุดความคิดของกู”
ซึ่งสิ่งนี้แม้จะฟังดูงี่เงาแค่ไหนก็ตาม มันน่าสนใจว่ะ
3.
หนังสือที่ผมอ่านตอนขี้ในช่วงนี้คือ The Writer’s Secret เป็นบทสัมภาษณ์นักเขียน หรือนักอะไรต่างๆ ที่มีอาวุธคืองานเขียน (ยกตัวอย่างเช่นพี่เจ้ย และเจ้าของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) แน่นอนต้องรวมถึงนักเขียนรุ่นเก๋าแบบที่เอ่ยชื่อแล้วคนไม่อ่านหนังสือยังรู้จักอีกหลายท่าน
ความสนุกมันอยู่ที่เราพบอัตตา-เหตุผลดังที่ว่ามาอัดแน่นอยู่เต็มเล่ม บางทีอ่านไปก็เฮ้ย อะไรของลุงวะ แต่ก็นั่นแหละ มันน่าสนใจมาก
4.
คำว่า “น่าสนใจ” นั้นอาจเป็นคำของคนแก่ก็ได้นะ คือเราไม่จำเป็นว่าต้องเห็นด้วยหรือคล้อยตาม และเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องแสดงความรู้สึกขัดแย้ง แม้โคตรจะอยากแย้ง แต่มันคือความเคารพความคิด (หรือความคิดต่าง) ที่ก่อตัวขึ้นมาในช่วงที่สติเย็น ผมชอบความรู้สึกนี้ ผมเคารพความรู้สึกน่าสนใจนี้ เวลาเจอใครที่แม่ง ทำไมเหี้ยได้ขนาดนี้ หรือทำไมดีได้ขนาดนี้ หรือทำไมประหลาดขนาดนี้ แล้วมัน convert ออกมาเป็นคำว่า “น่าสนใจ” โดยอัตโนมัติ นั่นแหละจะเป็นตอนที่รู้สึกว่าเขาเป็นครูเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราเคารพเขา เราอยากเรียนรู้ความดีเหี้ยประหลาดนี้ของเขา ซึ่งดี
5.
ตอนนี้รอบตัวผมมีคนรู้จักต่างทยอยเดินก้าวข้ามแกรนด์ไลน์แห่งชีวิตกันมาทีละคนสองคน หันไปวงการไหนก็ต่างเดินก้าวตามๆ กันมา สำหรับผู้หญิงเราจะได้เห็นการบ่นแบบหนึ่ง (เหี้ย กูสามสิบแล้วยังไม่มีผัวเลย) กับผู้ชายก็มักได้ยินอีกแบบ (เฮ้ยกูสามสิบแล้วทำไมชีวิตยังไม่มีอะไรเลยวะ)
6.
แต่เสียงบ่นที่น่าสนใจนั้นลอยมาอีกฝั่ง จากกลุ่มคนที่ถูกแปะป้ายว่า “ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี” ซึ่ง นับนิ้วมือดูแล้วเกินว่ะ รอบตัวผมมีคนประเภทนี้เยอะอะ ที่น่าสนใจ (ใช้คำนี้่บ่อยเกินไปแล้ว แต่มันน่าสนใจจริงๆ ถ้าผมสื่อสารถึงความน่าสนใจออกมาไม่เคลียร์ อนุญาตให้ด่าได้นะครับ) ก็คือ แต่ละคนต่างโอดโอยกันเรื่อง “Mid-life Crisis” กันทั้งนั้น ผมหูผึ่งและตั้งใจฟังทุกครั้งที่ได้เห็นคนเหล่านี้บ่น
ผมไม่ได้ติดตามชีวิตเขาเหล่านั้นตลอดเวลา (เป็นคนผิดของตัวเองที่เสือกไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก เป็นความผิดต่อโลก ต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ที่สิงอยู่ในนั้นเป็นหลัก) ดังนั้นการที่พอเข้าไปคุยกับลูกค้าแล้วเห็นเพื่อนที่ว่าโผล่มาบ่นเรื่องนี้ในไทม์ไลน์ให้เห็นกับตาบ่อยครั้ง จึงทึกทักตั้งข้อสังเกต เหมาเอาเองว่า กลุ่มคนที่ ปสคสรตตอยยมถ30ป. นี้ มันเคว้งว่ะ อาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองได้ขึ้นมาโดนสปอตไลต์ฉาบทับร่างกาย หรือโดนแปะฉลากว่าเป็นคนเจ๋ง หรือรู้สึกได้เอง หรืออะไรก็ตาม ตั้งแต่ยังอายุ 20 กว่าๆ และยิ่งอยู่ในสังคมยุคปัจจุบันที่เราแปะฉลากคนกันง่ายๆ ไม่แพ้การที่ผมกำลังทำอยู่ในย่อหน้านี้นั้น
มันกดดัน
7.
ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องนี้แล้วคุยกับเมียว่าเออ รอบตัวเรามีคนแบบนี้เยอะนะ เมียหันมาบอกว่า เตงก็เป็น ผมหันมามองตัวเอง (ก้มลงเอาคางติดร่องนม …ลองทำตูสิ #มองตัวเอง) …ยอมรับก็ได้ว่าผมก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น คือในช่วงวัย 20 กว่าปี ได้เคยทำอะไรๆ ที่มีคนพูดถึง มีผลงานออกสู่โลก ได้รับการยอมรับ ได้รับการคาดหวัง ฯลฯ หลายๆ อย่างจนตัวเองจำไม่ไหว* ถึงแม้จะเป็นแค่วงแคบๆ เท่าที่กะลาของผมจะกระดึบไปถึง แต่แคบๆ แบบนี้ก็เรียกได้แบบนั้นแล้ว
8.
แต่ทุกวันนี้ผมเรียกว่าแทบจะสลัดเชื้อแห่งนิวเจนฯ ทุกอย่างทิ้งไปทั้งหมด เป็นปริศนาที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม มานึกย้อนทีไรก็งง ยิ่งช่วงนี้ที่อยู่บ้านเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกและทำงานรับใช้เมียเพียงอย่างเดียว บางทีมันก็แว้บๆ ขึ้นมาเหมือนกันว่าเอ๊ะ เมื่อก่อนเราเป็นใคร เดี๋ยวนี้เราเป็นใคร — เราเป็นใครของใคร
คือรู้แหละว่าตอนนี้ชีวิตดีมาก แต่หาข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมจึงดี เป็นความโอเคแบบงงๆ ประมาณว่าถ้ามีคนถามก็จะอธิบายออกไปแบบโง่มาก ทั้งที่ตอนตัดสินใจทิ้งอะไรไปแต่ละอย่าง มันต้องอาศัยความหนักแน่นทั้งนั้น เพราะนั่นคือการเลือกแบบที่เลือกแล้วไม่อยู่ในเขตเซฟโซนสักอย่าง …ตกลงมึงทำอะไร ทำเพื่ออะไร
9.
(สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ เราแนะนำให้อ่านข้อ 9 นี่ก็พอ อ้าว บอกช้าไปไหม) จนกระทั่งได้ฟังรายการวิทยุข้างบนนู้น และได้ยินประโยคที่เอามาทำหัวเรื่องบนนู้นนนแหละครับ ถึงได้เข้าใจ
รู้สึกว่าพิธีกรจะถามคุณแหม่มเรื่องการประสบความสำเร็จ เมื่อมีคนรู้จัก มีคนติดต่อชื่นชมและติดตาม เป็นสาวก และคาดหวังถึงผลงานที่จะทำต่อไป ว่ากดดันไหม คำตอบ (ถ้าจำไม่ผิดคือตอบทันทีด้วยซ้ำ) คือ “ไม่ พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร” ซึ่งแม่ง เหี้ย โคตรใช่เลย ทุกอย่างที่ขมุกขมัวมาในร่างกายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี มันแตกเปรื่องในประโยคเดียว ยิ่งคุณแหม่มอธิบายว่า ปัจจัยภายนอกไม่ได้มีผลกับพี่ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับจากผู้คน ความคาดหวัง หรืออะไรต่อมิอะไรที่ว่ามาในข้อ 7. ทั้งหมดแม่งคือปัจจัยภายนอก สิ่งที่กำหนดตัวตนของพี่ได้คือลูกผัว และต้นกระบองเพชรที่ปลูกไว้เท่านั้นเอง
10.
มีอีกคำถามคืออยากได้ซีไรต์ไหม คำตอบคืออยาก อยากได้ตังค์!
11.
ถึงผมจะไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่โตอะไร อาจจะเป็นคนขี้แพ้ด้วยซ้ำ แต่คำตอบของชีวิตที่ได้มาในวัย 30+ จากรายการวิทยุที่มีผู้ฟังถึงร้อยกว่าคน! (คลิปเสียงตอนที่ 2 นี่ 51 คน) นั้นมันช่างเคลียร์หมดจดสดใส บัดนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร และยิ่งตอกย้ำความมั่นใจที่ได้วางสิ่งนั้น ลาออกจากงานโน้น ปล่อยมือสิ่งนี้ ถอดหมวกใบนั้น ถอดหัวโขนนี้ออกหมด เปลือยจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินแกว่งไข่อยู่บ้านเงียบๆ แม่งตอนนี้เคลียร์แล้ว ใสยังกะตาตั๊กแตน
12.
บางทีคนเราก็แปลก เราไขว่คว้าหาคนที่พูดอะไรออกมาสักอย่างแล้วได้ความรู้สึกว่า “เฮ้ย นี่มันกูชัดๆ” คงเพราะแบบนี้มั้งที่เดี่ยวไมโครโฟนของโน้ตอุดมถึงขายดิบขายดี
13.
และยิ่ง พ.ศ.นี้ เสียงชื่นชม คำตำหนิ การกดไลก์ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรขึ้นมา มันยิ่งกลายเป็นเปลือกหนาหนัก
14.
นั่นแหละมั้งที่เป็นสาเหตุให้ผมไม่สามารถทำอะไรสม่ำเสมอได้ เช่นเพจเฟซบุ๊ก ที่อัลกอริทึมของเว็บมันบังคับให้เราต้อง “ทำอะไรออกมาอย่างสม่ำเสมอ” ไม่งั้นมึงก็จมหายไป ไม่มีวันโผล่ในไทม์ไลน์ของใครอีกเลยแม้ว่าจะตั้งใจขนาดไหน (จ่ายค่าโปรโมตโพสต์มาสิ!) ดังนั้นเพจที่ทำอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง ทำเองบ้าง แต่หือกับกฎดังกล่าว (คือโพสต์เดือนละครั้งซะเป็นส่วนใหญ่ และเป็นเรื่องที่เราสนใจจริงๆ) จึงร้างสนิท 55555 จนบางทีก็สงสัยพวกเพจคอนเซปต์ อะตัวอย่างก็เช่นพ่อบ้านใจกล้า หรือรบกวนตัดต่อภาพฯ เนี่ย แกเหนื่อยไหมวะ ที่ต้องสวมหัวโขนนี้อยู่ทุกวัน เอาน่ะถึงจะมีสปอนเซอร์เข้ามาเติมเงินให้เล่นมุกบ่อยๆ แต่การรักษาความสนุกของสิ่งที่สร้างมาจนถึงเฟสที่ต้องทำเป็นอาจิณ เพราะถ้าไม่ทำก็จะจมหายไปเนี่ย …มันยังสนุกอยู่จริงๆ ใช่ไหม
15.
สืบเนื่องจากดอกจันในข้อ 7 นั่นเป็นเหตุให้ผมเขียนบล็อกนี้ พอดีวันนี้ตื่นมาเห็นอีเมลเข้าฉบับนึง ซึ่งก็ควรจะเป็นเมลจากลูกค้าเสื้อธรรมดาๆ ที่มาสั่งสกรีนเสื้อ (โฆษณาร้านสกรีนเสื้อพร้อมแปะลิงก์) แล้วก็จากไป แต่ไม่ใช่
มันเป็นเมลอีกฉบับที่แยกออกมา และมีข้อความข้างในยาวเหยียด ผมว่าพิมพ์ใส่กระดาษ A4 คงได้สัก 3-4 หน้า และทุกบรรทัดทำให้ผมขนลุกเกรียว เจ้าของจดหมายบอกว่าผมติดตามพี่มานาน (จบครับ ผู้ชาย จบ) ขอบคุณมากๆ ที่พี่เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องเหล่านี้ที่พี่ทำ และเริ่มไล่เรียง “สิ่งที่พี่ทำ” ย้อนไปสมัยที่ผมทำอะไรสนุกๆ เนิร์ดๆ เห่อหมอยหน่อยๆ แต่ลงรายละเอียดทุกบรรทัด ทุกประโยค ร้อยเรียงกันบรรยายถึงสิ่งที่ผมเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งที่เราไม่เคยเจอกัน แต่เขารู้จักและติดตามผมผ่านตัวอักษรล้วนๆ (โดยที่ผมเองก็ไม่เคยรู้) จนเขาโตเป็นผู้เป็นคนถึงวันนี้ ซึ่ง… สารภาพเลยจริงๆ ว่า 98% ของจดหมายฉบับดังกล่าว ผมลืมไปแล้วว่ากูเคยทำไอ้ที่ว่ามาด้วยเหรอวะ (คือมันนานมาแล้วจริงๆ ตั้งแต่สมัยเว็บฟอนต์แรกๆ แหละ) ที่แน่ๆ เขาเขียนมาอย่างละเอียด ด้วยไมตรีจิต ปิดท้ายด้วยคำขอบคุณ และแจ้งโอนเงินค่าสกรีนเสื้อ…
16.
บางทีอะไรเซอร์ไพรส์แบบนี้ก็เจ๋งดีนะ ถึงจะเป็นเรื่องของอดีตก็เถอะ คนที่ไม่ชอบพูดเรื่องอดีตได้ฟังคงเซ็งๆ แต่กับผมที่เป็นพวกลืมอดีตไปหมดแล้ว 555555 ได้อ่านอะไรแบบนี้มันก็เมกมายเดย์อย่างอลังการเลยครับ ส่งให้เมียอ่านเมียก็ขนลุก
October 12, 2015
กามาผาโด้
เพิ่งเคยได้ยินใช่ไหมครับชื่อนี้ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินเมื่อ 10 นาทีที่แล้วนี่เองเหมือนกัน
พอดีตอนเช้ามีอีเมลมาจากฝ่ายสมาชิกของอมรินทร์บุ๊กส์ที่ผมเป็นสมาชิกนิตยสารอยู่ เนื้อหาข้างในพูดถึงโครงการรับบริจาค ซื้อหนังสือ (จากอมรินทร์นั่นแหละ) ส่งไปให้กับห้องสมุดโรงเรียน
เรียน ท่านสมาชิก
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อณัญญา
โทร. 02- 423 9999 ต่อ 6141 , 02-4239889 ต่อ 4
E-mail : ananya-r@amarin.co.th
มีเอกสารแนบเป็นไฟล์เวิร์ดด้วย
พอดีผมไม่มีเวิร์ดเลยเปิดไม่ได้ พรีวิวจับภาพในอีเมลได้อย่างเดียว เลยเมลไปบอกเขาว่าโอเค ผมเอาด้วย เหมาหมดเลยครับ แต่ไม่สะดวกกรอกเอกสาร ต้องทำยังไงบ้าง
สักพักฝ่ายสมาชิกเขาโทรมา น้ำเสียงหลั่นล้ามาก เดาว่าคงไม่ค่อยมีคนติดต่อกลับไปแบบนี้
คุยกันกับคุณอมรินทร์ ก็เลยให้เลือกว่าจะระบุโรงเรียนไหนไหม หรือจะรับเป็นหนังสือไปบริจาคเอง หรือว่าจะให้ทางสำนักพิมพ์เป็นธุระจัดส่งให้ เราก็หยอดเงินไปอย่างเดียวก็พอ
พอดีไม่มีโรงเรียนไหนเป็นพิเศษ เลยเลือกอย่างหลังไป ปลายสายหันไปปรึกษาทีมงานสักครู่ก็บอกว่า ในอมรินทร์มีคนที่จบจากโรงเรียนนี้ / หรือคนที่เคยไปบริจาคของโรงเรียนนี้อยู่คนนึง แต่เป็นโรงเรียนที่ไม่สะดวกออกเอกสารอนุโมทนาบัตรใดๆ กลับมานะคะเพราะเขาอยู่ไกล (ผมบอกไม่เป็นไร ไม่เอา)
โรงเรียนนี้ชื่อ โรงเรียน ตชด.บ้านกามาผาโด้ ลองกูเกิลดูนะคะ… ได้ครับ
มีสตอรี่ประกอบหน่อยนึงว่า โรงเรียนนี้อยู่ไกล กันดารอย่างที่เห็นในคลิปนี้ครับ ที่เคยมีไปบริจาคของน้องๆ มาก็พบว่า แค่ขนมถุงเดียวน้องมาเห็นก็ตาลุกวาว แบ่งกันกินได้ทั้งโรงเรียนแล้ว
ก้มลงมองขนมตัวเองข้างจอคอม…
เลยฝากมาบอกข้อมูลต่อว่าถ้าจะบริจาคอะไรอย่างอื่น เช่นเสื้อผ้า ขนม ฯลฯ ก็ฝากไปได้เช่นกันครับ ยังไงติดต่อตามข้อมูลข้างบนนะครับ หรือถ้าจะซื้อหนังสือบริจาคโรงเรียนที่คุณรู้จักก็ได้ครับ
ผมอินกับสิ่งนี้มากกว่าการทำบุญที่วัดประมาณ 80 ล้านเท่า
September 24, 2015
ถ้าไม่ใช่ Note 5 ยังไงก็ไม่ใช่ Note 5 (รีวิวจากการใช้จริงรัวๆ)
คำถาม: โห ช้าจัง โน้ตห้าออกมาตั้งเป็นเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งมาเขียน?
คำตอบ: โธ่พี่ จะไปเขียนเร็วแข่งกับชาวบ้านทำไมล่ะ ขอใช้งานจริงๆ ก่อนสิครับ
ก่อนหน้านี้ผมไปร่วมแคมเปญ “ถามให้หมด Note ตอบได้” กับเว็บ Droidsans.com โดยมีกติกาคือ ในช่วง 7 วันของแคมเปญนี้ ทางทีมงานจะระดมตอบคำถามที่มีคนสงสัยเกี่ยวกับโน้ตห้า แล้วโพสต์ลงในโซเชียลต่างๆ แล้วก็เข้าไปตอบ แต่ตอบเป็นคลิปสั้นๆ นะ นอกจากทีมพิธีกรจาก Droidsans แล้ว ผมเองก็ไปติดร่างแหแจมกะเขาด้วย เลยได้ลองจับ ลองคลำ พร้อมหาคำตอบให้กับผู้สงสัยมาทั้ง 7 วัน 7 คืน
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผมพอได้รู้ตื้นลึกหนาบางของมือถือรุ่นนี้ พอได้มาใช้งานจริงๆ ทำเครื่องตกพื้นจริงๆ (ตั้งแต่วันแรกเลย บัดซบ T-T) ผมจึงได้ล้วงแคะแกะเกา ปรับนั่นจูนนี่ และใช้ประโยชน์มันทุกส่วนทุกฟีเจอร์จนหนำใจ (เรียกว่าใช้จนปรุก็ว่าได้) แล้วจึงค่อยมาเล่าให้อ่านกัน ใครที่ยังลังเลหรือรอเปรียบเทียบกับมือถืออื่นๆ ก็ลองดูนะครับ แต่บล็อกนี้มีเนื้อหายาวมาก ถ้าขี้เกียจอ่านก็แนะนำให้เลื่อนๆ กวาดๆ ดูภาพ ดูหัวข้อที่สนใจก็ได้ครับ
ทีนี้ ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอนุญาตแจ้งหมายเหตุไว้ 2 ประการ
1.
ผมเป็นติ่งมือถือตระกูล Galaxy Note ใช้มาตั้งแต่โน้ตหนึ่ง-สอง-สาม-สามกว่าๆ และสี่ …เอ้า มีแปดอยู่อีกเครื่องนึง ล่าสุดคือโน้ตห้า ดังนั้นรีวิวนี้จึงเต็มไปด้วยการแสดงออกอย่างนอกหน้า เวลาอ่านก็กรุณาอ่านด้วยอคติ ไอ้อะไรที่มันอวยเกินจริง โปรดอย่าเชื่อ แต่จงหายืมเครื่องจริงๆ จากเพื่อนฝูงญาติมิตรมาลองเอง หรือถ้าไปเดินห้างก็ลองแวะที่ร้านที่มีเครื่องตั้งโชว์ และเริ่มทำการทดสอบเอา
2.
ผมเคยได้รับการสนับสนุนจากซัมซุงในการเขียนรีวิวมาแล้ว น่าแปลกที่ซัมซุงยังไม่เข็ด คราวนี้ก็มาบิ๊วให้เขียนอีก ดังนั้นผมจึงต้องเขียนเอาใจสปอนเซอร์ อะไรดีก็อวยไส้แตก อะไรแย่ก็เลี่ยงๆ ไม่พูดถึง …ทุ้ย ไม่มีทางซะล่ะ อันนี้เป็นข้อตกลงกันมาตั้งแต่แรกแล้วครับว่ายังไงก็ตาม การเป็นบทความ Advertorial นั้นผมจะขอเขียนตามความรู้สึกจริง อะไรดีบุ๋มก็ว่าดี อะไรห่วยก็จะบอกว่าห่วย (ทั้งนี้ให้อ่านข้อ 1 ด้านบนประกอบ …สรุปแม่งอวยเหมือนเดิม)
ทีนี้เรามาเริ่มกันเลยนะครับ… ยังไงก่อนดี เอาจุดขายที่ซัมซุงเขาโปรโมตละกันนะครับ เป็นของดี 5 ประการของ Galaxy Note 5
ดีไซน์ตัวเครื่อง:
ปรับลุกใหม่หมดตามรอย Galaxy S6 ที่ได้รับคำชมเรื่องการออกแบบ โดยรุ่นก่อนหน้านี้ (โน้ตสี่) ฝาหลังเป็นพลาสติก รอบเครื่องเป็นโลหะพ่นสี ซึ่งจะว่าไปก็ดูดีกว่ารุ่นก่อนหน้าพอสมควรแล้ว แต่คราวนี้ปรับวัสดุหน้าหลังเป็นกระจก วาววับสวยเช้ง มีกรอบเครื่องเป็นโลหะ และมีส่วนโค้งตรงขอบหลัง รับกับอุ้งมือพอดี หรูหราไฮโซกว่ารุ่นก่อนมากๆ แถมยังลดขนาดคงามกว้างของเครื่องลงให้จับกระชับมือมากขึ้น
ความเห็น: สวยจริงๆ แหละ อย่างรุ่นก่อนยังพอได้ยินคำติติงเรื่องดีไซน์มาบ้าง แต่รุ่นใหม่นี้ประชาชนให้ความเห็นว่าดูดีแบบไม่ต้องพยายามบิ๊วแล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้วัสดุเป็นกระจกทั้งหน้าหลังก็คือ เครื่องมันเป็นรอยนิ้วมือง่ายมากๆ จนติดนิสัยที่ต้องใช้ไปเช็ดไป ไม่งั้นจะดูเละมาก (ซึ่งปัญหาทุกอย่างจบ เมื่อใส่เคส!)
ปากกาเมพ:
รองรับแรงกดอะไรสักอย่างที่ฟังดูเคลิ้มๆ ทำงานไวกว่าเก่า (ว่าของเก่าก็ไวแล้วนะ) แถมเปลี่ยนตูดเป็นสปริง ไม่ต้องแงะแล้ว และฟีเจอร์พิเศษที่ใส่ปากกากลับด้านแล้วดึงไม่ออก เจ๊งเลย
ความเห็น: ปากกาเมพจริง เดี๋ยวเขียนอธิบายยาวๆ ข้างล่าง ว่าแต่ใครมันจะไปบ้าเสียบกลับด้านวะ จะบ้าเหรอ เอ๊ะหรือมี
กล้องเมพหน้าหลัง:
กันสั่นเมพ เอฟกว้าง ทำให้ถ่ายแล้วภาพออกมาสว่างกว่าเดิม ยิ่งเวลาถ่ายในที่แสงน้อยก็จะยิ่งเห็นผลเลยว่ามันโอเคกว่าที่คิดไว้เยอะ, วิดีโอความละเอียดสูง ถ่ายสโลว์อะไรก็ว่าไปเถอะ
ความเห็น: ของใหม่มันก็ต้องดีขึ้นเป็นธรรมดา แต่ถ้ามองในระยะหลังๆ จะพบว่ากล้องของมือถือยี่ห้อนี้ต้งแต่รุ่นกลางๆ ขึ้นไปถึงบนในยุคคิดใหม่ทำใหม่นั้น ถือว่าดีในระดับที่ไว้ใจได้
จอเมพ:
ความละเอียดมันสูงมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อันนี้ก็สดสว่างไสวอะไรไปเรื่อย
ความเห็น: เรื่องจอภาพนี่ไม่น่ากังวลอะไรนะ มันก็ควรดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้วอะ
ชาร์จด่วนไร้สาย:
ตอนใช้โน้ตสี่ ผมจะตื่นเต้นกับสายชาร์จที่ตรงอะแดปเตอร์มีเขียนไว้ว่า Fast Charge ซึ่งทำให้ที่ชาร์จของโน้ตสี่เป็นที่ชาร์จที่ใช้เวลาชาร์จไวมาก พอมาโน้ตห้า ก็เลยทราบว่ามันรองรับการ์ตชาร์จด่วนๆ แบบไร้สายกับที่ชาร์จตัวใหม่ด้วย (ต้องซื้อเพิ่มนะ)
ความเห็น: อันนี้ผมลองเล่นแล้ว สนุกดี เวลาวางบนแท่นชาร์จจะมีเอฟเฟกต์ขึ้นบนหน้าจอ ชว้างงงงง สนุกครับ ใครยังไม่มีเป็นของตัวเองแนะนำให้ลองเล่นของเพื่อนดู
ฯลฯ
ตอนนั่งดูในงานเปิดตัวมือถือรุ่นนี้ จำได้ว่าทางซัมซุงพูดขายฟีเจอร์ใหม่ๆ น้อยมาก ถึงขนาดชาวประชาที่นั่งส่องอยู่ในไทม์ไลน์ (a.k.a รอแซะ) ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำไมมันจบห้วนจังวะ” คือรู้แหละว่าสไตล์ของมือถือรุ่นท็อปของยี่ห้อนี้มักมีฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เยอะ เยอะเกินกว่าที่จะเอามาพรีเซนต์บนเวทีเปิดตัวทั้งหมด (คุ้นๆ ว่าเคยทำมาแล้วในสักรุ่นนี่แหละ ผลคือมันเยอะเกิน ผู้บริโภคจำไม่หมดซะงั้น) ดังนั้นหลังๆ มานี้เขาถึงเลือกพูดถึงแค่บางฟีเจอร์เป้งๆ เท่านั้น แล้วค่อยมาเลือกยิงโฆษณาโบ้มๆ พรีเซนต์ไปเป็นจุดๆ ในภายหลัง อย่างเช่นเรื่องโฆษณาการชาร์จไร้สายด่วนไฟแลบที่เพิ่งกัดคู่แข่งไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง #ดราม่านะครับ
ด้วยสเป็กภายในที่ใช้ชิปประมวลผล… อะไรสักอย่าง น้ำหนักเครื่อง-ความกว้าง-ความยาว ชื่อประธานบริษัท ชื่อเมียประธานบริษัท สถานการณ์ที่คาบสมุทรเกาหลี ราคาน้ำมันในตลาดโลก ฯลฯ … ไม่เฉพาะของซัมซุงหรอก เอาเป็นว่ามือถือฝั่งแอนดรอยด์ส่วนใหญ่เวลาออกรุ่นใหม่มาปั๊บ สิ่งที่จะถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคืออีพวกสเป็กเครื่อง แรมแกเยอะไหม ซีพียูใช้ของอะไร กี่คอร์ เอาไปรันทดสอบในอะไรตู้ๆ นะได้ค่าพลังเท่าไหร่ ฉันค่าพลังมากกว่าแก ฉันชนะ อะไรแบบนี้ แต่ไม่ค่อยมีคนถามเรื่องประสบการณ์การใช้งานเลยว่าเวิร์กไหม บัดซบ!
เอาเป็นว่าผมไม่รู้ไม่สน ใครอยากรู้สรรพคุณข้างกล่องแบบที่ว่ามาข้างต้น ก็เชิญไปกูเกิลเอาเองตามสะดวก เพราะที่ผมสนใจและซีเรียสจริงๆ คือเรื่อง “ประสบการณ์การใช้งานจริง” ครับ …เอาใหม่ ตัวโตๆ เลยนะ
ประสบการณ์การใช้งานจริง
เปล่าๆ ไม่ได้จะว่าการทำแบบนั้นมันผิดนะครับ (มึงเพิ่งว่าไปหยกๆ) แค่จะบอกว่าผมสนใจวิธีสื่อสารของค่ายผลไม้ ที่แทบไม่พูดเรื่องสเป็กเลย (แน่ล่ะ ก็ด้อยกว่าเขาทั้งนั้น #แซะ) แต่จะเน้นพูดว่า เอาไอ้ที่เขาขายมาใช้แล้วชีวิตจะดีขึ้นยังไง เวลาใช้แล้วชีวิตจะไฮโซโก้หรูขึ้นอย่างไร ไอ้ “ประสบการณ์การใช้งาน” นี่แหละที่คู่แข่งรายนี้ทำได้เหนือกว่ามือถือแอนดรอยด์ทุกยี่ห้อมาตลอด …ใช่มะ ดีก็ต้องบอกว่าดี
ซึ่งว่ากันตามตรง เจาะจงมาที่ Galaxy Note เลยละกัน พูดได้เต็มปากว่า ในโน้ตรุ่นก่อนๆ นั้น ประสบการณ์การใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ที่ยัดทะนานลงมาในเครื่องนั้น มันเยอะจนงง คือไอ้นั่นก็ทำได้ ไอ้นี่ก็ทำได้ …แต่มันอยู่ไหนวะ มันเรียดขึ้นมาใช้ยังไงวะ ทำไมมันล้นไปหมด
แต่พอมาใช้โน้ตห้านี่ (นี่คือเริ่มอวย) เฮ้ย มันไม่ใช่แค่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เท่านั้น แต่มันยังพัฒนาโดยใส่ใจเรื่อง UX (User Experence) หรือประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ให้เนียนขึ้น ความงงหายไป ความง่ายเข้ามาแทน ซึ่งไอ้อะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่พอรวมกันหลายๆ อย่างแล้วมันจะสร้างความทรงจำที่ดีให้กับผู้ใช้ได้ ที่ภาษานักเลงเขาเรียก “เข้ามือ” นี่แหละครับ
ในฐานะคนที่ชอบขีดๆ เขียนๆ จดๆ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของมือถือรุ่นนี้อยู่แล้ว ความคาดหวังก็คือ มือถือรุ่นใหม่ (ที่ค่าตัวไม่ใช่ถูกๆ) รุ่นนี้ จะต้องดีกว่าเครื่องรุ่นเดิม (Note4) อย่างสัมผัสได้ และตอบโจทย์วิถีชีวิตแบบเราได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าโฆษณาว่ามันทำนู่นได้นี่ได้ แต่ใช้จริงแล้วไม่ประทับใจ อันนี้บุ๋มก็ไม่โอ
เรามาเจาะกันทีละฟีเจอร์เลย เริ่มตั้งแต่…
ดีไซน์ของตัวเครื่อง
ปัจจัยในการซื้อมือถือของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป บางคนซื้อโทรศัพท์เพราะมันสวย มันอวดได้… เฮ้ย ก็เป็นเหตุผลที่โอเคนะครับ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร (ผมก็ซื้อกล้องด้วยเหตุผลนี้เหมือนกัน) พอโน้ตห้าเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องด้วยการใช้วัสดุเป็นกระจกทั้งหน้าหลัง / ปรับขอบโค้งให้อยู่ด้านหลัง เพื่อให้จับถือได้พอดี / ลดขนาดความกว้างของเครื่องให้เล็กลง ถือง่ายขึ้นอีก / ย้ายปุ่มปิดเปิดเครื่องลงมาให้กดง่าย / ย้ายพอร์ตและรูต่างๆ รวมถึงลำโพงมาไว้ข้างล่างเลย
สิ่งเหล่านี้คือการปรับนู่นนิดนี่หน่อยแต่โดยรวมคือความเนียนขึ้นมากๆ อย่างที่บอกแหละครับ ดูเป็นมือถือที่ออกแบบเสร็จแล้วเสียที แม้จะมีบางจุดที่ยังเห็นแล้วแบบ “เอ๊ะ มันน่าจะเกลาอีกนี้ดดดนึงนะ” ไรงี้ก็ถือว่ายังโอเคมากๆ
ส่วนข้อเสียของงานดีไซน์แบบใหม่ นอกจากเรื่องรอยนิ้วมือมันแผล็บรอบเครื่องแล้วก็มีอยู่อีกนิดหน่อยนะครับ เช่น พอมันออกแบบมาให้ดูแพงปั๊บ ความรู้สึกว่าเป็นมือถือลุยๆ ที่น่าจะหยิบมาใช้งานที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนรุ่นก่อนนั้นมันจะชะงักลงมาหน่อย คือเปลี่ยนเป็นว่าซื้อมาแล้วจะต้องถนอมมันนะ เพราะมันดูแพงนะ เอ๊ะ หรือนี่จะไม่นับเป็นข้อเสียวะ คือผมนับนะครับ 5555
อะถ้าว่ากันจริงๆ เรื่องการออกแบบช่องเสียบปากกาที่เสียบกลับหัวปุ๊บแล้วเจ๊งปั๊บนั้น นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยแหละ เพราะโอกาสที่จะทำพังก็มีอยู่ (แม้ผมเองใช้โน้ตมาทุกรุ่น แต่ก็ไม่เคยเสียบกลับหัวเลยสักครั้ง เพิ่งมาพลาดอีตรงความอยากรู้ตามๆ กันนี่แหละ โดนล้อไปอีกสามสิบปี) ดังนั้นใครใช้ก็ระวังบุตรหลานจะมาเล่นเอาเองนะ อย่างของผมนี่ลูกสาวสามขวบ ชอบขอเอาไปวาดรูปมากๆ ทีนี้เลยต้องคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดกว่าที่เคย ว่าแต่ ใครมันจะไปโง่เสียบกลับด้าน (ก็แกนั่นแหละ!) (เล่นไปหลายรอบแล้ว!)
กล้อง
จากคำโฆษณาที่ว่า เปิดกล้องเร็ว (กด Home สองครั้งติดกัน) อันนี้ดีจริง มีประโยชน์จริงจังในระดับที่ช่วยชีวิตได้มาก มันเร็วจริง มันแทบไม่ต้องรอ ยกความดีความชอบให้เลยจริงๆ แม้จะกินแรมไปหน่อยก็ตาม (กดปิดได้)
ส่วนการถ่ายภาพและวิดีโอความละเอียดสูงนั่นนี่ เอาจริง พ.ศ.นี้ก็ยังนึกสถานการณ์ที่จำเป็นจะต้องถ่ายวิดีโอให้เมพขนาดนั้นไม่ได้ใช้แฮะ นึกภาพตอนถ่ายแล้วรออัปขึ้นยูทูบก็เงกแล้ว อะไรงี้ เหมือนเป็นฟีเจอร์ที่แบบ กูมีแล้วเว้ย คู่แข่งตามมายังงง (วางขายได้แป๊บเดียว คู่แข่งแม่งตามมาจริงเฉยเลย 5555)
ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อย และระบบกันสั่นนั้น ผมลองแล้วโอเคเลยครับ ใช้ได้จริงอยู่ แต่การถ่าย RAW ที่เป็นฟีเจอร์ที่มากับตัวแอนดรอยด์รุ่นนี้เลยนั้น ยังพบว่าเอามาใช้งานต่อยุ่งยาก คือเปิด Gallery หาที่ก๊อปไม่เจอ และพอเจอปั๊บก็พบว่าคุณภาพไฟล์ RAW ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ถ้าใครอยากได้ฟีเจอร์โปรมากๆ แนะนำให้กลับไปกล้อง DSLR เหมือนเดิมครับ
ปากกา
ก็รู้กันเนอะว่ามือถือมีปากกาของค่ายนี้เขาค่อยๆ พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันก็เป็นเวอร์ชัน 5 แล้ว หลังจากใช้มาสักพักก็พบว่า แม่งดีขึ้นจริงๆ ครับ ทั้งเรื่องการออกแบบที่ใส่ปากกาแบบใหม่ให้จิ้มปุ่มแล้วเด้งออกมา พอเด้งปั๊บ บนหน้าจอก็มีไอคอนแอปที่เกี่ยวกับการใช้ปากกา เรียงกันเป็นรูปพัด (เพิ่มแอปเองได้) สิ่งเหล่านี้เวิร์กหมดเลย ใช้ได้จริงและใช้ได้บ่อย จนทำให้ช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นผมควักมือถือมาเพื่อวาดรูป หรือเขียนๆ ขีดๆ บ่อยกว่าเดิมมาก นั่นแสดงว่ามันมีผลต่อการดำเนินชีวิตได้จริงๆ แต่ฟีเจอร์ที่มีการโอ้อวดกันตอนเปิดตัว ก็คือการจับภาพหน้าจอยาวๆ อันนี้ผมเฉยๆ ครับ คือดูแล้วอืม มีก็ดีนะ แต่ยังไม่รู้จะใช้เมื่อไหร่ตอนไหน (ตอนแคปหน้าจอเวลามีดราม่างี้เหรอ) พอคู่แข่งเปิดตัวดินสอ (Pencil) ออกมาปั๊บ ทีนี้สนุกเลย ในฐานะผู้บริโภค เราต้องยุ #ให้มันสู้กัน ครับ รอให้มันพัฒนาแข่งกัน สนุกดี
แบตเตอรี่
ตอนทำคลิปข้างบนนู้น คำถามที่เจอเยอะมากก็คือ “ตัวเลขปริมาณแบตน้อยลงกว่ารุ่นเก่า (จึ๋งนึง แต่คนซีเรียสก็ซีเรียสจริงๆ) แถมยังถอดฝาหลังเปลี่ยนแบตไม่ได้อีก แกคิดอะไรอยู่!” ก็มีชุดคำตอบว่า ด้วยการปรับปรุงยกกระชับสัดส่วนภายใน ทั้งจากตัวรอมและจากตัวระบบปฏิบัติการรุ่นนี้มีการบริหารพลังงานได้ดีกว่าเดิม …ดูเหมือนข้ออ้างใช่ไหมครับ คือพอซัมซุงพูดจะดูแบบ อ้าวอะไรของมึง แต่ไม่กี่วันถัดมา ค่ายคู่แข่งก็ออกมาตัวเลขน้อยลงเหมือนกัน และพูดแบบเดียวกันเด๊ะ แต่ทุกคนเชื่อทันที 555555555555
เอาเป็นว่าช่างมันเถอะครับ อย่างน้อยพอได้ใช้จริงๆ แล้วก็พบว่า มันอึดกว่าเดิมจริงด้วยแฮะ คือใช้ได้ข้ามวันโดยไม่ต้องชาร์จ (ผมไม่เล่นเกม) หรือไม่ได้ชาร์จไว้ก่อนนอน ตื่นมาก็ยังออกนอกบ้าน ใช้ชีวิตปกติได้จนกลับมาถึงบ้านแล้วแบตยังเหลือ ก็คงจริงอย่างที่เขาว่า
แถมตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า เขายังมีโหมดโคตรประหยัดพลังงาน (Ultra Power Savng) ที่ใช้งานได้จริงและดีมากๆ ใครมีรุ่นไหนที่มีโหมดนี้ อยากให้ลองครับ ชีวิตดีจริง
ความเร็ว
โอเค ก็เป็นเพราะเครื่องมันใหม่ ก็ต้องเร็วเป็นธรรมดา อันนี้ไม่ได้คาดหวังอะไร (แต่มันก็เร็วจริง) ส่วนที่เกินความคาดหวังก็คือเวลาเรากดปุ่ม Recent Apps แล้วรายการแอปต่างๆ มันเด้งขึ้นมา “ทันที” ในขณะที่โน้ตสี่แม่งต้องรอสักอึดใจนึง นี่เป็นเรื่องหยุมหยิมที่ทำให้พอรวมกันหลายๆ อย่างเข้าแล้วกลายเป็นประสบการณ์การใช้ที่ยอดเยี่ยมได้ ขอชม (และขอด่าไปยังรุ่นก่อนๆ ว่าทำไมมึงหน่วงจัง)
พื้นที่เก็บข้อมูล
อันนี้ตัวใครตัวมันครับ เพราะแต่ละคนมีพฤติกรรมการใช้ต่างกัน อย่างของผมนี่ ตอนนี้ลงแอปเอย ข้อมูล เพลง ภาพ คลิป เรียบร้อยเต็มที่ ยังมีพื้นที่เก็บข้อมูลเหลืออยู่ประมาณ 14GB ซึ่งน่าพอใจ แต่การใส่ SD Card ไม่ได้นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอยู่เหมือนกันครับ ใครที่ซีเรียสเรื่องนี้ก็คงต้องหาที่พึ่งอย่างอื่นเอาเลยครับ
ซอฟต์แวร์
ก่อนหน้านี้เคยบ่นเรื่องอินเทอร์เฟซและไอคอนที่ดูเชยและแก่งั่กๆ ของซัมซุง ว่าออกมือถือใหม่ขนาดไหนก็ยังไม่ยอมแต่งหน้าทาปากให้ดูสวยๆ หน่อยซะที
แต่พอมายุคนี้มีการการออกแบบหน้าตา อินเทอร์เฟซต่างๆ ใหม่เลย แล้วก็ทำออกมาได้ทันสมัยมากกว่าเดิมเยอะ นี่ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี
ส่วนแอป bloatware รกๆ ไม่ได้หายไปไหน แต่แค่ย้ายมาเป็นก้อนชุดสำนักงานจากไมโครซอฟท์แทน เมนูลัดบนหน้าจอเวลาดึงปากกาออกมานี่สุดยอด (อ้าวพูดไปแล้ว)
สุดยอดที่สุดคือการชักปากกาแล้วเขียนจอได้เลยโดยไม่ต้องเปิดเครื่อง (Screen Off Memo) อันนี้อยากตะโกนเลยว่าเจ๋งจริง โคตรสะดวก คือเปลี่ยนพฤติกรรมการเขียนด้วยมือของผมไปเลย ก่อนหน้านี้สมมตินึกอะไรได้ มันยังเขียนทันทีไม่ได้ ต้องเสียเวลาเข้านั่นนิดนี่หน่อย …แต่ตอนนี้ ชักมา จิ้มเขียนได้เลย มันเมพพพพ
เก็บตกอีกนิดหน่อย
การถ่ายคลิปสตรีมสด – อันนี้ขอข้ามเลยครับ ไม่ได้ลองเลย ดูเป็นความสามารถใหม่ที่ไกลตัว
รูลำโพง – ย้ายจากหลังเครื่องมาไว้ตรงขอบเครื่องด้านล่างแล้ว เย้ ทีนี้วางหงายเครื่องไว้บนพื้นแล้วไม่เสียงอู้อี้ละจ้ะ
ปุ่มลัด – กด Home สองทีแล้วมันจะเข้าโหมดกล้อง อันนี้ไวดี เอ๊ะพูดถึงไปยัง ยาวจัด
สรุปแล้ว เรื่องความสามารถใหม่ๆ ของเครื่องรุ่นใหม่นี้บอกเลยว่าประทับใจในภาพรวม แบบที่ “ต้องใช้เองแล้วจะรู้สึก” มากกว่าเจอแล้วร้องว้าว เหยดเจ๋งเด้งออกมาจากจอ ซึ่งจะว่าไป #ความรักก็เช่นกัน นะครับ
ใครที่ยังลังเลอยู่ว่าจะซื้อดีไหม คุ้มไหม หวังว่าจะช่วยให้พอตัดสินใจได้นะครับ ถ้าคุณชอบวาดรูปแม้เพียงเล็กน้อย และงบถึง ก็แนะนำเลยครับ :D
ป.ล.
ด้วยความโรคจิตส่วนตัวที่ชอบสังเกตโลโก้ของนั่นนี่ พบว่าโลโก้ของโน้ตห้านั้นดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก (ไม่สิ ต้องบอกว่ารุ่นก่อนๆ โลโก้มันสะเปะสะปะมาก องค์กรใดๆ ที่ดีไซเนอร์มีเสียงดังไม่พอก็จะเป็นงี้)
ป.อ.
ที่ประหลาดก็คือ ชื่อของโน้ตห้านี้ไม่ได้เขียนว่า Note 5 แต่เป็น Note5 (เขียนติดกัน) ผมไม่รู้เหตุผลนะครับ นอกจากจะมองว่าเวลาเอาคำไปค้นมันจะเจอผลการค้นหาง่ายกว่าแบบเขียนแยก แต่ก็ยังชอบแบบแยกมากกว่าอยู่ดี (ขนาดไตเติลเว็บ Official ยังเผลอเขียนว่า “Galaxy Note 5” อยู่เลย)
จบข่าว!
September 20, 2015
ถ้าไม่ใช่ iPhone ยังไงก็ไม่ใช่ iPhone
บล็อกไว้หน่อย กลัวสูญหายไปตามกาลเวลา
เห็นแล้วขึ้น นอนไม่หลับเลยครับ ทำไมถึงคิดแบบนี้หละ ถถถปล.เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับ เจ้าของทวิตเตอร์ คนนี้ เค้าโพสท์อ้างอิงมาอีกทีนะครับ
Posted by SpecPhone on Sunday, September 20, 2015
ผมชอบมหกรรมกีฬาสีแบบนี้ครับ สนุกดี
เมื่อกี้ส่งข้อความไปหาแอดมินเพจนี้แล้วว่าไม่ต้องลบนะครับ ผมโอเค คือทีแรกก่อนแอดมินเพจนี้จะกดแก้ไขข้อความตามที่มี 1 (ในหลายร้อย) คอมเมนต์ทักมาว่านี่เขาแคปมาอีกทีนะ ไม่ได้พูดเอง แอดมินก็เข้าใจว่าผมเป็นคนเขียนจริงๆ 55555 (ที่บอกไม่ให้ลบเพราะกลัวว่าแอดมินจะเขินแล้วลบโพสต์ปลิวอะไรแบบนี้ เลยบอกเขาไว้ก่อนว่าผมโอเค)
ดังนั้นก็จะมีคนด่าทวีตนี้แบบ มึงไม่ต้องอยู่ประเทศไทยแล้ว เดี๋ยวรอดูนะ ได้มีทวีตกราบขอโทษ เปิดการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์อะไรแบบนี้ เอาๆ เอาเลย เอาที่พี่สบายใจ
และนอกจากนี้ก็ยังมีอีกสารพัดเพจและกรุ๊ปมือถือทั่วไทย ที่เซฟภาพนี้ไปปล่อยต่อและร่วมสังฆกรรมกันอย่างสนุกสนาน
อันนี้ทวีตต้นตอ
ถ้าไม่ใช่ iPhone ยังไงก็ไม่ใช่ iPhone pic.twitter.com/D7D6FzFufJ
— 囧 (@iannnnn) September 17, 2015
อันนี้ทวีตก่อนหน้า (ที่จริงคือทวีตต่อกัน แต่ไม่ได้กด reply ข้อความต่อเนื่องมันก็เลยไม่โยงกัน แล้วอีอันหลังมันล่อเป้ามากกว่า ก็เลยนลามไปที่อื่นง่ายกว่า)
รวมฟีเจอร์ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus (v.จบข่าว) http://t.co/SRjGm0EOUd 555555 เลวมาก (ชม) แซะจนไอโฟนกลายเป็นมือถือกากแพงเกินจริงไปเยอะเลย
— 囧 (@iannnnn) September 17, 2015
ทีนี้ความเหี้ยก็คือ ข้อความต้นทางแม่งโดน Droidsans ลบไปแล้ว 55555555555555 อ้าว ทีนี้ก็กลายเป็นคำพูดจากกูโดยสมบูรณ์แล้วสินะ 555555555 เชี่ยยยยยย
September 13, 2015
กระต่ายตัวขาว
จะว่าไป ปีนี้ผมยังไม่ได้ซื้อซีดีเพลงเลยครับ (สาเหตุ)
เออๆ นึกได้ว่าซื้อมาแผ่นนึงแล้วก็คือเพลงสัตว์โลกน่ารัก (จำชื่อเป๊ะๆ ไม่ได้) ข้างในมีอยู่ 21 เพลง ซื้อมาให้คุณลูกสาวนี่แหละฟังเวลาอยู่ในรถ จะได้ไม่ต้องคอยจ้องการ์ตูน
ซึ่งได้ผลมากๆ ครับ กระต่ายกับเต่า หมาป่าเขี้ยวยาว อู๊ดๆ ฯลฯ ไม่ใช่แค่ลูกเท่านั้นที่ร้องวนทั้งวัน พ่อแม่แม่งก็ร้องตามไปด้วย เป็นแบบนี้มาพักใหญ่
จนผ่านไปหลายเดือน พอหมดช่วงเห่อ ทีนี้นิทานก็ไม่ได้เปิดเพลงอัลบั้มนั้นแล้วตั้งใจร้องตามทุกพยางค์เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทีนี้ก็ต้องไปเที่ยวหาเพลงเด็กอนุบาลประมาณนี้อีก ซึ่งก็หายากหาเย็นครับ จนวันก่อนที่ลูกสองคนไม่สบาย ไปนอนโรงพยาบาล แล้วเจ๊ประกันซื้อตุ๊กตาแมวทอมที่กดตรงหูแล้วมันจะร้องเพลงได้ (โคตรล้ำ) แล้วเพลงมันเจ๋งมากครับ กระต่ายตัวขาวตาวาวกระดุ๊กกระดิ๊ก แรงซิแปรงแปรงฟัน ฯลฯ
พออ่านข้างกล่องก็มีบอกว่าลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดเป็นของบริษัท บ้านดรุณ จำกัด ก็เลยไปปรึกษากูเกิลจนเจอเว็บเขามีขายซีดีอะไรแบบนี้เต็มไปหมด แต่หาเพลงกระต่ายไม่เจอ เพราะเขาขายแยกหลายอัลบั้มมมากๆ แล้วก็มีแบบเพลงรักชาติ เพลงรักวัฒนธรรม เพลงอะไรที่เป็นแนวสะกดจิตเด็ก 555555 พอดีอยากได้แค่เพลงแนวเปิดสนุกๆ สัตว์กระโดดน่ารักอะไรแบบนี้ก็พอ
เลยส่งข้อความไปหาที่บริษัท ว่าขอซื้อไฟล์เพลงนี้เพียวๆ ได้ไหม ไม่รู้เขาจะขายไหม ขายเถอะ 55555
September 2, 2015
ฟรีแลนซ์: ห้ามอะไรดีวะ เขาเล่นกันไปหมดแล้ว
อย่าว่าแต่การรีวิวเลย นี่ผมนึกได้ว่าผมแทบไม่เคยเขียนบล็อกเกี่ยวกับหนัง
แต่กับเรื่องนี้ ไปดูมาเมื่อวานซืน จนตอนนี้มันยังวนอยู่ในหัว สลัดไม่หลุด สมควรต้องระบายออกด้วยการเขียนถึงใช่ไหม
(มีคติอยู่อย่างนึงว่า พอดูหนังจบ เดินออกจากโรงแล้ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าหนังมันยังวนเวียนในหัว อันนั้นคือหนังที่มีคุณค่าทางโภชนาการ)
ผมไม่ชอบหนัง GTH ยุคหลังๆ เลย โอเครู้ว่ามันเป็นที่ตัวเองด้วยแหละที่พ้นจากกลุ่มเป้าหมายของคนทำหนังออกมาไกล ทั้งวัย ทั้งหน้าที่การงาน และทั้งรสนิยม
คือดูหน้าหนังแต่ละเรื่องแล้วก็เฉยๆ แบบ ถ้าว่างค่อยไปดูโรงก็ได้ แต่ถ้าไม่ว่างก็ค่อยไว้ดูที่บ้าน และความรู้สึกหลังดูก็คือ เฉยๆ ซะเป็นส่วนใหญ่
รู้สึกว่าเรื่องสุดท้ายที่ดูแล้วชื่นชมก็คือลัดดาแลนด์…
สำหรับหนังเรื่องล่าสุดที่มนุษย์ออนไลน์รอบตัวทุกคนคงเคยเล่นเครื่องผลิตโลโก้ออนไลน์สนุกๆ มาแล้ว (มารู้ทีหลังว่ามีสองเวอร์ชัน เวอร์ชันออริจินัลนั้นกลับเป็นการทำเอาสนุก และโด่งดังเป็นอันมากโดยไม่ต้องมีเจตนาเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมนับถือคนแบบนี้)
เป็นครั้งที่ค่ายหนังตั้งใจขายหน้าตาของผู้กำกับพอๆ กับนักแสดงนำ จนตอนนี้คนเริ่มรู้กันแล้วว่า เต๋อนวพลมันเป็นคนละคนกับอีกเต๋อโว้ย
นั่นจึงแปลว่า เหล่าแฟนคลับเต๋อ (และซันนี่) จงมาดู ส่วนคนอื่น ถ้าสนใจเนื้อเรื่องในหนังตัวอย่าง จงมาดู เห็นไหมว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นชัดและแข็ง ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อเสียคือมันไม่กว้าง คือถ้าหนังแม่งโคตรดี สมควรดู แต่รายได้ก็คงไม่เยอะเท่าหนังผีตลกที่ค่ายเคยทำ ซึ่งตรงนี้ค่ายเองก็รู้ และตัดสินใจว่าเอาแบบนี้แหละ ขอให้มีหนังแบบนี้บ้าง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผมนับถือ
อ้อ ลืมบอกไปว่าผมมาดูเพราะใหม่ดาวิกา อันนี้เรียกว่ารักเลยเถอะ (เมียอย่าอ่านบรรทัดนี้นะ)
ยังไม่ได้พูดเรื่องหนังเลยว่ะ ขี้จะเสร็จแล้วเนี่ย
รีวิวสั้นๆ คือ “ไอ้ห่า โคตรจี้ใจดำ ขอดูซ้ำและเชียร์” ส่วนรีวิวยาวๆ ก็จะกล่าวถึงต่อไปนี้
เอาตั้งแต่ชื่อเรื่อง: ผมไม่ชอบนะ แต่มาชอบเอาตอนที่ทุกคนต่างเล่นคำพลิกแพลงกันออนไลน์นี่แหละ อีตาลุงคนคิดชื่อแกคิดถึงเรื่องนี้ด้วยแล้วแน่ๆ ถ้าใช่ก็เซียนมาก ถ้าไม่ใช่ก็ลุงโชคดีมาก
หน้าหนัง: ก็อย่างที่บอก มันแคบกว่าเรื่องอื่น อันนั้นช่างมัน พูดไปแล้ว แต่ที่เจ็บใจคือถ่ายนางเอกมาไม่สวย รอยยิ้มเหมือนแม่นาคเลย โกรธ
เนื้อหนัง: (ไม่สปอยล์) ไม่ได้ดูการแสดงของซันนี่แล้วชอบมานานมากแล้ว เรื่องนี้นับถือผู้กำกับที่ดึงเสน่ห์ของซันนี่ออกมาได้เต็มร้อยมาก แล้วแม่งก็มีเสน่ห์จริงๆ ถือว่าใช้คนถูกทางมากๆ ผิดกับเรื่องก่อนหน้า (อ๊ะ เราจะไม่ด่าพาดพิง)
ส่วนใหม่ดาวิกานี่โคตรเซอร์ไพรส์ ผมคิดว่าใหม่เป็นนางฟ้าหรือนางในวรรณคดีมาตลอด คือหนังแต่ละเรื่องนี่ถ้าไม่พูดช้าก็ต้องพูดเป็นภาษาเขียน มันไกลความเป็นมนุษย์จนนึกว่าหญิงสาวคนนี้พูดแบบนั้นในชีวิตจริง ซึ่งในเรื่องนี้ แม่ง (นั่นไง มีคำว่าแม่ง) แม่งเป็นมนุษย์มากๆ มันจริงมาก
ไม่ต้องไปพูดถึงฉาก หรืองานภาพในหนังที่ตั้งใจเซ็ตให้เหมือนถ่ายส่งๆ ไม่ตั้งใจ (ตั้งใจให้เหมือนไม่ตั้งใจว่าตั้งใจไง งงไหม) ข้อนี้เหล่าคนดูหนังของเต๋อคงชินแล้ว แต่ผมแทบไม่เคยดูเลย 55555 แต่รู้แหละว่านี่คือความตั้งใจ ซึ่งมันดีมาก ชอบทุกฉากที่ดูรกตา ขอคารวะ
เนื้อเรื่อง: ผมตกใจที่สุดคือการเห็นตัวเองไปโผล่ในหนัง (ช่วงแรก) ได้เป๊ะขนาดนี้ ตอนฉากแบกคอมไปทำงาน หรือฉากหลับคาโฟโต้ช็อปที่แต่งภาพเบี้ยวๆ นี่ร้องเย็ดเข้ออกมาเลย นั่นมันกู! มึงเอาทวีตกูไปทำหนังใช่ไหมอีเต๋อ บอกมา
การออกแบบสถานการณ์นั่นนี่ในหนัง แม่งใช่เลยครับ มันก็คือการเอาตัวเอง (ผู้กำกับ) มาเล่าเรื่องเสียดสีจิกกัดประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องจริงกว่าการมโนเรื่องที่ไม่ถนัดอยู่แล้ว ดังนั้นมันเลยเป๊ะไปทุกช็อตแบบแทบไม่มีไขมันส่วนเกิน
พอเข้าสู่ช่วงที่เจอหมอ และสู่ช่วง “Whiplash” ร้อยเรียงไปจนจบเรื่อง อันนั้นไกลตัวออกไปละ แต่ก็เป็นการมโนที่กลมกล่อม
และตั้งคำถามมากมายให้คนดูอย่างผม ซึ่งเป็นกลุ่มที่สัมผัสประสบการณ์ร่วมเต็มๆ ได้คิดวนเวียน วนเวียนอยู่ในหัว
คิดถึงเหตุการณ์ในปีนี้ ที่เห็นเลยว่าตัวเองสุขภาพแย่จากการทำงาน (ของผมไม่ใช่ตุ่มขึ้น แต่เป็นตาบวมสลับซ้ายขวามาตลอด หาหมอเป็นสิบรอบแล้ว นี่ตอนเขียนบล็อกนี้กำลังบวมข้างขวา)
คิดถึงการไปตรวจสุขภาพครั้งแรกในชีวิต กับเพื่อนหมอที่ผมเคยแอบชอบสมัยเป็นสาวแว่นอยู่ ม.ต้น แต่ตอนนี้มีผัวแล้วและกำลังจะมีลูก (รู้ว่าท้องในวันที่ผมไปตรวจกับมันพอดี เฮ้ยอะไรวะ) ประเด็นสำคัญคือตอนนี้สนิทกับเมียผมจนเมียบังคับให้ไปตรวจกับมันนั่นแหละ ไงล่ะ… ชะตาชีวิตก็แบบนี้
ที่แน่ๆ คือสารพัดคำเตือนจากหมอ มันช่างเหมือนกับในหนัง และพฤติกรรมเหลวแหลกที่พระเอกทำเพราะห้ามทิฐิตัวเองไม่ได้ นั่นก็คือสิ่งที่ผมโดนตีเข้าจังๆ
ดูจนจบแล้วก็ยิ้ม ว่าเออ ทำมาดี เป็นหนังเพื่อมนุษย์อย่างเรา แต่ก็ยังเป็นมิตรกับคนที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเรา เลยใครถามว่าดีไหม ก็จะเชียร์ในนามของเรา
ขอบคุณที่ทำหนังดีๆ ครับ (โค้ง)
อาชีพฟรีแลนซ์มันไม่ได้อิสระเสรีอย่างที่คนข้างนอกมองกันนะครับ แต่ทำไมก็ไม่รู้ วิถีชีวิตแบบนี้แหละที่มันใช่จริงๆ นี่ถ้าไม่มีลูกเมียและร่างกายเริ่มเตือนว่ามึงควรถนอมสังขารดูบ้าง
ผมก็คงเป็นพวกห้ามป่วยห้ามพักเหมือนกัน
แต่รักหมอนี่คงไม่ไหว เมียกูเอาตาย
.
ป.ล.
เพิ่งผ่านตามาว่ามีคนรีวิวด่าเรื่องนี้เยอะ ผมยังไม่ได้อ่าน (กลัวความรู้สึกคนอื่นมาเปื้อนไปด้วย) เขียนเสร็จแล้วค่อยไปหาอ่าน
ป.อ.
ไม่ได้ดูทีวี และไม่ได้ติดตามช่องทางการโปรโมตของ GTH เลยแม้ในสื่อออนไลน์ใดๆ นึกได้ว่าค่ายนี้ขยันทำสกู๊ปเกร็ดนั่นเกร็ดนี่นี่นา เดี๋ยวไปหาดูดีกว่า (เลือกเฉพาะที่มีน้องใหม่)
ป.ฮ.
สารพัดหมอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ-หัวหิน ตึงมากครับ
August 28, 2015
#30DaysdrawingTH (Part 1/3)
จากทวีตของหมูมะนาว
อยากฝึกวาดรูปทุกวัน แต่ไม่รู้จะวาดอะไร เพื่อนบอกให้ดู 30 days challenge มีใครจะร่วมเล่นด้วยมั้ยครับ เราเริ่มจันทร์นี้ pic.twitter.com/Q3JLUsRUyu
— หมูมะนาว (@moomanoww) August 8, 2015
มีแปลเป็นไทยด้วย
#30DaysDrawingTH ชวนคนไทยวาด 30 รูป 30 วัน ตามโจทย์ ไม่จำกัดเทคนิค อุปกรณ์ ฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์ pic.twitter.com/Aaitc3unBV
— วาดเล่น Thailand (@DailyDoodleTH) August 10, 2015
ตามที่ช่วงนี้มีนโยบายว่าอยากทำอะไรสักอย่างให้แต่ละวันมีความหมาย พอมีสิ่งนี้ขึ้นมา ผมเลยเอาด้วย
#30daysDrawingTH วันแรกวาดตัวเอง:
ทีแรกจะวาดสีน้ำ แต่พิจารณาดูแล้วพบว่าจะออกมาน่าอายมาก วาดในมือถือดีกว่า… จะได้บรรจง pic.twitter.com/Le6I8tlTAm
— 囧 (@iannnnn) August 17, 2015
นอกจากจะเล่นตามกระแสแล้ว ความตั้งใจอย่างหนึ่งของการวาดภาพชุดนี้ก็คือ อยากใช้สี RGB ในการวาดดูบ้าง เพราะงานการทุกวันนี้ (เปิดร้านสกรีนเสื้อ) ผมจับแต่งาน CMYK เลยคิดถึงสีที่ไม่มีใน CMYK จึงหยิบปากกาดิจิทัล และตวัดแต่ละภาพในมือถือโดยตั้งใจว่าจะให้แต่ละภาพนั้นใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาอ่านการ์ตูน
#30DaysDrawingTH 02: สัตว์ที่ชอบ:
ชอบสลอธล่ะ เรียกว่านับถือเลยดีกว่า ชาติหน้าจะเกิดเป็นมัน ไม่สิ ชาตินี้เลยได้ไหม pic.twitter.com/0j7e3qlJY6
— 囧 (@iannnnn) August 19, 2015
เลยพบว่าการวาดอะไรแบบนี้มันเอาไว้ทบทวนตัวเองดีเหมือนกัน เพราะโจทย์แต่ละข้อในทุกวันนั้นมันไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่เราจะนึกใส่ใจ 5555
#30DaysDrawingTH Day 03: อาหารโปรด
ชอบก๋วยเตี๋ยวอะไรก็ได้ขอให้เป็นเส้นโดยเฉพาะบะหมี่ …นึกได้ว่ากินต่อกันมาหลายวันแล้ว pic.twitter.com/yJLzWtZoZN
— 囧 (@iannnnn) August 20, 2015
แต่พอมานึกดูว่า เออ ทำไมเราไม่ใส่ใจวะ มันก็ได้การบ้านมาทำอีกอย่าง
#30daysDrawingTH 04: ที่นอน
อาณาจักรแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล แม้ตัวจริงจะโดนลูกเมียเบียดจนต้องนอนตัวตรงแด่ว pic.twitter.com/pr5TLhEfyV
— 囧 (@iannnnn) August 22, 2015
ตอนนี้วาดได้ 10 วันแล้วครับ (ที่จริงต้อง 11 แต่มีวันนึงถึงบ้านดึกมาก หมดแรง หลับ) จิ้มแท็กดูก็พบว่ายังมีคนเล่นเยอะอยู่ และที่เจ๋งคือมีคนใหม่ๆ เข้ามาเล่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดีใจแทนคนเริ่ม
#30DaysDrawingTH 05: เพื่อนสนิทที่สุดครับ คบกันมาดีๆ วันนึงก็ได้กันครับ ตอนนี้ลูกสองแล้วครับ pic.twitter.com/v0XfqoQdj3
— 囧 (@iannnnn) August 23, 2015
รู้สึกว่ามีลามไปที่เฟซบุ๊กด้วยมั้ง เห็นผ่านๆ
#30DaysDrawingTH 06:
ลัคกี้ คุกกี้ การ์ตูนเรื่องเดียวเปลี่ยนชีวี / ลัคกี้แมนคือหนังสือที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตที่สุดละ pic.twitter.com/8bPs5xCfJL
— 囧 (@iannnnn) August 24, 2015
เออ อีกอย่าง พอได้เทียบกับคนอื่น คำตอบที่ตัวเองเลือกวาดนั้นแม่งส่วนตัวมาก 5555 ไม่ต้องการการยอมรับใดๆ จากสังคมเลยครับ (ซึ่งแบบนี้แหละที่โอเค)
#30DaysDrawingTH 07: หนังโปรด
เลือกเรื่องนี้เพราะว่าโปสเตอร์มันเทคนิคเจ๋งมาก จนทำให้เราหัดใช้โฟโต้ช็อปเพื่อทำเลียนแบบ pic.twitter.com/0U5P7Yq8HJ
— 囧 (@iannnnn) August 25, 2015
อันบนนี่ใช้เวลานานกว่าปกติหน่อย เพราะพยายามทำโปสเตอร์เดอะทรูแมนโชว์ ซึ่งยาก 55555 เลยใช้หัวปากกาเล็กๆ มาตีตาราง สรุปคือใช้เวลานานและดูไม่เป็นงานตีนปาดเหมือนอันอื่น รู้สึกผิดกับตัวเอง(ทำไม)
#30DaysdrawingTH 08:
เคยรอวันหยุดราชการเพื่อจะได้ดูตอนพิเศษยาวๆ บางทีซึ้งจนร้องไห้ ไม่น่าเชื่อว่าโตมาจะเป็นคนแบบนี้ pic.twitter.com/SmHM8fXe8M
— 囧 (@iannnnn) August 26, 2015
หรือบางทีลงสีไปแล้วอยากเปลี่ยน แต่ก็ไม่ทันแล้ว 555555
#30DaysdrawingTH 09: กราบคารวะทุกคนทุกฝ่ายที่ทำให้มีรายการ "จังหวะ-จะ-เดิน" ขึ้นมาในโลก มันมีค่ามากๆ ทำอีกเถอะ อยากดู pic.twitter.com/rIsfzFi01s
— 囧 (@iannnnn) August 27, 2015
ของอันนี้ดีใจมาก เพราะพอทวีตมันเด้งขึ้นไปบนเฟซบุ๊ก (ตั้งค่าไว้) แล้วดันมีคอมเมนต์ชวนประทับใจจากทีมงานรายการด้วย!
#30DaysdrawingTH 10: ไม่ค่อยกินขนมลูกอม เลยบกพร่องเรื่องความประทับใจเกี่ยวกับมัน แต่ "ซูเปอร์เลมอน" นี่มันเด็ดดวงจริง pic.twitter.com/iQGADp9HLM
— 囧 (@iannnnn) August 28, 2015
และอันของวันนี้ อยากจะบอกว่านึกไม่ออกเลย จนมันแว้บเข้ามาว่าป๊าของปิงคือคนนำเข้าลูกอมนรกนี้เมื่อ 20-30 ปีก่อน! รู้สึกเท่ มีป๊าเพื่อนที่ทำอะไรเป็นตำนาน
ไว้ต่อภาคสอง อีกสิบวันใช่มะ