iannnnn's Blog, page 8
June 2, 2016
มืออาชีพ
ช่วงนี้เวลาขับรถรับลูกกลับจากโรงเรียน ผมชอบทดลองสอนให้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ ยากๆ ที่จำเป็นต้องใช้บริบทรอบข้าง (แบบที่ไม่ได้เป็นไดอะล็อกปกติสำหรับเด็กเล็ก) ด้วยถึงจะเข้าใจ อันนี้เป็นการท้าทายตัวเองด้วยว่าจะอธิบายคำที่เราเก็ตกันทุกวันทุกวี่ให้เด็กที่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เข้าใจได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เก็ตนะ
คำศัพท์ใหม่ในวันนี้ คือคำว่า “มืออาชีพ”
มืออาชีพที่หมายถึง คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สามารถทำงานบางอย่างได้เก่งกว่าใครๆ
หลังจากอธิบายความหมายเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาทดสอบความเข้าใจ
ผม: เห็นคุณลุงคนขับแท็กซี่นั่นไหม คุณลุงเป็นมืออาชีพเรื่องอะไร
นิทาน: น่าจะ… (คิดแป๊บนึง) เรื่องการขับรถนะ
ผม: ช่ายยย แล้วคุณลุง ร.ป.ภ.ล่ะ
นิทาน: … (คิดนาน)
ผม: คุณลุงคอยดูแลหมู่บ้านไม่ให้มีขโมยเข้ามาใช่ไหม
นิทาน: ใช่ๆๆ มืออาชีพด้านการดูแลหมู่บ้านเรา
ผม: ถูกต้องงง อะแล้วคุณยายล่ะมืออาชีพด้านไหน
นิทาน: คุณยายเย็บผ้าเก่ง มืออาชีพด้าน… เย็บผ้า!
ผม: เจ๋ง แล้วแม่ล่ะ
นิทาน: มืออาชีพด้าน… (นึกอีกแป๊บ) ขายของ!
ผม: ใช่เลยยยย เก่งนะเนี่ย
นิทาน: แฮ่ (ยิ้ม)
ผม: อะ แล้ว… แล้วพ่อล่ะ มืออาชีพด้านอะไร
นิทาน: … (นึก)
ผม: …
นิทาน: นึกออกแล้วๆ
ผม: ว่ามาเลย!
นิทาน: มืออาชีพ…! ด้านการตากผ้า!
May 14, 2016
ความอยาก (2559)
จดไว้
อยากได้กล้องฟูลเฟรมสักตัว
– ไอ้ที่อยากได้นั่นก็ราคาเรือนแสน ไม่รวมเลนส์เลยนะ
– ระยะเวลา: ไม่รู้แฮะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเก็บเงินเย็นได้เมื่อไหร่
– และมีค่ายอื่นไหมนอกากโซนี่ที่มันทำกล้องฟูลเฟรมขนาดไม่ควาย
อยากได้โดรน
– ระยะเวลา: อีกสิบปีข้างหน้าก็รอได้ ไม่รีบ
– ไม่รีบเพราะไม่มีเงินเอามาฟุ่มเฟือยมาก และรอให้มันเก่งกว่านี้
อยากเปิดบ้านให้คนต่างชาติที่ไม่รู้จักมานอนเล่น
– ระยะเวลา: อีกสิบปีข้างหน้าก็รอได้ ไม่รีบ
– สนใจทั้ง Couchsurfing และ Airbnb
– คือให้มีคนต่างชาติ หรือคนไทยก็ได้ มาเที่ยวบ้าน แล้วเราพาทัวร์ ไม่คิดเงินยังได้
อยากทำฟอนต์
– ระยะเวลา: ไม่รู้แฮะ เสียใจแต่ก็พูดตามตรงแบบนี้
– เคยตั้งเป็นปณิธานแห่งปีสักปีแล้วก็เหลว เพราะโอกาสและความใส่ใจมีน้อยมากๆ
– จนบางทีก็เสียใจเหมือนกันว่าเราไม่ได้ไม่ว่างหรอก แต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด
อยากขี่จักรยานวันละ 4 ชั่วโมง
– ระยะเวลา: อันนี้ทำได้เลย รอลูกสาวเปิดเทอม ไม่ใช่เรื่องใหญ่
– แต่ไม่ได้ถึงขนาดวันละ 4 ชั่วโมง เพราะลูกกวนตัว ก็จะได้แค่อาทิตย์ละครั้ง
– การขี่จักรยานของข้าพเจ้าไม่ใช่การขี่เพื่อออกกำลังกาย แต่เพื่อความบันเทิงล้วนๆ
อยากออกกำลังกาย
– ระยะเวลา: ฝันไปเถอะ
– มีข้ออ้างสารพัดที่จะไม่ทำ ถือเป็นความล้มเหลว พูดให้ปากดีไปงั้น
– แต่ทุกวันนี้ก็มีออกนิดๆ นะตอนดูซีรีส์ไปด้วย ซึ่งก็แค่เบาๆ วันละ 45 นาที
อยากหัดปลูกต้นไม้ใหญ่ ไม้ยืนต้น ปลูกป่าเป็นของตัวเอง
– เกิดมาในตระกูลเกษตรกร แต่ปลูกกล้วยยังไม่เป็น กระจอกมาก
– แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะตั้งเป้าหมายชีวิตพุ่งไปทางนั้นเรียบร้อย
อยากเที่ยวทั่วไทยแบบอันซีน (อีกครั้ง)
– เป็นบาปของคนมีลูกเล็กมากๆ (ย้ำว่าไม่ใช่เพราะมีลูก แต่เป็นเพราะลูกยังเล็ก)
– ตอนนี้นับถอยหลัง เหลืออีกปีครึ่งน่าจะลงตัวและเที่ยวได้เหมือนเดิม
– จะไปเหมือนเดิมได้ไงล่ะ เพราะเอาลูกไปด้วยนี่ ก็จะไปแนวดิบเถื่อนไม่ได้
– ซึ่งก็โอเค
อยากวาดรูปเล่นได้ทุกวัน
– อันนี้ฝันเป็นจริงพอสมควรแล้ว เหลือแค่จัดการเพิ่มความถี่และความชิล
อยากอ่านหนังสือที่ซื้อมาดองไว้
– จากเดิมดองไว้ประมาณ 1 หลา ปัจจุบันนี้น่าจะขยับเป็น 2-3 หลาแล้ว
– ที่บาปมากคือการ์ตูน เมื่อก่อนไม่เคยมีสักครั้งที่ซื้อการ์ตูนมาดองไว้ แต่ตอนนี้มีแล้ว
อยากเข้าสู่โหมดแต่งบ้าน
– ระยะเวลา: 6-18 เดือนนับจากนี้
อยากตื่นมาเลี้ยงหมาแมว เล็มต้นไม้ ปลูกผักงี่เง่า
– ระยะเวลา: 12-18 เดือนนับจากนี้
– อันนี้เป็นฝันระยะสั้นและสลิ่มกว่าโหมดทำสวนข้างบน
– มันคือการปลูกพืชแบบคนเมืองๆ นี่แหละ กล้อมแกล้มไปก่อนระหว่างที่ยังอยู่ไม่ไกลกรุง
อยากไปยะลา
– ระยะเวลา: ไม่รู้แฮะ
– เพราะเมียไม่อนุญาต
อยากสนุกกับงานแปลกๆ ที่ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมาทำ
– กำลังทำอยู่ มีทั้งแบบได้เงินและไม่ได้เงิน (ส่วนใหญ่จะไม่ได้เงิน)
นึกออกเท่านี้
May 6, 2016
บุปผาอาริกาโตะ: คือจูออนเวอร์ชันยุทธเลิศ
(ไม่สปอยล์ / ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบ เม้นด่าได้ครับ)
จำได้ว่าผมแทบไม่ได้เขียนบล็อกที่พูดถึงหนังที่ดูเลย ส่วนมากจะทวีตสั้นๆ แค่ สนุกดี จบ หรืองั้นๆ จบ เพราะผมไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ รู้แค่ว่าหนังสนุกมันก็สนุก หนังเหี้ยมันก็เหี้ย มีเท่านั้นเอง
แต่กับหนังของผู้กำกับคนนี้ ที่ทำออกมากี่เรื่อง ก็จะออกมาแบบก้ำกึ่งเสมอ คือจะมีคนชอบครึ่งนึง อีกครึ่งนึงด่าเสียหมา แถมผู้กำกับก็ดันไปมีดราม่าปะทะชาวโซเชียลใหญ่โตก่อนหนังลงโรงซะยังงั้น
ผมขอไม่พูดถึงดราม่าที่ว่าละกัน เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับหนัง จะเกี่ยวก็ตรงที่พอเขาฉายรอบสื่อปั๊บ เราก็ได้เห็นคำวิจารณ์ในไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ ที่ออกมาสวิงแบบขาว(เกือบ)จัด และดำจัดสุดๆ คือฝั่งที่ด่าก็ด่าพินาศ ฝั่งที่ชอบก็ชอบไป แต่เรื่องนี้เห็นเลยว่าฝั่งด่านี่เสียงดังกว่าเย้อะ
แต่ผมเพิ่งดูจบตะกี้ เดินออกมาจากโรงแล้วก็พบว่า “เออ เราอยู่ฝั่งที่ชอบว่ะ”
เอาเหตุผลที่ชอบก่อน
ก็นั่นล่ะครับ โอเคนะ เข้าใจกันนะ
คืองี้ การจะบอกว่าเรื่องนี้มันดีไม่ดี ชอบไม่ชอบเนี่ย แม่งยาก 5555 เพราะว่า “หนังยุทธเลิศ” มันเป็นหนังแบบที่ต้องทำใจก่อนเข้ามาดู
เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งรู้สึกแบบ “อ้าว มันเป็นภาระของคนดูอย่างกูไหม ที่จะต้องทำใจในการดูหนังสักเรื่อง กูเสียตังค์นะ ฯลฯ” สิ
ก่อนอื่น เวลาเราไปดูสตาร์วอร์ส เราต้องจูนทัศนคติของตัวเองก่อนไหมว่าเราจะดูสตาร์วอร์ส เช่นเดียวกับหนังจิบลิ หนังพี่เจ้ย หนังพี่เก้ง (ใครดูบุปผาฯ แล้วอ่านถึงตรงนี้ น่าจะฮา) หนังพจน์อานนท์ หรือหนังฝรั่งก็ได้ อย่างพวกหนังไมเคิลเบย์ หนังเควนติน หนังโนแลน หนังตั้งกล้อง หนังทุนต่ำ หนังคัลต์ หนังมาร์เวล หนังดีซี หนังเพลง หนังดิสนีย์ หนังจีทีเอช (ที่ตอนนี้ชื่อค่ายว่าอะไรไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว) หรือหนังคานส์ต่างๆ ฯลฯลฯลฯ
แต่ละอย่างมันก็เป็นอาหารคนละแบบ คนละรสชาติกันใช่มะ คนที่เดินเข้าไปร้านอาหารอินโด เจออาหารอินโด ก็ต้องกินอาหารอินโดใช่มะ จะไปกินแล้วออกมาบอกว่า แม่งรสชาติยังกะแกงไตปลาที่ใส่กระชายลงไป อี๋ แหวะๆๆๆ แบบนี้ แล้วมาบอกว่าคนอื่นอย่าไปกินนะ ไม่อร่อยอย่างแรง กินแกงไตปลาไปเลยดีกว่า ไรงี้
มันก็ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ไง ดังนั้นเปิดใจเปิดกบาลนิดนึงนะ
อย่าง “บุปผาราตรี” ก็เป็นอาหารประเภทหนึ่งเหมือนกัน มีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มีคนชอบบางภาค หรือรังเกียจบางประการ นั่นก็ว่าไป แล้วแต่จริตของใครต่อใคร
เพราะหนังยุทธเลิศก็มีขึ้นมีลง มีดีมีกาก น้ำขึ้นน้ำลงตามเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งทุนสร้าง ทัศนคติ อีโก้ ความหยิ่งผยองของผู้กำกับเอง
ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบหนังที่มีคนชมครึ่งนึง คนด่าอีกครึ่ง ถ้าหนังเรื่องไหนที่กระแสมาแบบก้ำกึ่งแบบนี้ มันจะมีเสน่ห์เฉยเลย ก็จะอยากดูมากกว่าแบบที่ชมอย่างเดียวจนเราคาดหวังฉิบหาย แล้วพอไปดูเลยผิดหวังออกมา อย่างหนังฮีโร่ตีกันเรื่องล่าสุดนี่ไง 5555555
เข้าเรื่องตัวหนังซะทีนะ
บุปผาอาริกาโตะ เป็นเหมือนเล่าเรื่องในจักรวาลเดียวกันกับบุปผาราตรี แต่ก็สามารถดูได้โดยไม่ต้องเคยดูบุปผาราตรีมาก่อน (พูดให้นึกออกง่ายๆ คือเรื่อง MAD MAX งี้ ที่ไม่ต้องรู้มาก่อนก็ได้ว่ามีภาคก่อน)
ว่าด้วยแก๊งแฟนฉันตอนโต นำโดยแน็คและแจ๊ค (ที่ต่างก็ใช้ชื่อจริงกันทั้งคู่ และปูพื้นตัวละครแบบถ้าเก็ตและไม่อคติกับความปากจัดของนักแสดงและบทที่ส่งมา ก็จะขำ — นะ เราขำ) ที่ไปถ่ายทำมิวสิกวิดีโออินดี้ของตัวเองที่เมืองสกีในญี่ปุ่น แล้วก็ไปพักที่บ้านเช่าชื่อ “ออสก้าร์ ลอดจ์” (ชื่อเดียวกะอพาร์ตเมนต์ในตำนานในบุปผาราตรี)
ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนนึงโผล่มา (นั่นแหละ น้องเก้า) แล้วความโรแมนติกก็เริ่มขึ้น ซึ่งเราจะไม่เล่า เพราะกลัวสปอยล์
แต่จะเล่าว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านออสก้าร์เนี่ย มันเป็นบ้านผีสิงเว้ย ตามที่เห็นในหนังตัวอย่างเลยว่าในบ้านมีผีกิโมโนถือมีด แล้วก็ผีเด็กหน้าขาวนั่นแหละ เป็นแม่ลูกกัน เอาเป็นว่ามันคือบ้านผีสิงละกัน แล้วก็มีความพยายามของเจ้าของบ้านเช่า (นาวินต้าร์ ในเรื่องชื่อเน) ที่พยายามไปหาหมอผีสารพัดชนิดมาไล่ผี แล้วก็เสร็จผีไปซะทุกราย ตามสูตรการ์ตูนเล่มละบาทของบุปผาราตรีไง ส่วนปมของเรื่องจะผูกจะคลายจะดำเนินยังไง ก็ไปตามกันเอาเอง
แต่หนังคลายปมได้หมดนะครับ ดูแล้วไม่สงสัยค้างคา ปิดคดีทุกดราม่า และขยายจักรวาลใหม่ของบุปผาฯ (ที่ไม่รู้ภาคต่อไปจะเอาคำว่าอะไรมาต่อท้าย) ได้ หนังจบออกมาแล้วมีเรื่องคุยกันต่อนิดหน่อย และสรุปตรงกันว่าชอบ
เอ้า สุดท้ายแค่บอกชอบก็พอนี่หว่า จะเขียนยาวทำไม 55555
อื่นๆ ประกอบการตัดสินใจเผื่อมีโครงการว่าจะดูหรือไม่ดูดี:
ดูไปสักพักก็จะรู้ว่านี่คือหนังทุนต่ำ ถ่ายทำกันแบบหนังผีอินดี้เลย
ไม่ชอบชื่อเรื่อง “บุปผาอาริกาโตะ” เลย แต่พอดูหนังจบแล้วก็เข้าใจว่าทำไมต้องชื่อนี้ เป็นเหตุผลที่รับได้ แต่ มันไม่ดึงดูดเรา (ในฐานะคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง)
ไม่ชอบตัวอย่างหนัง ทั้งเวอร์ชันธรรมดา และเวอร์ชัน 18+ ที่ไม่รู้จะทำมาทำไม ไม่ได้ส่งเสริมหนังเลย
ไม่ชอบกระทั่งคำโปรยบนโปสเตอร์หนัง (ทิ้งกูมึงตาย) อะไรนั่น แล้วมีหน้าน้องเก้ายิ้มสวยๆ ไมไ่ด้เกี่ยวกับข้อความนั้น คือไร ผิดมาก นี่สปอยล์ให้เลยว่า “มันไม่ควรโปรยแบบนี้” จะได้สบายใจว่าหน้าหนังเรื่องนี้ทำให้หนังดูแย่
นี่คือหนังผีตุ้งแช่ ที่ถึงเราจะอยู่ในยุคที่เหยียดหนังแนวผีตุ้งแช่ว่าเป็นผีแบบกากๆ แต่ก็นะ ถ้าเตรียมใจไว้พร้อมแล้วว่านี่กูกำลังจะไปดูผีตุ้งแช่ มันก็เป็นผีตุ้งแช่ที่สนุก
และตลกด้วย คือเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอแล้ว ผีที่แบบ เหี้ยเอ๊ย เล่นกูอยู่ได้ แต่ก็หัวเราะลั่นไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ยังคงทำได้หลายช็อต
น้องที่ไปดูด้วยกันกรี๊ดนาวินต้าร์มากๆ หล่อสัสๆ หล่อทะลุหิมะ อันนี้ผมเห็นด้วย
แน็ค ชาลีเล่นดี ร้องเพลงเจ๋งดีด้วย เซอร์ไพรส์ (ไมไ่ด้ตามติดชีวิตน้องคนนี้ แต่พอมาเห็นมาดล่าสุดนี่เราว่าโอเคมาก)
แจ๊คแฟนฉันที่ปกติจะถ่อยและพูดจาหยาบคาย ไม่ค่อยได้ประเด็น มาในเรื่องนี้ดันเอาอยู่ครับ คุมหนังอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคาแร็กเตอร์ของตัวเองที่จะว่าไปก็รักษาความถ่อย (นิดๆ) แบบนี้ไว้นะ ทำดีแล้ว
มีพลอยเฌอมาลย์มาแจมแว้บนึง ใช้ไม่คุ้มง่ะ
อีกหนึ่งตัวละครที่เอามาแจมด้วยคือเสนาหอย ออกมานานแต่ก็ไม่คุ้มเหมือนกัน
เออ บทลุงอังเคิลค่อยคุ้มหน่อย
หนังมีตำหนิอยู่บ้าง เช่นภาพกระตุกอยู่ช่วงนึง เข้าใจว่าเป็นที่ต้นฉบับเลย แต่ทุนสร้างคงไม่พอที่จะไปถ่ายซ่อม-ถ่ายแก้ เลยปล่อยไว้งั้น รวมถึงเอฟเฟกต์ช่วงนึงของเรื่องที่เห็นแล้วก็อะไรวะ นี่มันละครจักร์ๆ วงศ์ๆ ช่องเจ็ดเรอะ
มีฉากนึงที่แม่งควรเป็นตำนาน คือฉากที่ทุกคนพยายามไขกุญแจเข้าบ้าน แล้วเห็นผีกัน และการกระทำของผีที่ไอ้แจ๊คแนบหน้าเข้าไปเห็นนั่น อีเหี้ย ตำนาน หัวเราะนานมาก ไอ้สัสสสสสส 555555555555555
นิดนึง แถวถัดจากผมมีวัยรุ่นคู่นึงแม่งคุยกันเสียงดังตั้งแต่หนังตัวอย่าง พอหนังจริงเริ่ม คิดว่าจะหยุด แต่มันไม่หยุด ยังคุยกันต่อ ที่โหดคือเสือกอ่านซับอังกฤษแล้วแปลไทยล่วงหน้า พอคำพูดตัวละครตรงก็เสือกหัวเราะดีใจกันอีก (อีห่า) ผมเลยลุกขึ้น หันไปบอกว่า น้องครับ “ช่วยดูเงียบๆ หน่อยนะครับ” ตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็แฮปปี้ (เพราะถึงฉากเปิดตัวน้องเก้าพอดี)
เหมือนว่าองค์กรพุทธ (สักอย่าง) จะยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถ้าดูผมว่าคงมีแบน
ย้ำอีกที นาวินต้าร์หล่อมาก อยากได้เป็นผัว
ส่วนน้องเก้า สารภาพชัดๆ ตรงนี้เลยครับ น้องเก้าครับ พี่…
เมียเรียกแล้ว แค่นี้นะ
April 22, 2016
[Get Talks] โตแล้วยังอ่านการ์ตูนอีก?
อารัมภบทเกี่ยวกับรายการ Get Talks กันนิดนึง
ตอนนี้ตอนทำงานหรือขับรถ ผมนิยมฟัง Podcast (ก็คือรายการวิทยุนั่นแหละ แต่เป็นแบบออนไลน์) ไปด้วย เพราะมันสะดวกดี มือทำอย่างอื่น ตาทำอย่างอื่น แต่หูว่าง ก็เปิดฟังเพลินๆ ตอนนี้ติดตามอยู่ 3-4 รายการ เช่น WitCast, BATCast, Omnivore, JUSTดูIT., GM Cast, RadioMANGA (เกินยังวะ) (ทั้งหมดดูเป็นชื่อรายการฝรั่ง แต่พูดไทยทั้งหมดนะครับ ผมภาษาอังกฤษยังไม่ได้แข็งแรงพอจะฟังฝรั่งคุยกันยาวๆ ได้เถอะ)
และสุดท้ายที่นึกออกและเราจะมาอวยกันวันนี้คือ “Get Talks” ของสองพิธีกร แซมมี่และกตัญญู ซึ่งต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานกันดีอยู่แล้วแหละนะ แล้วมึงมาจัดรายการกันทำไม ว่างเหรอ
คืองี้ครับ วันก่อน คุณแซมติดต่อเข้ามาชวนคุยเรื่องการอ่านการ์ตูน ผมก็งงๆ ไม่กล้ารับปากมัน เกรงว่าเราจะไปรู้อะไรเรื่องการ์ตูนนักวะ เพราะตัวเองก็แค่คนหนึ่งในท่ามกลางผู้คนอีกมากมายหลายล้านที่ต่างก็เติบโตและอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กจนโตมาเหมือนๆ กัน คือมันเป็นเรื่องที่หันไปทางไหนก็เจอแต่คนที่รู้เยอะกว่าผมแน่นอน
พอไอ้แซมเห็นผมอึกอักทำท่าจะรับปากแหล่ไม่รับแหล่ มันก็ให้เหตุผลที่รู้สึกว่าเออ ผมยอมรับได้ นั่นก็คือ “ก็ผมรู้จักพี่คนเดียว”
พอถึงวันนัด ทีมงาน Get Talks ก็ยกสตูดิโอ (ก็มีสองคนนั่นแหละ กะมือถือเครื่องนึงไว้อัดเสียง) มานั่งสัมภาษณ์กันอย่างจริงจังที่บ้านลาดปลาเค้า ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ เดือนที่ผมได้นั่งคุยกับมนุษย์นานขนาดนี้ แถมยังเป็นเรื่องที่ตัวเองก็ประหม่าอยู่ใช่ย่อย
แต่พอเริ่มปริปาก โอ้โห ต้องขอกล่าวอย่างสุภาพเลยครับว่าเย็ดเป็ด ความทรงจำของวัยรุ่นยุค 90s (เห็นกำลังฮิตแซะกันใช่มะตีมนี้) ก็พรั่งพรูทะลักทลายพรวดพราดออกมาอย่างรุนแรงเหมือนดั่งเพิ่งอัดน้ำยาดีท็อกซ์สวนเข้าไปในรูตูด อั้นไว้ 3 นาทีแล้วตัดสินใจคลายการเกร็งหูรูด พุ่งมากๆ! พุ่งมากๆ!
มากไป!
มากไปจนกลายเป็นว่า ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของรายการนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาดักแก่ และความโรแมนติกข้นคลั่กของอดีตเด็กที่โตมากับวัฒนธรรมการอ่านการ์ตูน ทั้งการ์ตูนสายหลัก สายรอง สายโป๊ (
ป.ล.
หลังจากจบการบันทึกรายการ เดินไปส่งอีสองคนนี้หน้าบ้าน กำลังจะปิดรั้ว ผมก็บอกอีแซมไปว่า เออ ทำรายการงี้ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ น่าทำมั่งว่ะ 555
ป.อ.
ไอ้แซมบอก เอาดิพี่
ป.ฮ.
คืนนั้นเลยได้ชื่อและโลโก้รายการเรียบร้อย รวมถึงผู้ดำเนินรายการแล้วด้วย ก็คือแซมกะผมนี่แหละ ไม่ได้หาจากที่ไหนไกลเล้ย 55555 เอาไว้เดี๋ยวให้มันเสร็จสักตอนแล้วมาอัปเดตกันอีกทีครับ
March 14, 2016
#ระวังโดนหลอก ว่าด้วยกลโกง Dropbox > Email phishing
ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ผมโดนโกง 2 ครั้งครับ ทีแรกว่าจะเขียนเรื่องแรกก่อน แต่นึกดูอีกที เดี๋ยวไปเขียนลงพันทิปดีกว่า ส่วนเรื่องที่สองนี่เนิร์ดหน่อยเลยเอามาเล่าในนี้น่าจะเหมาะดี
เข้าเรื่องเลยนะ… ผมได้รับอีเมลจากคุณหมอท่านนึงที่เคยสนทนากันเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยส่งเอกสารมาเป็นลิงก์ PDF ผ่าน Dropbox
ข้อสังเกต:
การที่อยู่ดีๆ คนที่เคยติดต่อกันมาตั้งนานแล้ว ส่งอะไรสักอย่างมาให้โดยไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่ม อันนี้ให้ตระหนักไว้ก่อนเลยครับว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
ชื่อไฟล์นั้นเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเข้าข่าย phishing แบบโง่ๆ ของฝรั่ง (คือไม่ว่าจะกี่ปีผ่านมา อีโจรพวกนี้ก็ไมได้พัฒนาความทึ่มของชื่อไฟล์ให้เหมาะสมกับประเทศปลายทางของเหยื่อเลย)
ด้วยความอยากรู้ เลยลองใช้เมาส์แหย่ตรงปุ่มสีฟ้าดูว่าปลายทางจะเป็นลิงก์อะไร ซึ่งก็เป็นระบบย่อลิงก์ db.tt/นัวๆ ด้วยความอยากรู้ว่าสุดท้ายโจรจะใส่อะไรมาในไฟล์ pdf นี้ เลยลองเปิดดู ก็เจอหน้านี้
อ๋อ ถ้าจะเข้าไปดูใน Dropbox ได้ เราก็ต้องล็อกอินก่อนสินะ อ๋อเดี๋ยวนี้เจ๋งดี ล็อกอินผ่าน Google Account ได้ด้วย ได้เลยๆ (ว่าแล้วก็กรอกมั่วลงไป)
ข้อสังเกต:
ดูในช่อง Address bar จะเห็นได้ว่ามันคือหน้าเว็บที่ใช้ระบบ generate html ขึ้นมาแบบ base64 (กดดูโค้ดมันจะมั่วๆ ครับ) ทั้งหน้านี่คือหน้าเพจปลอมที่มีแค่ช่องกรอกแบบฟอร์มหลอกๆ เฉยๆ ไม่ใช่เว็บ Gmail จริงๆ นะ เพราะไอคอนกุญแจเขียวสักหน่อยก็ไม่มีให้
โจรเขียนหน้าเว็บนี้มาเนียนดี แม้กระทั่งตอนผมกรอกอีเมลแบบไม่ได้ใส่ @gmail.com ลงไป แม่งยังเตือนว่ามึงลืมใส่
ที่จริง ตอนนี้กูเกิลเปลี่ยนหน้าล็อกอินแบบนี้แล้วนะครับ การล็อกอินเข้าสิ่งใดๆ ของกูเกิล มันจะให้เรากรอก username แล้วเคาะผ่านหน้านึง หน้าถัดไปถึงจะมีอวตารเราโผล่ขึ้นมาพร้อมช่องกรอกรหัสผ่าน (น่าจะเอาไว้ต่อกรกับอินเทอร์เฟซเดิมที่โจรใช้อยู่เนี่ย ที่ถ้าเบลอๆ ก็กรอกรหัสผ่านจบในหน้าเดียว ถวายให้โจรเรียบร้อย)
อ้อ อีกอย่าง ถ้าเป็นบริการของกูเกิลจริงๆ เวลาเราผูกกับบริการใดๆ มันจะไม่ได้ให้เรากรอกรหัสผ่านใหม่นะครับ แต่ของแท้จะเป็นหน้าแบบนี้
สังเกตว่าเราล็อกอิน Gmail หรือบริการของกูเกิลอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องไปกรอกรหัสผ่านใหม่ครับ (เช่นเดียวกับพวกต้มตุ๋นในเฟซบุ๊ก ที่ถ้าส่งมาจากระบบเฟซบุ๊กจริงๆ มึงจะมาถามชื่อและรหัสผ่านกูอีกทำไมในเมื่อกูล็อกอินค้างไว้อยู่แล้ว)
และสุดท้าย เมื่อเรากรอกอีเมลและรหัสผ่าน (มั่ว) ลงไป มันก็จะทำการส่งข้อมูลไปถวายโจรตามภาพ
แล้วก็เด้งไปหน้า Dropbox ซึ่งไม่พบไฟล์ PDF (และมุมบนขวาก็แสดงชัดว่าเราไมไ่ด้ล็อกอินอยู่ซะหน่อย) ซึ่งที่จริงสมมติมีไฟล์ PDF ที่เป็นอันตรายต่อคอมเราก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ไม่มี เป็นไปได้ว่า Dropbox อาจจะสแกนเจอแล้วจัดการไปเรียบร้อย หรือไม่ก็มันยิงลิงก์มามั่วๆ จริงๆ
สำหรับกรณีนี้ขอลงบันทึกไว้เฉยๆ ครับ เผื่อใครตกเป็นเหยื่อแล้วมาเจอจะได้ระวังกันถูก
ส่วนเหยื่อที่เป็นต้นทาง (ในที่นี้คือคุณหมอ) อันนี้ยังไม่รู้ว่าติดเชื้อไปได้ยังไง (อาจจะเพราะเคยกรอกอีเมลพร้อมรหัสผ่านไปก่อนหน้า?) เดี๋ยวจะลองเมลกลับไปถามครับ
ป.ล.
ส่วนอีแบบต้มตุ๋นโกงเงินเมดอินไทยแลนด์ที่บอกไว้ข้างต้นว่าเจอเมื่อคืนเป็นกรณีแรก เดี๋ยวกะว่าจะโพสต์พันทิปวันนี้แหละ ขอไปแจ้งความก่อน
February 24, 2016
ทดลองเป็นคนแก่
บล็อกตอนนี้ นอนเขียน ไม่เขียนสิ พิมพ์ เฮ้ยไม่พิมพ์สิ พูดเอาเลย ให้มันแปลงเป็นตัวอักษรให้ เพราะว่าขี้เกียจขยับมือมาไถจอ
นี่ก็เข้าสู่วันที่ 3 ของอาการเจ็บหลังแล้ว เมื่อวานตอนเย็น พ่อกลับมาถึงกรุงเทพ พ่อ พ่อไม่ใช่พ่อ พอ พ่อกลับมาถึงกรุงเทพ โอ๊ยช่างแม่ง พ่อก็พ่อ พ่อกลับมาถึงกรุงเทพ ก็พุ่งไก่หมอที่โรงพยาบาลทันที
ไม่รู้จะเรียกว่าสวยดีไหม สวยไม่ใช่สวย ซวย ซวย ไม่รู้จะเรียกว่าสวยดีไหม หมอก็ดันเป็นประเภทที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ถามไป 10 บาทตอบมา 2 บาท เล่าอาการให้ฟัง หมอก็ถามว่าอยากเอ็กซเรย์ดูไหม เลยไปเอ็กซ์ดู ผลคือกระดูกไม่เป็นอะไร โดยสรุปก็เป็น หลังยอก หลังยอกต้องเอาหลังบ่งนั่นแหละ เหมือนกับที่ปรึกษาหมอ google มาเป๊ะเลย แต่อันนี้มีบุคลากรทางการแพทย์มายืนยัน ก็เลยมั่นใจขึ้นมาหน่อย
ถามหมอไปว่า ไอ้อาการหลังยอกเนี่ย เขามีชื่อเรียกเป็นภาษาหมอไหมครับ เช่น กล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลันหรืออะไรแบบนี้ หมอยิ้ม แล้วบอกว่า ก็หลังยอกไง แล้วจัดยาให้อย่างรวดเร็ว เมียหันไปมองบนโต๊ะ ก็พบว่ามีนิยายวางอยู่เล่มนึง เมียจึงเข้าใจ ในฐานะคนติดนิยายเหมือนกัน ไม่กลับบ้านมาแค่แบบบ่นๆ นิดๆๆ วงเล็บ เฉพาะค่าตรวจ 750 บาทแน่ะ
คืนวันที่ 2 ของอาการ หลังจากกินยาคลายกล้ามเนื้อ และยาอะไรอีกสักอย่าง จำไม่ได้ เป็นคนไข้ที่ไม่ดี ก็พบว่าหลับสบายขึ้น สบายจนเผลอพริกตัวแบบปกติ คลิก roaring โว้ย พริก คลิปตัว click ตัว click ตัว พริก มวย ช่างแม่ง
ต่อนะ หลับสบายจนพลิกตัวแบบปกติ อ้าวทำไมที่นี้สะกดถูกหรือ ปรากฏว่าโคตรเจ็บหลังเลย ถึงกับตะโกนออกมาเสียงดังลั่น แล้วก็นอนตัวงออยู่แบบนั้น
ตื่นมาตอนสาย วงเล็บ เมียผู้ประเสริฐ อาสาไปส่งลูกสาวคนโตไปโรงเรียนแทนให้วันนี้ ปิดวงเล็บ พบว่าท่านอนหงายสบายที่สุด ลองคลำหลังช่วงเอวดู ก็พบว่าไม่ปวดแฮะ หรือว่าเราหายแล้ว ก็เลยพยายามลุกขึ้นนั่งและค่อยๆ ยืน
ประโยคเมื่อกี้ประโยคเดียว ใช้เวลาประมาณ 15 นาที 15 นาทีจริงๆ เพราะว่ามันปวดโหดๆ ไม่ต่างจากเมื่อวาน แต่คราวนี้ ลูกเองได้ ลุก ลุกเองได้แบบทุลักทุเลที่สุด พยายามเคลื่อนไหวร่างกายไปห้องน้ำ ก็พบว่าท่าที่ทรมานที่สุดก็คือท่ายืนตรง ยืนแก้ผ้าแปรงฟันดูกระจก ก็พบว่าตัวเองยืนเอียง ลองปรับศูนย์ดู ก็ยังเอียง เพราะไข่สองข้างไม่เท่ากันก็ไม่ใช่ อันนี้คือเอียงเลย
พยายามขี้อีกครึ่งชั่วโมง ไม่สามารถออกแรงเบ่งได้ เพราะปวด เอาจริงๆ แม้แต่ไอเบาๆ ก็ยังไม่ได้ มันสะเทือน สรุปว่าขี้ไม่ออก ลุกขึ้นมา อาบน้ำ วงเล็บ ตอนลุกจากส้วม ก็รอไป 5 นาที
อาบน้ำเสร็จก็พบอุปสรรคใหม่ คือ เมื่อกี้ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ที่พื้น การก้มลงหยิบเป็นไปไม่ได้เลย ต้องใช้เท้าเขี่ยขึ้นมา แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบที่ปลายเท้า โอ้โห แค่นี้ก็ยากหนักหนา
คิดดูละกันว่าการแต่งตัวจะยากขนาดไหน ที่จริง มนุษยชาติควรจะแก้ผ้าเดินกันให้หมดเพื่อแก้ปัญหาการปวดหลัง ทำไมเรื่องแค่นี้คิดกันไม่ได้นะ
อุปสรรคผัดมา ก็คือการกินยากินข้าวกินน้ำ ตอนนี้ร่างกายอยู่ชั้น 3 ตู้เย็นอยู่ชั้น 1 ยาอยู่ชั้น 2 ก่อนอื่นต้องลงไปกินข้าวที่ชั้น 1 แล้วแบกน้ำขึ้นมาชั้นสองกินยา ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม ใช้เวลา 1 ชั่วโมง รวมกินข้าวแล้ว วงเล็บ ที่จริงก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะว่าปกติกินข้าวช้าอยู่แล้ว
ตัดภาพมาปัจจุบัน ตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนอยู่ที่ชั้น 2 ที่จริงจะบอกว่าทิ้งตัวก็ไม่ถูกนะ ต้องบอกว่าค่อยๆๆ ย่องลง ย่อตัวลง แบบสโลสุดๆ ถ้านึกไม่ออก ให้ไปดูตัวอย่างหนังซูโทเปีย อันที่มีสล็อตนั่นแหละ slot สะกดด้วยถอดธงโว้ย เออกูยอมแล้ว
เอาเป็นว่าที่นอนชั้น 2 มันฟูกแบบ 3 ฟุตครึ่ง ปกติจะเอาไว้ให้เด็กนอน แต่วันนี้พ่อขอยืมนอนก่อน แล้วก็ดันนอนชิดผนังเกินไป ดูเป็นเรื่องปัญญาอ่อนใช่ไหมครับ ก็แค่เขยิบไปทางขวา คืบเดียว จะไปยากอะไร จะบอกว่าแม่งยากมากครับ เพราะว่าการกระเถิบตัวไปทางขวาในท่านอนนั้น มันต้องอาศัยกล้ามเนื้อหลัง อยากเลี่ยงไม่ได้ อย่าง ดังนั้นตั้งแต่เริ่มหยิบโทรศัพท์ จะเขียน blog วาดรูปจนพิมพ์มาถึงบรรทัดนี้ ผมยังนอนแนบผนังแบบเบี้ยวๆ อยู่เลย เดี๋ยวกด publish แล้วค่อย ลองกระเถิบอีกที
ลืมบอกไปว่า ตอนกินข้าวไม่ได้หยิบโทรศัพท์ลงไป นี่เลยยกมาดู เห็นเมียโทรเข้าก่อนหน้า และล่าสุดเพิ่งส่งข้อความมาใช้ให้ทำธุระด่วนในคอมให้หน่อย ชิบหายแล้ว คอมอยู่ห่างจากตัวประมาณ 5 เมตร
5 เมตร เครื่องหมายตกใจ 38 ตัว ฟอนต์ขนาด 50 สีแดง ตัวหนา
ฮายาชิดะจะทำได้หรือไม่ เขาจะพิชิต 5000000 เยนสำเร็จไหม โปรดติดตาม
February 23, 2016
ใจกลางความเจ็บปวดหลัง
วันที่ 2:
ตื่นมาพร้อมอาการปวด ปวดหลังแบบสุดๆ ตรงช่วงเอว ระหว่างรอเมียอาบน้ำแปรงฟัน ผมก็พยายามลุกขึ้นนั่ง โอเคนั่งได้ แต่พอจะยืน มันไม่ไหวจริงๆ ทรุดลงมากองกับพื้น พยายามแล้วพยายามอีก ตะเกียกตะกายยังไงก็ลุกขึ้นไม่ได้ อย่าว่าแต่ยืนเลย คราวนี้นั่งก็ยังลำบาก
จนยักแย่ยักยันพาตัวเองลุกขึ้นมาได้ ก็รู้สึกเหมือนกำลังแสดงเป็นซอมบี้ คือไล่ดูดเลือดลูกเมีย ทุ้ยไม่ใช่ คือเดินตัวแข็งทื่อด้วยความเร็วประมาณหนึ่งจุดแปดสลอธ
วันนี้ผมจึงมอบหมายหน้าที่หยิบนั่นนี่ อุ้มเด็ก และหอบข้าวของทั้งหมดให้กับเมีย (มาคิดดูก็สบายดีนะ)
.
ย้อนกลับไปเมื่อวาน วันที่ 1:
เด็กๆ กำลังตื่นเต้นสนุกสนานกับห้องพักผนังสีน้ำเงิน เพดานโค้ง ดีไซน์แปลกตา โดยเฉพาะหนูเวลาตัวเล็ก ที่เดินสำรวจไปทั่วๆ จนกระทั่งเจอรูปลั๊กไฟ
คราวนี้ไวเกินกว่าที่เราจะเอาที่ปิดรูปลั๊กมาอุดรูได้ทัน เสี้ยววินาทีถัดมา เวลาก็เดินเอานิ้วชี้พุ่งเข้าไปหารูอย่างรวดเร็ว / ไวเท่าความคิด อีพ่อที่นั่งอยู่ห่างๆ เห็นภาพนั้นพร้อมกับที่แหกปากและเอี้ยวตัวพุ่งไปคว้าเด็กน้อยไว้ทันก่อนนิ้วจะถึงรูนั้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร
เด็กเซฟ แต่พ่อไม่เซฟ
รู้เลยว่าปวดบั้นเอวอย่างรุนแรง แรงกว่าที่เคยก้มลงแบกลังจากท้ายรถอย่างผิดท่าเมื่อปีก่อน ที่คราวนั้นปวดจนขยับตัวลำบากไปเป็นปี แต่คราวนี้รู้เลยว่าหนักกว่าเดิม
อาการเริ่มแรกคือปวดหลังส่วนล่างแบบสะกดเป็นตัวอักษรได้ ถัดมาคือตึงหลัง (อาการปวดไม่ลดลงตั้งแต่ตอนนั้น แต่มันจะพอมีท่าที่ไม่ปวด) แต่ก็ยังใช้ชีวิต ทำธุระจนผ่านพ้นวันได้อย่างสโลว์ไลฟ์ คือขยับตัวช้า เดินช้า หายใจช้า และอย่าใช้ตูหยิบอะไรที่ตกพื้นเด็ดขาด 囧
กินข้าวเย็นเสร็จ แม่ยายยื่นยาสักอย่างมาให้กิน ด้วยความไม่ไว้ใจเลยกูเกิลดู ก็พอได้ เลยกิน กะว่าเดี๋ยวกลับกรุงเทพฯ จะไปหาหมอให้ได้ เสร็จแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันจะล้มตัวลงนอน
แล้วก็พบว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการล้มตัว ยากจริงๆ พยายามอยู่นานมาก ปวดมาก เหมือนเอวผมหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นจุดหมุนของร่างกาย เราไม่สามารถงอตัวได้อีกเลย เลยหาวิธีก้ม ก้มได้แต่ก้มต่ำไม่ได้ เอนไม่ได้ เอียงไม่ได้ ภาระใดๆ ที่ส่งให้กับบั้นเอวนั้นทำไม่ได้ทั้งหมด ทุกอย่างเจ็บปวดครวญคราง
แล้วก็กลั้นใจทิ้งตัวลงบนที่นอน โอเคนอนได้ แต่พลิกตัวไม่ได้ ห่ามาก
และแล้วก็ถึงวันที่สอง… อ่านข้างบนนู่นละกัน
ตอนนี้ขับรถ (เมื่อวานขับไม่ปวด วันนี้มีปวดบ้างละ อาการคงเริ่มจริงจังวันนี้) มาทำธุระที่สถานที่ราชการ สิ่งที่ไม่เคยสังเกตก็คือที่นั่งคนพิการ, รถเข็นบริการฟรีอะไรแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลย แต่คราวนี้พบว่ามันถูกจัดวางไว้เด่นมาก
เดี๋ยวจะคิดว่าบล็อกตอนนี้ผมเขียนด้วยความทรมาน จริงๆ แล้วอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่ผมสนุกกับการสังเกตนะครับ รู้สึกเลยว่านี่คือการซ้อมรับมือกับความชรา และความไม่เที่ยงของสังขารที่เรามีแววมากๆ ที่จะเป็นอาการนี้อย่างถาวรเข้าสักวัน แต่ตรงนี้ขอทดลองเป็นดูก่อน ทุกครั้งที่ร่างกายเคลื่อนไหวเราจะได้สังเกต สังเกตกระทั่งทุกการหายใจ
สนุกดี แต่อย่านานเหอะ
February 21, 2016
Pebble Time : มันคือนาฬิกาก๊องแก๊งที่โอเค
หลายวันก่อนไปบ้านคุณมะเดี่ยว (ใครเหรอ? – เอ๊า คุณมะเดี่ยวไง) คุณมะเดี่ยวหันไปหยิบนาฬิกาเรือนนึงที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเอาคินเดิลมาสวมข้อมือชัดๆ เท่านั้นยังไม่พอ มันบิ๊วว่า พี่แอน ซื้อเลย โคตรเหมาะกับพี่เลย
“ยังไงวะ?”
นั่นเป็นคำถามที่… ถ้านี่เป็นการขายตรง การถามชงแบบนี้คือเหยื่องับเบ็ด 100% ครับ
ย้อนไปสมัยตอนอยู่ ม.ต้น ผมเคยใส่นาฬิกาข้อมือเพราะแม่ได้มาฟรีจากบริษัทขายตรง (อ้าว ขายตรงอีกแล้ว) แต่ใส่ได้ไม่นานก็พังไง ตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่คิดจะใส่อะไรให้หนักร่างกายอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นสร้อยแหวนเงินทอง (เพราะเกะกะ? – เปล่า กูไม่มีตังค์ซื้อ) หลังๆ เป็นหนักขนาดที่เวลาออกนอกบ้านก็ไม่ค่อยใส่กางเกงใน นี่เพิ่งมาเลิกในระยะหลังๆ ที่ลูกสาวชอบวิ่งมาเกาะขาแล้วดึงกางเกงโดยไม่ได้ตั้งใจ…
กลับมาๆ
ถึงจะบอกว่าไม่ชอบเกะกะ แต่เอาเข้าจริง เวลาออกจากบ้านทีไรก็ต้องหยิบภาระติดมือไปด้วยเสมอ ได้แก่ พวงกุญแจ, แว่นตา, โทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าตังค์ นั่นจึงทำให้พูดได้ไม่เต็มปากแล้วแหละว่าเป็นคนไม่เยอะ
และความที่เป็นพวกชอบเสพข่าวเทคโนโลยี และตามข่าวพวกของเล่นไฟฟ้าที่ออกมาใหม่ๆ ไม่เว้นวัน (นี่อย่างวันที่เขียนก็มีงานเปิดตัวสินค้าไฮเทคโฉ่งฉ่างที่สเปน รูดไทม์ไลน์ก็เจอแต่นั่นนี่มากมาย กรี๊ดๆๆ) เลยกะว่ายังไงเดี๋ยววันหนึ่งคงได้กลับมาซื้อนาฬิกาใส่สนองกิเลสกับเขาอีกครั้งแน่ๆ คือรู้ตัวเองดีพอๆ กับที่ปิดไว้ไม่ยอมบอกเมียนั่นแล
ด้วยความที่เป็นติ่งกูเกิล ตอนนั้นเลยเล็งพวก Android Wear สักเจ้า คือเกือบมาลงที่ Moto 360 แล้วครับ เพราะดูอะไรๆ มันลงตัวเกือบทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่อีแถบดำปื้ดๆ ด้านล่างสุดของมัน ในสายตาของคนชอบงานออกแบบแล้วรับไม่ได้จริงๆ แม่งทำมาแบบปล่อยปัญหาไว้ต่อหน้าต่อตา เกลียด เหมือนจอเสียอะ เสียใจ
แล้วที่รับไม่ได้จริงๆ ของนาฬิกาไฮเทคยุคนี้ (ที่น่าจะเป็นยุคแรกๆ ของอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตแบบสวมใส่ ที่ต่อไปมันจะกระโดดไปได้ไกลกว่านี้มากๆ) นั่นคือแบตเตอรี่ การที่ต้องใส่ๆ ถอดๆ ชาร์จๆ แม่งทุกวันนี่ถือว่าอุบาทว์มากอะ โลกเราพัฒนาอะไรๆ ไปได้ไกลมากแล้ว แต่เรื่องการกักเก็บพลังงานนี่ยังแบเบาะจริงๆ สมมติสามสิบปีผ่านไป มีลูกหลานผ่านมาอ่านบล็อกนี้ก็ช่วยเห็นใจคนรุ่นปู่ด้วยนะ
ทั้งหมดที่ว่ามา ก็เลยไม่ได้ปักใจฟันธงไปซื้อนาฬิกาฉลาดของเจ้าไหนสักที
นี่เราไม่พูดถึงนาฬิกาแอปเปิลที่เขาว่าเดิมพันกันสุดขั้วจะให้เป็นอนาคตของบริษัทนั่นนั่นละกันนะ ไม่มีความเจ๋งเลยสักนิดอะ ถึงขนาดได้มาฟรีก็เอา (เอามาขายต่อ ได้ตังค์ เย้)
อ้อ อันที่ไม่ใช่ Android Wear แต่พอเข้าเค้าก็คือ Samsung Gear Fit ชอบที่มันราคาไม่แพงและเล็กดี แถมเรายังใช้มือถือยี่ห้อนี้ด้วย มันน่าจะทำอะไรๆ ร่วมกันได้พอสมควร แต่ก็ไม่เห็นคนรอบกายใช้ เลยไม่กล้าแทงข้างนี้
กลับมาที่คุณมะเดี่ยว
อีเดี่ยวใช้ Pebble รุ่นคลาสสิกเลยมั้ง ผมสนใจตั้งแต่สมัยเขาเปิดระดมทุนแล้ว เลยถามเรื่องสรรพคุณดู ก็ได้คำตอบเรื่องสเป็กนั่นนี่อย่างที่เคยอ่านมาตามเว็บข่าว-รีวิวสินค้าไอทีนั่นแหละ แต่เคยเห็นของจริงแค่ผ่านๆ ไม่ได้ลองจับลองกดบี้ขยี้ขยำเหมือนอันนี้ ซึ่ง เฮ้ย ของจริงมันดูโอเคกว่าที่อ่านๆ มาแฮะ
เอาเป็นฟีเจอร์คร่าวๆ ละกันนะครับ ใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะไปหาอ่านสรรพคุณที่อื่นที่เขาตั้งใจเขียนดีๆ ได้เนอะ
บอกเวลาได้ (…)
ทำงานร่วมกับแอปในมือถือได้ ตั้งค่า และซิงก์นั่นนี่ข้ามกัน
ลงแอปได้ เป็นแอปสำหรับ Pebble โดยเฉพาะ ไม่ค่อยเยอะแต่ก็สนองเจตนารมณ์พื้นฐานได้ คือไม่ได้พยายามจะเป็นมือถือในรูปของนาฬิกา แต่มันคือนาฬิกาสำหรับคนมีมือถืออยู่แล้วไง ดังนั้นอยากเวอร์ไปเวอร์ในมือถือนู่น อันนี้ลงมากเดี๋ยวแบตหมดไว
เปลี่ยนดีไซน์หน้าปัดได้ มีแบบเยอะแยะให้เลือกโหลด หรือถ้าพลังเยอะก็ออกแบบเองได้
เออ ตัวหน้าปัดนี่ไม่ได้อะไรมากหรอก ก็เป็นจุดๆ ขาวดำ รุ่นใหม่ขึ้นมานิดนึงก็มีสีด้วย แต่เป็นจอแบบ E-ink ซึ่งแสดงหน้าปัดค้างไว้ได้ตลอดโดยไม่ได้ใช้ไฟฟ้า จะใช้ก็แค่ตอนเปลี่ยนจอหรือขยับดุ๊กดิ๊ก ให้ความรู้สึกเหมือนพก Kindle ไว้บนข้อมือ
หน้าจอมันเห็นชัดแม้ไม่มีแสงไฟ แต่ถ้าอยากเห็นชัดกว่านั้นก็สะบัดข้อมือ แสงจะแวบออกมา (ค่าดีฟอลต์คือ 3 วินาที แล้วจะดับไปเองเพื่อเซฟแบต) อันนี้ยิ่งเห็นชัด ชัดขนาดเป็นไฟฉายตอนอุ้มลูกไปฉี่กลางดึกได้เลย
กันน้ำ แต่เวลาอาบน้ำผมก็ถอดอยู่ดี ไม่ชอบเวลามันเปียกเหนอะหนะง่ะ
มีฟีเจอร์นับก้าวได้ ตั้งใจไว้แม่นมั่นว่าถ้าได้ใส่แล้วจะเดินให้ไดวันละหมื่นก้าว แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ถึง เป็นกรรมของคนทำงานเลี้ยงลูกเล็กอยู่บ้าน #ข้ออ้าง
ทดลองมาหลายวันพบว่าแบตมันอึดใช้ได้ นี่ใช้มาจะครึ่งเดือนแล้วมั้ง ชาร์จไป 2 ครั้ง (รวมครั้งแรกที่ลองชาร์จเล่นๆ)
คุณมะเดี่ยวบอกว่าข้อดีที่สุดของมันคือการสั่นปลุก ถึงจะฟังดูธรรมดา แต่เฮ้ย มันโอเคว่ะ คือเราตั้งค่าให้มันทำงานร่วมกับแอป Sleep as Android ให้มันปลุกตอนเราใกล้ตื่น อยู่ในระยะหลับตื้น ก็ตื่นมาสดใสปิ๊งปั๊ง อันนี้ลองแล้วบุ๋มว่าดีค่ะ
นอกนั้นก็คือการสั่นเตือนธรรมดาอย่างที่นาฬิกาไฮเทคทั่วไปพึงมี เช่นมีคนโทรเข้ามา แสดงบนหน้าจอว่าใครโทรมา จะกดตัดสายเลยก็เชิญ หรือกดปุ่มลัดให้มันส่งข้อความกลับไปว่างั้นงี้ได้ (โปรมือถือที่ใช้ดัน SMS ไม่ฟรี เลยไม่ใช้อันนี้)
แล้วก็ อะไรอีกวะ อ้อ มันแสดงโนติจากแอปต่างๆ เวลามือถือเด้งแอปไหนมันก็จะสั่นหงึกๆ เรียกให้ไปมองจอ เหมาะกับคนติดโซเชียล แต่ไม่เหมาะกับเรา เลยปิดให้หมด (เลือกปิดได้)
ทั้งนี้ ผมซื้อรุ่น Pebble Time สีดำธรรมดาๆ มาตอนมันจัดโปรลดราคา ส่งเข้าไทยแบบลงทะเบียนธณรมดา กะว่าเดี๋ยวศุลกากรคงเรียกภาษีเพิ่ม (เห็นใครไม่รู้บอกว่า 9 ใน 10 คนจะโดน ก็โอเคตามกติกานี้) ปรากฏว่าไม่โดนเพิ่มแฮะ เลยสรุปได้มาในราคาสุทธิประมาณ 5,000 บาทหน่อยๆ
ก็บอกเมียไปว่าจะเริ่มออกกำลังกายง่ายๆ แล้วนะ (เอาเรื่องนี้บังหน้าก่อนพูดเรื่องนาฬิกา) เมียเลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวเมียจะซื้อกระเป๋ากับ SK-II (อะไรสักอย่างนี่แหละ) บ้างเพื่อความสมดุล
อั้ก
เมื่อบ่าย เมียบอกซื้อ SK-II กับกระเป๋า เดี๋ยวลงบัญชีเอง (ที่บ้านผมเป็นคนลงบันทึกรายรับรายจ่ายครอบครัว) แหมไอ้เราก็คิดว่าก็ดี สบาย ที่ไหนได้…
— 囧 (@iannnnn) February 10, 2016
February 11, 2016
ลองเรียก lalamove มาขนตู้เย็น
พอดีซื้อตู้เย็นใหม่มาครับ เลยจะส่งตู้เดิมไปบ้านแม่ยายที่ปทุม สอบถามราคาเปรียบเทียบจากรถขนส่งดูแล้วก็พบว่า มันตั้ง 1500 บาทแน่ะ เลยไม่สู้
พลันนึกขึ้นได้ว่ามีบริการเจ้านึงที่อยากลองใช้มานาน คือ lalamove เพราะชื่อมันน่ารักดี แต่คนรอบกายที่รู้จักยังไม่เคยมีใครใช้เลย จึงไม่มีรีวิวออกมาว่ามันดีหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่ามันน่าจะคล้ายๆ Grab (Taxi) เวอร์ชันขนของ
เลยลองโหลดแอปมา เออ แอปใช้ง่ายดี นี่เป็นตัวตัดสินของเราเลยนะ บางเจ้าดูดี๊ดูดี แต่แอปห่วยมาก (อย่าง All Thai Taxi งี้) ก็เลยไม่เคยได้ใช้ เป็นความโรคจิตอย่างนึง
พอกดเข้าไป เลือกประเภทรถ (เขามีแว้นไว้ส่งคนหรือเอกสาร, รถห้าประตูไว้ขนของเล็ก, รถกระบะไว้ขนของใหญ่) เสร็จแล้วก็ระบุปลายทาง ไม่ต่างจากพวก Uber หรือ Grab เลย กดเสร็จก็มีคำนวณมาให้ว่าค่าส่งกี่บาท ของผม 912 บาท เห็นออปชันเสริมเป็น ขอคนแบกของด้วยคนนึง (เพิ่ม +100 บาท) ก็โอเค ดีลเลย
พอเฟ้นหาคนขับนี่แหละครับเจ๋ง อย่างแอปเรียกแท็กซี่ทั่วๆ ไป มันจะหมุนๆๆ ไปวิ้งๆ ที่คนขับใกล้ๆ แล้วกดตอบรับสู้กันใช่มะ ใครได้ก็จะเด้งชื่อเบอร์โทรมาที่เรา แต่อันนี้พอได้คนขับแล้ว จะมีเสียงดนตรีดังขึ้นเป็น แท้มแท้มแท้มแถ่มมมมม
โอ้โห แกรนด์สัสๆ
ผมไม่ได้รอให้คนขับโทรมาก่อน พอดีอยากรู้เลยกดโทรไปเอง ก็คุยกันปกติ รอครึ่งชั่วโมงรถก็มาถึง มีคนขับท่าทางสุภาพแต่ทะมัดทะแมง พร้อมภรรยาหนึ่งหน่วย (ราคา 100 บาท ซึ่งดูหน่วยก้านแล้วภรรยาน่าจะยกตู้เย็นทั้งตู้ได้ด้วยมือเปล่าเลยแหละ)
ต่อไปเป็นบทสนทนา
ผม: ปกติพี่ขับรถส่งของอยู่แล้วใช่ไหมครับ
พี่: ใช่ครับ
ผม: แล้วนี่เขาโทรหาหรือแอปมันดังอะพี่ (ผมคิดเอาเองว่าคงไม่ค่อยมีคนใช้แอป)
พี่: แอปดังครับ
ผม: ปกติมีคนเรียกผ่านแอปบ่อยไหมครับ
พี่: เยอะครับ ส่วนมากจะเป็นพวกออแกไนซ์
ผม: อ๋ออออออออ
ดีครับ ชอบบริการอะไรแบบนี้ ช่วยพาผู้บริการ (หรือผู้ผลิต) มาพบผู้บริโภคได้ ลดขั้นตอนการเจรจาและระวังระแวงเรื่องคุณภาพสินค้าและงานบริการ ยังไงก็ช่วยมีอีกเยอะๆ นะครับ
February 2, 2016
พี่แอ๋วผู้ใช้ดีแทค
แม้บ้านผมจะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เรื่องน่าแปลกใจก็คือ พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน สัญญาณดีแทคจะหายไปเลย
เหมือนเป็นคำสาป แต่ก็เป็นมาตลอดเกือบสิบปีที่อยู่บ้านนี้มา ที่จริงก็ควรจะสร้างความลำบากให้กับญาติมิตรแขกเหรื่อที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆอยู่หรอกนะ
แต่พอมานึกดู เหล่าญาติมิตรแขกเหรื่อที่มาหาบ่อยๆ ก็แทบไม่มีใครใช้ดีแทคเลย
มีแต่พี่แอ๋ว (คนเดียวกับที่โดนผีเด็กหลอกคราวก่อน) ที่พอมาช่วยเลี้ยงเด็กทีไร ก็ต้องเอาโทรศัพท์โนเกียเครื่องนั้นวางไว้หน้าบ้านเสมอ พอมีคนโทรเข้ามา แกก็จะวิ่งๆๆๆ ออกมารับสายแล้วไปยืนเว้าอยู่หน้าบ้าน อันนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นกันชินตา
ที่ผ่านมาเวลาพี่แอ๋วโทรหาใคร แกมักจะใช้วิธียิงให้โทรกลับเสมอ
ก็เข้าใจแหละว่างบน้อย ต้องใช้สอยอย่างฉลาด แต่ผมก็สงสัยเข้าจนได้ว่าเอ๊ะ คนที่ใช้ชีวิตในระบบ 2G เท่านั้นเนี่ย เขามีวิถีการดำรงชีวิตอย่างไร แล้วเคยคิดจะย้ายค่ายไหม เลยไปถามแกมา และได้คำตอบดังนี้
ใช้มาหลายปีแล้ว เป็นสิบปีแล้วมั้ง
แบบเติมเงินสิ โปรอะไรไม่ได้จำหรอก
เติมเดือนละ 2-300 บาท (ผม: โอ้โห) ไม่ๆๆ แล้วแต่ บางเดือนก็ไม่ถึง
(ไม่คิดจะย้ายค่ายเหรอ ช่วงนี้มีโปรย้ายค่ายเพียบเลย ราคาที่พี่จ่ายนี่ได้โปรดีๆ เยอะเลยนะ เผลอๆ ได้เครื่องมาเล่นไลน์ฟรีด้วย) … ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปย้าย
คลื่นก็ไม่ค่อยจะมีหรอก ที่สกลน่ะต้องใช้เอไอเอส ดีแทคหมดสิทธิ์ แต่ไม่เป็นไรเพราะพอกลับบ้านก็ไม่ได้จะโทรหาใครหนิ
บางเดือนเติมร้อยเดียว บางเดือนไม่ต้องเติมก็อยู่ได้ เพราะ “วัน” มันเหลือ นี่เหลือเป็นปีเลยนะ
เวลาเติมเงินก็เติมตู้ (ตู้บุญเติมหน้าเซเว่น / โลตัสเอ็กซ์เพรส) น้อยๆ ก็เติมได้
เมื่อก่อนพี่โทรกลับบ้านก็หยอดเหรียญเอาใช่มะ แต่เดี๋ยวนี้ตู้หยอดเหรียญมันหายากมากแล้ว (เออจริง ผมแทบไม่ได้สังเกตเลย) ตอนนี้ก็ใช้วิธีไปเติมที่ตู้เติมเงินมือถือนี่แหละ หยอดสิบบาทก็โทรไปเลยให้หมด เหมือนกับสมัยที่ใช้โทรตู้หยอดเหรียญเอา รู้สึกจะถูกกว่าด้วย
ประมูลคลื่น 900 MHz ที่ผ่านมาเนี่ยเหรอ ที่จริงพี่เก็งไว้ว่าเอไอเอสกับดีแทคจะได้นะ คือเอไอเอสนี่เงินเขาเหลือเฟือ ส่วนดีแทคน่าจะต้องสู้ให้ได้มาแหละเพราะสัมปทานในมือกำลังจะหมดแล้ว ทีนี้เกมกลายเป็นว่าการประมูลดันออกมาประหลาด แล้วนี่ล่าสุดตามข่าวโทรคมนาคมก็ยังเสียวว่าแจ๊สจะเบี้ยวไหม ส่วนทรูพี่ว่าเขาก็ดิ้นหาวิธีระดมทุนจนได้แหละ จะขาดทุนหรือยังไงอย่างน้อยเขาเทมาทางนี้แล้ว ก็ต้องเร่งสร้างอีโคซิสเทมส์ให้ครบอยู่ดี ไม่งั้นไปต่อไม่ได้
ข้อสุดท้ายพี่แอ๋วไม่ได้พูด


