iannnnn's Blog, page 13
February 9, 2015
แค่พูดว่า
แนะนำให้เปิดทำนองแล้วอ่านเนื้อตาม ร้องเสียงบีบๆ ตามแบบบอยตรัยนะครับ
.
ฉันนั่งอยู่ตรงที่เดิม เวลานี้
ทุกอย่างก็ยังดูคล้ายๆ เดิม แต่ไม่ดี
ในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างไน
มีใครมารออยู่ท่าทาง
จะราดแล้ว เคาะรัวโป้งป้าง
ประตูกั้นกลางระหว่างเธอและฉัน
รอเพียงเวลาเท่านั้น
ราวกับความฝันที่มันอ้างว้าง
แค่พูดว่ารอก่อน ทำไมยากอย่างนี้
อยากบอกเธอว่าเดี๋ยวสิ แค่นี้ยังพูดไม่ไหว
เพิ่งโดนส้มตำปู นี่กูก็เพิ่งอุ๊จไม่เท่าไหร่
ต่อให้เจ็บก็ต้องฝืน ไม่มีทางอื่นใช่ไหม
แค่รอคิวเดียว จะเบ่งให้ส้วมกระจุยกระจาย
แต่มึงต้องรอก่อน
…
ใกล้แต่ทำไมเหมือนหัวใจช่างห่างไกล
เหมือนเพลงที่รอเพียงให้ถึงท่อนสุดท้าย
ในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างใน
รู้ไหม เข้าใจเธอทุกอย่าง
เธอก็นะ เห็นใจฉันบ้าง
ยิ่งโครมยิ่งคราง
แต่พอเธอรัวแล้วฉัน ขี้หดหมดเลยซะงั้น
ราวกับกดดันให้มันอ่างอ๊าง
แค่พูดว่ารอก่อน ทำไมยากอย่างนี้
อยากบอกเธอว่าชั้นสี่ ก็มีนะห้องน้ำชาย
ห้องนี้ขอกูก่อน จะทุบห้องแบบนี้ถึงเมื่อไหร่
ต่อให้ขี้แตกก็ต้องฝืน ได้ดูคนยืนขี้ไหล
แค่คิวคิวเดียว มึงอยากจะเร่งก็ทำต่อไป
…
แค่คำคำเดียว แต่ก็ไม่กล้าพูดมันออกไป
แค่คำว่ากูก่อน
The post แค่พูดว่า appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
February 1, 2015
ลาดปลาเค้าไม่ใช่ของเรา …คืนเขาไปเถอะ
สลับโหมดมาบ่นเรื่องท้องถนนอีกที
เมื่อไม่นานมานี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจรได้แก้ปัญหารถติดบนเส้นเกษตรนวมินทร์ ด้วยการยกเลิกสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกลาดปลาเค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยทำแบบเดียวกันนี้มาแล้วกับแยกลาดปลาเค้าฝั่งที่ตัดกับถนนรามอินทรา ก็คือใครที่คิดจะออกจากลาดปลาเค้าและข้ามไปฝั่งวังหิน หรือเลี้ยวขวาไปแยกเกษตร ก็จะต้องเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดและปาดเข้าขวาในระยะ 300 เมตร แล้วค่อยยูเทิร์น
ผลคือการจราจรโดยรวมโล่งขึ้น คล่องตัวขึ้นนิดนึง (เพราะไปติดข้างหน้าเหมือนเดิม) แต่นั่นหมายถึงชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ขับขี่รถยนต์เท่านั้นครับ
ให้นึกภาพดูว่ารถยนต์ที่วิ่งมาบนถนน (กี่เลนวะ เอาเป็นว่าเยอะ) ผ่านแยกนี้ซึ่งเป็นอยู่ถัดจากสะพานข้ามคลองมาปั๊บ ก็เจอเลย นั่นแปลว่ามันน่าขับเหยียบเต็มที่มาก ถนนสวย ผิวดี ตีโค้งนิดๆ โอ้โห เหยียบเต็มครับ เต็มกันทุกคัน ไม่มีไฟแดงที่เคยเป็นที่น่ารำคาญแล้วด้วย
แต่!!!! ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นคือเสียงดังจากฝั่งผู้ขับขี่บนเส้นทางหลักเท่านั้นครับ จะว่าให้เจาะจงลงมาอีก ก็คือการปิดสัญญาณไฟจราจรนี้ มันอำนวยความสะดวกเฉพาะคนมีรถยนต์ (หรือนั่งแท็กซี่) เท่านั้น
อะ ทำภาพมาประกอบก็ได้ สังเกตว่าโค้งที่มาจากเกษตร (ด้านซ้ายของแผนที่) นั้นมันช่างสวยงามน่าเกยียบให้มิดตีนเสียจริง
ลองนึกภาพต่อเลยครับว่าถ้าเราขับ(หรือขี่)ออกมาจากเส้นลาดปลาเค้าที่เป็นถนนรองมาจากด้านบนขวาของภาพใช่มะ เพื่อจะปาดเข้าชิดเลนขวา “ทันที” บนถนนใหญ่ในระยะ 300 เมตร แล้วยูเทิร์น เพื่อวนทวงระยะ 300 เมตรคืนมา แล้วปาดซ้ายอีกทีเพื่อไปวังหิน หรือจะเลือกตรงไปแยกเกษตร สถานการณ์แบบนี้อันตรายมากครับ ถ้าไม่อยากนึกภาพ ลองมาดูได้ ตอนเย็นๆ ทุกวัน มีช็อตโหดๆ จากพี่กระป๊อให้เห็นบ่อยๆ
ที่พูดมาทั้งหมดก็ยังเป็นเรื่องของรถยนต์ต่อรถยนต์นะครับ เราเกิดมาในวัฒนธรรมรถยนต์เป็นใหญ่ เวลาเขาออกแบบ หรือแก้กฎกติกาอะไร มันก็ต้องเอื้อต่อรถยนต์ (และลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เป็นผลพวงต่อการเอื้อนี้) เป็นธรรมดา
ไม่นับคนเดินเท้าหรือจักรยาน ที่เมื่อนับศักดิ์บนถนนแห่งนี้แล้ว จากเดิมที่เป็นแค่หมา แต่เดี๋ยวนี้คุณค่าของชีวิตเหลือเพียงแค่จุลินทรีย์ที่เกาะอยู่ตรงซอกขวาของเห็บหมาเท่านั้นเอง
เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้คนเดินเท้าเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไป แม้จะมีทางม้าลาย แต่แล้วไงล่ะ ในเมื่อไม่มีไฟแดงให้รถหยุด และความเร็วบนผิวจราจรบนเส้นนี้ก็โหดเหี้ยไม่น้อย นั่นคือต้องเสี่ยงดวง และรอจังหวะรถว่าง(สักนิดนึง) แล้วค่อยใส่เกียร์หมา อัดสปีดวิ่งข้ามทางม้าลายกันเอาเอง …อย่าลืมว่ามันเป็นถนนที่เพิ่งพ้นโค้งมานะครับ
และจักรยาน — วันนี้ผมเพิ่งขี่ปั่นข้ามไปฝั่งวังหินเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาปิดไฟแดงมา — ก็เลยพบว่า ชีวิตมันบัดซบมากๆ จากแต่เดิมที่ลัดเลาะแทรกระหว่างคันรถตอนรอไฟแดงเพื่อมายืนพักไข่อยู่บรรทัดหน้า แต่ตอนนี้คือไม่มีไฟแดง และต้องปาดในระยะ 300 เมตรเหมือนกัน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไอ้บ้า!!!!!!!!!!! อีกรวยไต!!!!!!!!!!!! นึกภาพไม่ออกเลยครับว่าชีวิตจะปลอดภัยได้ยังไงเฮ้ย
แต่วันนี้ก็ทำไปแล้วครับ
นั่นยังดีที่จักรยานของผมค่อนข้างปั่นง่ายหน่อย ถึงจะเป็นรถพับเล็กๆ ก็ตาม แต่มันก็ยังมีเกียร์ถึง 7 เกียร์ หรือวันไหนไม่อยากปั่นแล้วก็ยังเลี่ยงไปขี่ฟีโน่ได้ (ก็ยังอันตราย แต่มันบิดเร่งปาดขวาได้เร็วกว่าจักรยาน)
แล้วรถป้าๆ น้าๆ ลุงๆ ที่เขาใช้ปั่นทำมาหากินล่ะ อันนี้หมดสิทธิ์นะครับ จะให้ปั่นไปไกลๆ แล้วแบกขึ้นสะพานลอย (นับเป็นสิ่งที่เหี้ยมากในมุมมองด้านฟังก์ชันสถาปัตยกรรม) แล้วแบกลงอีกงี้เหรอ
เชี่ย บัดโซ้บบบบบบ
แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละ (นอกจากบ่นมึงทำอะไรได้มั่ง? แจ้งเขาไปสิ) อ๋อ แจ้งแล้วครับ เคยร่วมลงชื่อร้องเรียนแล้วกับกลุ่มเพื่อนบ้าน แต่ก็เงียบไป เป็นที่เข้าใจได้นะ เวลา “เขา” (ใคร) มองก็คงยึดเอาความสะดวกในภาพรวม (ซึ่งหมายถึงรถยนต์) มากกว่าอะไรที่เป็นสเกลเล็กๆ อย่างคนเดิน หรือจักรยาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่ขับรถยนต์ นี่แหละ แต่เผอิญว่าบ้านอยู่บนถนนเส้นรองที่ถูกท่านๆ กำหนดชะตาชีวิตมาแล้วว่า
มึงเสี่ยงเอาเองนะ :)
ป.ล.
แยกลาดปลาเค้าตัดรามอินทราก็เช่นกันครับ ก่อนหน้านี้นานๆ ทีผมจะแว้น หรือปั่นข้ามไปฝั่งตรงข้าม เขามีสวนกีฬารามอินทรา ซึ่งชิลมาก โคตรชิล สามารถพาลูกไปได้ทุกวันเลยเถอะ แต่พอยกเลิกไฟแดงฝั่งนั้น อย่าว่าแต่จักรยานเลย (ว่าซะหน่อยก็ได้ ผมไม่สามารถจูงรถเดินข้ามถนนรามอินทราได้อีกเลย เพราะถนนเส้นหลักแน่นและขับกันเร็วมาก ต้องเดินไปไกลประมาณ 1-200 เมตรเพื่อแบกรถขึ้นสะพานลอย เห็นไหมว่ากรณีเดียวกับฝั่งเกษตรนวมินทร์เป๊ะๆ) อย่าว่าแต่จักรยานเลย ขนาดแว้นเองยังข้ามไม่รอด ต้องเล็งดีๆ มากๆ ถึงจะปาดเข้าซ้ายได้ แต่ก็ไม่คุ้มเสี่ยง ทุกวันนี้เลยไม่ไปละ ถ้าไปคงขับรถยนต์พาลูกไป ถึงจะอ้อมไกลหน่อยก็ไม่ซีเรียสนะ น้ำมันถูกนี่ ขับแม่งให้โลกร้อนตายห่ากันให้หมด
ป.อ.
เมื่อวานไปดูฮิโชว์ที่ชาชดำเนิน ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพอดี อันนี้ผมแว้นไปนะครับเพราะมีเวลาปั่นไม่พอ และก็ไม่อยกขับรถยนต์ไปเพราะมันไม่ชิล ปรากฏว่าเลนจักรยานสีเขียวตลอดเส้นราชดำเนิน ก็กลายเป็นที่จอดรถยนต์อย่างที่เห็นเขาด่าๆ กันนี่แหละ เห็นแล้วก็คิดในใจว่าไอ้เหี้ยเอ๊ย แล้วส่ายหน้า แล้วแว้นต่อไป
ป.ฮ.
เออ แต่พอแว้นไปถึงท่าช้างสนามหลวง แล้ววนมาราชดำเนินอีกที ถึงจะเป็นช่วงดึกแล้ว (หลังสามทุ่ม) แต่ก็พบว่ามีปริมาณคนขี่จักรยานเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ ซึ่งดีไง ช่วยกันแสดงตน แสดว่าเรามีตัวตนแบบนี้ดีแล้วครับ เผื่อวันหนึ่ง… เผื่อวันหนึ่ง… โวะ ไม่ฝันดีกว่า
The post ลาดปลาเค้าไม่ใช่ของเรา …คืนเขาไปเถอะ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 28, 2015
ยุคที่เราจะเป็นง่อยได้มาถึงแล้ว
#โหมดพ่อบ้าน
ก่อนหน้านี้เวลาไปซื้อของอะไรมาเติมในบ้าน เช่นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น ผ้าอ้อมเด็ก ยาสระผม ฯลฯ วันนั้นทั้งวันจะอุทิศตัวให้กับการไปเดินบิ๊กซีแถวบ้านครับ โดยฝากตัวเล็กไว้ที่บ้าน แล้วพาตัวใหญ่ไปกินเอ็มเคก่อน พออิ่มแล้วก็พาไปซื้อไอติม หลังจากนั้นพิธีกรรมการเดินบิ๊กซีค่อยเกิดขึ้น ซึ่งก็หมดไปประมาณครึ่งค่อนวัน
ก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อของออนไลน์จาก Lazada ดู ก็พบว่ามันสะดวกดีแฮะ ไม่ต้องถ่อเข้าไปในเมือง เสียเวลาเป็นวันและเสียค่าเดินทางเยอะแยะเพื่อให้ได้มา เอาส่วนต่างราคานั้นมาโยนเป็นค่าของในเว็บนี้ดีกว่า ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าดี ถึงจะยังรู้สึกตงิดๆ นิดนึงตรงที่ของที่ซื้อมันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาหลายบาทอยู่ แล้วผมจ่ายตังค์ไปโดยไม่ได้จับของจริง ก็เลยพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากว่ามันทดแทนวิธีการซื้อของแบบออฟไลน์ได้จริงๆ นัก
จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย
ย้อนไปนิดนึงครับ เมียผมนี่เป็นสลิ่มเต็มขั้น รักเซ็นทรัลพอๆ กับบ้าน มีความสุขที่ได้สัมผัสอากาศสังเคราะห์ผสมกลิ่นรองเท้ากระเป๋าในนั้นโดยมีลูกผัวเดินตามต้อยๆ แถมเมียยังทำบัตรเครดิตของเซ็นทรัล (ที่ให้วงเงินกากมาก) มาด้วยความจงรักภักดี ถึงแม้จะบ่นเรื่องวงเงินจนจะเอาไปปาทิ้งหลายที แต่ด้วยความรักในยี่ห้อห้างแห่งนี้ เมียเลยยังโอเค ไ่ว่าจะซื้อของกิน ของใช้ในบ้านที่บิ๊กซีโลตัสแถวบ้านมี ก็ยังจะหาเรื่องไปเซ็นทรัลจนได้ ซึ่งจะว่าไป อีผัวก็แฮปปี้ดีเพราะอาหารตาแถวนั้นเยอะเหลือเกิน #แฮ่กๆๆ
แต่มันจะไม่แฮปปี้ก็อีตรงสภาพการจราจรระหว่างบ้านถึงห้างนี่แหละครับ ที่ไม่รู้ว่ามันจะติดอะไรกันนักกันหนา ขนาดค้นพบว่าต้องไปช่วงวันธรรมดาตอนสายๆ ถึงรถจะโล่ง จอดง่าย แต่พอเมียดำผุดดำว่ายในห้างเสร็จ นอกจากจะเสียค่าจอดรถแพงสัสแล้ว ช่วงบ่ายที่ออกมาก็ยังจะต้องพบสภาพการจราจรที่โหดร้ายอีก บัดซบ เกลียดมัน (เกลียดห้างนะไม่ใช่เกลียดเมีย)
จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย
ผมก็ อะไรวะ (นึกในใจสิ บ้า ใครจะไปพูด) นี่อาการหนักขนาดซื้อออฟไลน์เสร็จแล้วยังมาออนไลน์อีกเรอะ
ก็เลยกดดูในหมวดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก เพื่อจะพบว่า แม่งโคตรถูกเลยโว้ย! ถูกกว่าบิ๊กซีอีก! (พ่อบ้านที่แท้จริงจะต้องจำราคาพร้อมส่วนลดที่บิ๊กซีได้เสมอ) ก็เลยกดซื้อไป อ้าวอะไรวะ มีโค้ดส่วนลดอีก! แล้วนี่ เฮ้ย ส่งฟรีอีก! (ในเว็บบอกว่าซื้อ 499 บาทขึ้นไปส่งฟรี ซึ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปห่อเดียวก็เกินแล้ว)
เท่านั้นยังไม่พอ อีตอนส่งฟรีก็มีโทรนัดหมาย มีใบเซ็น ใบเสร็จ มีกล่องพัสดุ หุ้มเม็ดพลาสติกกันกระแทก พร้อมใบรับประกันคืนเงินถ้าสินค้าไม่สมบูรณ์
บั้ลแล้วววววว
จบครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาของใช้สิ้นเปลืองในบ้านหมดลง สลอธอย่างผมก็จะเปิดเว็บ แล้วกดซื้อ และรอโทรศัพท์จากพนักงานส่งในวันถัดไป แล้วจะไม่ให้ง่อยแดกได้ยังไงครับ
ป.ล.
มีครั้งหนึ่งไปเดินบิ๊กซี (ก็ยังไปอยู่นะเพราะเว็บออนไลน์ไม่มีของสด) นึกได้ว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปหมดเลยแวะไปดูว่ามีส่วนลดเยอะๆ ไหม พบว่าเซ็นทรัลถูกกว่า ก็เลยเปิดมือถือ นั่งกดเว็บเซ็นทรัลแม่งในบิ๊กซีนั้นเลย เอ๊ะบิ๊กซีกะเซ็นทรัลนี่ญาติกันใช่ไหม เขาคงไม่ถือมั้ง…
ป.อ.
เออ จะว่าไปยังไม่เคยซื้อจากบิ๊กซีออนไลน์เลย เห็นว่าซื้อหลักพันแล้วเขามาส่งถึงบ้านเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ถึง ก็นัดรับสินค้าที่เคาน์เตอร์ได้เลย คือพนักงานจะไปหยิบๆ มาให้แล้วรวมใส่รถเข็นมั้ง? (นึกภาพคราวหน้าไปบิ๊กซี กินเอ็มเค ระหว่างรอก็กดช็อปในเว็บไปด้วยงี้ พออิ่มก็ขึ้นไปเอาตะกร้าเลย บ้าจริง 5555)
ป.ฮ.
บล็อกตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่เที่ยง พอดีลูกเมียมาเลยยุ่งทั้งวัน เพิ่งว่างเขียนต่อตะกี้ ประเด็นคือเมียบอกเมื่อตอนเย็นว่าเดี๋ยววันจันทร์จะไปทำผมที่เซ็นทรัล..
The post ยุคที่เราจะเป็นง่อยได้มาถึงแล้ว appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 26, 2015
เอาซะหน่อย
ที่มาของภาพจากข่าวนี้ครับ: ‘ประยุทธ์’สวมชุดข้าราชการครั้งแรก
.
.
เป็นภาคต่อจากอันนี้นะ
เห็นแล้วมันอดเติมตัวอักษรลงไปไม่ได้จริงๆ
#รีบหนีไปเขมร pic.twitter.com/ljQOaJrs37
— 益 (@iannnnn) September 28, 2014
ถ้าไม่รอดยังไงก็เตรียมพบ iannnnn.com V2 ครับ
The post เอาซะหน่อย appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 23, 2015
นิทานกับแม่ห่าน
อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)
พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้
แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน
เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ
แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ :D
เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)
ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ
ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555
เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ
ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555
เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555
ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ
การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่
ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต
เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน
The post นิทานกับแม่ห่าน appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 22, 2015
ผมเป็นฮิปสเตอร์
ถึงมันจะเป็นเรื่องซ้ำซากที่ฉายวนเวียนมาทุกๆ สิบปี โดยเปลี่ยนเพียงชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็กฮาร์ด อัลเตอร์ อินดี้ เด็กแนว หรือล่าสุดที่เห็นแซะกันอยู่ในไทม์ไลน์อยู่ทั้งวันทุกวันโดยเฉพาะในช่วงนี้ ก็คือคำว่าฮิปสเตอร์
แต่เวลาได้อ่านข้อความจากคนที่เชื่อว่าตัวเองรู้ว่าฮิปสเตอร์คืออะไร และอย่ามาเสือกแปะป้ายให้คนอื่น(กู)เป็นฮิปเตอร์ด้วยความเข้าใจแค่นั้นของมึง อะไรแบบนี้
ผมแม่งบันเทิงมาก
ความบันเทิงนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยที่คำว่าเด็กแนวกลายเป็นคำที่เอาไว้ครอบสวมให้คนบางกลุ่มบางพฤติกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดความนั่นแหละครับ
เฮ้ยมันบันเทิงจริงๆ นะ เวลาอ่านบทความจากอีพวกชอบจัดกลุ่มคน ว่าคำคำนี้จะต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ กินแบบนี้ อ่านแบบนี้ งานอดิเรกแบบนี้ ติดสัดฤดูนี้ แล้วเอามาดูว่ามันเข้ากับตัวเองข้อไหนบ้าง (ไม่ค่อยเข้าเลย เสียใจ) และเข้ากับจินตนาการของผู้จัดกลุ่มเองว่าอย่างไรบ้าง มันสนุก มันได้อรรถรสดีจะตาย
เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ กับวัฒนธรรมสมัยใหม่บนโลกที่มันเหวี่ยงหมุนมาเชื่อมกันแน่นเป็นหมอยติดสบู่แบบนี้ ยังไงชีวิตก็ต้องโคจรไปโดนบุคคลประเภทที่ใช่ และไม่ใช่เราอยู่ดี
เอาจริงๆ ผมเกลียดอีพวกชอบจัดกลุ่มเหมือนกัน แต่ในทรรศนะของพวกเขา มันก็ง่ายดีเวลาจะสรุปอะไรด้วยประสบการณ์การมองโลกของเขา
แต่ถ้ามองจากมุมของคนที่เกลียดการโดนครอบด้วยคำศัพท์อะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่กู 100% แต่สุดท้ายก็โดนลากเข้ามาเป็นกูจนได้ แบบนี้ก็เข้าใจได้อีกเช่นกันว่าแม่งน่ารำคาญชะมัด
คุณเคยอยู่ดีๆ ก็โดนคนที่ไม่สนิทกันมาเหมาว่าเป็นสลิ่มไหมครับ?
เสื้อแดงล่ะ ริเบอร่านล่ะ ไดโนเสาร์ล่ะ แมลงสาบล่ะ ควายล่ะ ชนชั้นกลางล่ะ ต่ิงล่ะ สาวกล่ะ ฯลฯ
คำพวกนี้ถ้ามันออกมาจากปากคนที่เราไม่สนิทสักหน่อย ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันแหละครับว่า ควยเอ๊ย (นี่คือแบบสุภาพแล้วนะ) มึงรู้จักกูดีแค่ไหนเชียวที่เอาป้ายมาแปะให้กูแบบนี้
ซึ่งนั่นก็จงเข้าใจได้เช่นกันว่ามันก็เกิดกับทุกวงการแหละ ไม่ได้เฉพาะฮิปสเตอร์ที่กำลังแซะกันสนุกสนานนี่หรอก ลองนึกย้อนไปในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองดุเดือดกว่านี้ อันเฟรนด์กันรัวๆ ด้วยวาทกรรมจากแกนนำม็อบ ช่วงนั้นแค่คนที่ “ไม่ใช่พวกเรา” มาเรียกเราด้วยอะไรสักอย่าง แม่งปี๊ดกันกว่านี้เยอะเลยนะครับ
เช่นเดียวกับฮิปสเตอร์ที่มีหลายคนเดือดแค้นกับมันมาก บางคนปกป้อง ไม่อยากให้คำซึ่งมีความหมายคงเดิมจากต่างประเทศอยู่แล้วมันด่างพร้อยสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ (เชี่ย ฮิปสเตอร์แบบหีนยาน)
บางคนก็เข้าใจแต่ก็อดบ่นไม่ได้ว่าที่จริงกูเป็นแบบนี้ของกูมานานแล้ว กูถ่ายรูปเว้นที่ว่างเยอะๆ กูทำหน้าปวดเยี่ยวใส่กล้อง กูอ่านเล่มนี้ กูเลี้ยงสิ่งนี้ กูกินไอ้นี่ กูชอบที่นี่ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่เห็นใครจะมาพะยี่ห้ออะไรให้ (เรียกว่าฮิปสเตอร์มาก่อนที่จะมีฮิปสเตอร์ อันนี้เขาก็ว่ามันคือฮิปสเตอร์ของแท้) วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็เสือกมาเรียกกูด้วยคำศัพท์คำหนึ่ง และยัดพฤติกรรมงี่เง่าหลายๆ อย่างปะปนเข้ามาเปื้อนด้วย แล้วเอาไปหัวเราะกันป่นปี้สนุกสนาน มันช้ำนะรู้ไหม
ซึ่งผมแม่งก็บันเทิงอีกเช่นกัน 5555 นิสัยเสียมาก
เวลาบันเทิงกับอะไรแบบนี้นี่ไม่ต้องลงทุนไปไหนไกลเลยครับ ลองดูว่าไอ้แบบที่เขาแขวะกันเนี่ย มันพอจะเกี่ยวกับเราบ้างไหม เช่น ผมแม่งมีพฤติกรรมหลายข้อที่เข้าข่ายสลิ่ม แต่มันยังได้แคไม่กี่ข้อไง
วิธีการก็คือ พยายามเก็บแต้มที่เหลือให้ครบ จะได้เป็นสลิ่มในอุดมคติ เวลาไปที่ไหนกินอะไร ก็ไปห้างสลิ่มๆ กินร้านสลิ่มๆ ถ่ายรูปสลิ่มๆ หรือทำพฤติกรรมที่เขาว่ามาว่าทำแล้วมันจะสลิ่มนะ
โคตรสนุก
ไม่สนุกเปล่าๆ นะครับ คืออย่างน้อยคำว่าสลิ่มนั้นก็จะแตกหน่อออกมาเป็นความหมายใหม่ที่เป็นศัพท์เฉพาะสำหรับหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เวลานัดกันไปกินที่ไหนดี “เอาร้านสลิ่มๆ” แบบนี้ ไม่มีใครโกรธนะครับ นั่นเพราะความหมายของมันงอกงามออกมาเป็นสแลงที่มีคุณค่าอีกประการนึงไปแล้ว
ส่วนฮิปสเตอร์นั้นยังเป็นคำที่ไม่ตกรุ่น (คือกำลังน่วมได้ที่เลยล่ะ) ไอ้ผมเองก็เลยมาพิจารณาตัวเองว่าเรามีพฤติกรรมเข้าเกณฑ์ที่มนุษย์จากองค์กรจัดกลุ่มชาวบ้านทำเหี้ยอะไรอ๋อเพื่อความง่ายในการทำการตลาดแห่งประเทศไทย (ถ้างง ย้อนกลับไปอ่านชื่อองค์กรซ้ำอีกที) ช่วยกันลิสต์กันขึ้นมา
ความฮิปสเตอร์ของผมนั่นเข้าข่ายผ่านเกณฑ์อยู่ประมาณ 13 อย่าง จากทั้งหมด 437 ข้อ (เศร้ามาก) …ซึ่งไม่ได้ละ เทรนด์มันมาขนาดนี้ เราอยากเป็น เราวอนนาบี ต่อไปนี้จะขอไล่เก็บแต้มให้ครบทุกข้อโดยไว
(เปิดตำรา) เริ่มจากเรียกตัวเองว่าเราก่อนใช่ไหม เออ เราก็เรียกตัวเองว่าเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ข้อนี้ผ่าน
(เปิดอีกบรรทัด) เล่นทวิตเตอร์… นี่ล่ะ ข้อนี้มั่นใจมาก กู เอ๊ย เรานี่ใช่ละ
(เปิดอีก) เลี้ยงแมว … บัดซบ ไอ้จิ๋วนี่ไม่นับได้ไหม
(เปิดอีก) ห้ามยอมรับว่าตัวเองเป็นฮิปสเตอร์
…
เทรนด์ต่อไปเชิญครับ
The post ผมเป็นฮิปสเตอร์ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 19, 2015
น้ำล้างตีน
ผมไม่กินกาแฟ เลยไม่อินกับวัฒนธรรมกาแฟเท่าไหร่
ที่ไม่กินก็เพราะเวลากินแล้วมันจะขมปากขมคอ กลิ่นมันจะวนเวียนตั้งแต่หลอดลม ทะลุไปยันระบบทางเดินอาหาร เลยออกมาถึงตอนฉี่ จะมีกลิ่นกาแฟชัดมาก (คือตัวเองก็ดันเป็นพวกจมูกดีด้วยสิ) เลยไม่ชอบ
ซึ่งก็นับเป็นข้อดีพอได้อยู่ เพราะวันไหนที่ต้องการทำงานดึกจริงๆ กาแฟนั้นถือเป็นยาแรงที่ได้ผลเสมอ (ซึ่งโอกาสแบบที่ว่านั้นมีแค่ปีละ 2-3 ครั้ง ไม่น่าเกิน)
และเนื่องจากไม่อินกับกาแฟ ตัวเองก็เลยไม่ได้อะไรเลยกับกาแฟตรานางเงือก คือรู้ว่ามันเป็นสถานที่นัดพบคุยงานได้ แล้วสมัยทำงานที่ต้องนัดกับลูกค้าบ่อยๆ (ลูกค้า)ก็จะเลือกร้านกาแฟที่ว่าเนี่ยเป็นสถานที่คุยงานแมจ่ายค่าชาเขียวปั่นให้ด้วย ส่วนผมก็มีหน้าที่นั่งเกร็งอย่างเดียวเลย คือเกร็งจริงๆ การได้นั่งในบรรยากาศแบบนั้นเหมือนเราเลี้ยวมาผิดมากๆ เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเรามากๆ
จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชาวบ้านเขาไม่ใส่รองเท้าแตะเข้าร้านกาแฟกันวะ (ที่จริงมึงควรสงสัยว่าทำไมมึงคีบแตะมาคุยงานกะลูกค้ามากกว่า)
แต่นั่นก็เรื่องขี้หมูขี้หมาครับ
คือที่ไม่ได้เขียนบล็อกซะหลายวันนี่เพราะตัวเองไปเที่ยว เพิ่งกลับมา นอกจากบล็อกแล้วก็แทบจะไม่ได้โซเชียลอะไรอีกเลย (แต่ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ได้โซเชียลจริงๆ ก็ยังถือว่าเยอะ แต่ช่างเถอะ)
หลังจากอดนอนก่อนหน้าที่จะไปเที่ยวหลายคืนเพราะเคลียร์งานสารพัด ก็ต้องขับรถไกลๆ ไปต่างจังหวัด และเฮฮากับเพื่อนฝูงยันเกือบรุ่งสาง และตื่นมาเพราะเสียงเด็กตัวเล็กทีนึง ตัวใหญ่อีกทีสลับกัน เสร็จแล้วก็ขับรถต่อ แวะเที่ยว ขับรถ แวะเที่ยว ฯลฯ
เอาเป็นว่าอดนอนอย่างบักโกรกเลยละกัน
ขากลับตรงมอเตอร์เวย์ เลยรู้สึกว่าไม่ได้ละ เพื่อจะให้ลูกเมียหลับอย่างสบายใจอยู่ที่เบาะหลัง เราต้องหาอะไรมากระแทกปากสัดหน่อย
ทีแรกก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะต้องแวะร้านเงือกเขียว แต่จะเข้าเซเว่นไปหาอะไรเคี้ยวเล่นๆ งี้ แต่พอดีเมียเสนอว่า แวะร้านเงือกหน่อยละกัน เพราะคุณลูกสาวคนโตทำท่าจะปวดอุ๊จ เดี๋ยวมาอุ๊จเอากลางทาง เกรงจะทำให้มอเตอร์เวย์แปดเปื้อน แถมคุณลูกสาวก็ท่าจะง่วงมาก ให้แวะห้องน้ำสาธารณะด้านนอกซึ่งดูแล้วไม่ถูกสุขอนามัยสำหรับเด็กเล็กที่ง่วงสุดขีดด้วย …ก็เลยแวะ สตบ จนได้
ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยบอกเมียให้ซื้อชาเขียวให้แก้วนึง (ยังไม่อยากกินกาแฟเพราะเดี๋ยวกลิ่นมันติดขมคอไปยันเช้า ยังไม่ได้ต้องการยาแรงขนาดนั้น) เมียก็เดินจูงลูกหายเข้าไปในร้าน …ไปอุ๊จนั่นแหละ
แล้วก็ออกมาเจอผมที่อุ้มลูกสาวตัวเล็กอยู่ เลยถามไปว่ากี่บาท
“140”
“หา!?”
“ราคามันเท่านี้แหละ” เมียตอบ
ผมตกใจเว้ย คือ เชี่ย ร้อยกว่าบาทเลยเหรอวะ ชาเขียวแก้วเท่านี้ นี่เขาคิดรวมค่าน้ำแข็งก้อนละห้าบาทด้วยรึเปล่า ทำไมถึง…
กำลังจะโชว์ความบั้นนอกที่ไม่รู้จักเรตราคาของ สตบ ไปให้เมียหัวเราะ พลันก็นึกขึ้นได้ว่า หลายครั้งเวลาขับรถออกต่างจังหวัดไกลๆ และต้องการตื่นสบายตลอดทาง ผมเองก็จะกินชาเขียวจากร้านป่าทึบที่อยู่ตามปั๊มน้ำมัน อันนั้นแก้วละ 50 บาท และเข้มข้นสะใจ
แล้วก็นึกถึงคำของมิตรสหายสักตัวนึงที่บอกว่า เครื่องดื่มยี่ห้อป่าทึบนี่แม่ง ยังกะน้ำล้างตีน สู้ตรานางเงือกไม่ได้
ผมดูดอีกจ้อด (ดูดไป 16.50 บาท) แล้วเอาลิ้นไล้ๆ ให้มันสัมผัสกับต่อมรับรสอีกที ว่ามันต่างกันตรงไหน ใช่ แน่นอน ก็ต่าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไร แค่มันต่างเท่านั้นเอง
เมียก็บอกว่าเตงน่ะเป็นพวกลิ้นจระเข้ คือกินอะไรก็ไม่ต่าง ของดีกับของธรรมดา (ที่จริงบอกว่าของห่วย) มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว
ผมก็บอกว่าใช่ มันต่างไง อันนี้ถูกแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะแยกไม่ออก หรือลิ้นจะกากจนสัมผัสไม่ได้ว่ามันมีความต่าง
ประเด็นคือผมเองไม่รู้สึกว่าอย่างหนึ่งจะดีกว่าอีกอย่าง แบบที่ถ้ามัดใส่ถุงแบบกาแฟโบราณเอามาให้ดูด ก็พอจะรู้นะว่าของเหลวในถุงไหนวัตถุดิบราคาแพงกว่า ทำเนี้ยบกว่า ค่าการตลาดสูงกว่า แต่ไม่จำเป็นว่าได้ที่ทุกคนบอกว่าดีกว่านั้นมันจะต้องถูกใจเราเสมอไป ของแบบนี้มันอยู่ที่จริตคนเสพนะ
แถมการที่ผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไรนั้น ก็ถือเป็นพรสวรรค์อย่างนึงได้เลย คือกินของถูกๆ ก็ยังปิติกับมันได้ …ประหยัดดีออก 5555
ส่วนใหญ่พอตอบไปแบบนี้ เมียก็มักจะสวนว่า ในขณะเดียวกันเวลาเตงกินของแพงๆ แล้วแสดงความอร่อยเท่าของถูกๆ ก็จะรู้สึกเสียดายของ
ก็จบเห่
ป.ล.
ค่าอุ๊จของลูกคือ 140 บาท ให้นึกว่าถ้าไปตามสถานที่ที่เก็บค่าอุ๊จครั้งละ 2 บาทติดต่อกันทุกวัน เราจะไปได้ถึง 70 วัน = สองเดือนกว่าๆ! ลูกขี้ได้ตั้งสองเดือนกว่าๆ!!!
ป.อ.
นึกถึงบากิตอนนึงที่ยูจิโร่หรือใครสักคนนี่แหละที่บอกว่า ไวน์ 2 ขวดที่ราคาต่างกัน 100,000 เท่า ก็ไม่ได้แปลว่ารสชาติจะดีกว่ากัน 100,000 เท่านะ ความต่างอาจจะ 10 หรือ 100 เท่าเท่านั้นเอง
ป.ฮ.
ชั่วชีวิตนี้นึกได้อย่างนึงที่กินแล้วรู้สึกว่านั่นคือน้ำล้างตีนจริงๆ คือก๋วยเตี๋ยวหน้าโลตัสเอ็กซ์เพรสเสนา (เมื่อนานมาแล้วนะ ไม่ใช่เร็วๆ นี้ ตอนนี้คงเปลี่ยนเจ้าไปแล้ว) คือพอมีร้านมาใหม่ ผมก็ไปลองตามประสาคนรักก๋วยเตี๋ยว สั่งเส้นเล็กลูกชิ้นน้ำใสซึ่งดูจะเป็นจุดขายของร้าน พอได้รับมาปั๊บก็ซดน้ำซุปเลยครับ… มันคือน้ำเปล่าที่โยนลูกชิ้นกับเส้นและถั่วงอกลงไป อีเหี้ย
The post น้ำล้างตีน appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 13, 2015
ฉันมันไม่มีวาดสนา
จากบล็อกที่แล้วที่พร่ำบ่นว่าอยากหัดวดรูปและระบายสีน้ำ
อันนั้นยังไม่ได้เล่าย้ำอีกทีว่าที่ผมชอบวาดการ์ตูนนั่นนี่ คือวาดแบบการ์ตูนที่เป็นการ์ตูนจริงๆ ว่ากันตรงๆ คือขาดทักษะพื้นฐาน แต่มาถึงก็วาดเลย อันนี้หลายคนก็เป็น
โอเค ของผมอาจจะเอามาทำมาหากินได้ตังค์จากการวาดมาพอสมควร แต่คนจ้างน่าจะไม่รู้หรอกว่าแกเผลอมาจ้างคนที่วาดไม่เป็นกระทั่งรูปผู้หญิง รูปคน (แบบที่เป็นคนจริงๆ) รูปรถ รูปต้นไม้ หรือแม้กระทั่งรูปบ้าน!
ถาม: แล้วมึงเรียนจบสถาปัตย์มาได้ยังไง
ตอบ: จบได้ครับ เพียงคบเพื่อนเก่งๆ ไว้ แล้วตลกแดกเนียนเป็นคนออกแบบพรีเซนเทชันตอนทำงานกลุ่มด้วยกันไงล่ะ พอปีท้ายๆ ที่มีงานกลุ่มเยอะกว่างานเดียว เกรดก็เลยสูงเอาๆ ยังกะเด็กเรียน (คือนี่มองจากมุมผมนะ ได้ 2.50+ ก็เหมาว่าเป็นเด็กเรียนแล้ว เพราะปีแรกๆ นี่โฉบ 2.00 เป็นเรื่องธรรมดา 55555)
ทีนี้ตอนปีหนึ่งมันมีวิชา Architectural Presentation ทั้งเทอมต้นและเทอมปลาย โดยเทอมต้นเขาให้วาดและนำเสนอสถาปัตย์ด้วยดินสอ เทอมนั้นผมได้ D+ พร้อมผลงานที่โดนอาจารย์เอาไปหัวเราะเยอะ (ใช้คำนี้ถูกแล้ว) หน้าชั้นเรียนเกินครึ่งของผลงานทั้งหมดที่ส่งไป
ส่วนเทอมหลังเป็นภาคต่อวิชาที่ใช้ชื่อเดียวกัน ภาคนี้โทนี่สตาร์กเปลี่ยนมาใช้สีน้ำ ซึ่งความเหี้ยก็คือ ผมไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่เสี้ยวขนปลายหำหมา
ย้อนกลับไป ม.ต้นซึ่งเป็นวิชาศิลปะ (ผมเรียนสายวิทย์) จำได้ว่าทั้งเทอม “อาจารย์ไม่เข้าสอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว” …งงไหมครับ มาคิดดูทีหลังแม่งเหี้ยมาก แต่ตอนนั้นแฮปปี้มาก เพราะได้วิชาว่างมาหนึ่งคาบฟรีๆ แต่ก็นั่งอ่านการ์ตูน ยืมเกมเพื่อนมาเล่นในห้องจนหมดเวลานะ ไม่ได้ออกไปเสพยาบ้าหลังห้องน้ำ เพราะผมเป็นเด็กเนิร์ด แต่นั่นก็ทำให้มารู้ทีหลังว่าเราพลาดโอกาสหัดวาดรูปด้วยสีน้ำ ซึ่งต่อไปมึงจะต้องเอามาใช้ตอนเข้ามหาลัยปีหนึ่งเทอมสองนะโว้ย
ตัดภาพกลับมาที่ไอรอนแมนภาคสอง อาจารย์ให้โจทย์มา ผมหันไปมองเพื่อนๆ ที่นั่งวาดกัน เฮ้ย ทำไมมันคล่องกันจังวะ ตวัดพู่กันป๊าบ สวยเลย คนนี้ยิ่งเทพ คนนั้นมีเทคนิคเซียน เลยถามๆ ดู ก็ได้คำตอบว่า บางคนฝึกตอนมาติว (ผมมาจากบ้านนอก ไม่รู้ว่าโลกนี้มีการมีติวเข้าคณะนี้ด้วย) บางคนเรียนตอน ม.ปลาย บางคนหัดเอง (อันนี้น่านับถือ) ฯลฯ
ที่จริงผมไม่ควรจะมาบ่นโทษระบบการศึกษาหรอก เพราะคนหัดเองก็มี แล้วก็ทำได้ดีด้วย แต่มึงไม่พยายามเอง ทำมาย้อนอดีตโทษนั่นโทษนี่ ไอ้บ้าเอ๊ย 555
เอาเป็นว่าเทอมนั้นเกรดผมได้ C+ ทั้งๆ ที่งานเหี้ยกว่าเทอมแรกที่วาดด้วยดินสออีกนะ (ไม่รู้ทำไมเกรดดีกว่า) ซึ่งนั่นก็ทำให้บางคืนผมเก็บเอาไปฝันร้ายว่าอาจารย์ท่านเดียวกันนี้มาสั่งงานวาด เพื่อนๆ วาดกันสบายมาก และผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะผสมสีให้มันไม่เน่า
ฝันด้วยพล็อตแบบนี้ติดต่อกันมาสิบกว่าปี มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ
…
เกริ่นมาทั้งหมดเพื่อจะปูพื้นว่า ต่อไปนี้ผมจะกำจัดฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนนั้นด้วยตัวเอง ด้วยคาถา “อยากวาด ก็วาดสิวะ”
หลังจากบ่นไปคราวก่อนแล้วว่าอยาก ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสนองความอยากครับ พอดีวันนี้ได้เข้าเมืองไปซื้อหมึกสกรีนเสื้อไว้ทำมาหากิน ก็เลยแวะ B2S เพื่อซื้ออุปกรณ์สีน้ำมา ด้วยความงูปลา ก็เลยจัดชุดที่น่าจะไม่เด็กประถมเกินไป และไม่แพงสัส (ส่วนมากจะแพงสัสนะครับพวกเครื่องเขียนศิลปินเนี่ย สมุดห่าอะไรไม่รู้เล่มเท่ากระดาษทิชชู่ แม่งเล่มละสี่ห้าร้อย นี่เขียนผิดแล้วมีปุ่ม undo ใช่ไหม)
ก่อนวงเล็บจะเยอะเกินไป ขอกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง วันนี้ก็เลยได้ชุดนี้มา
สีน้ำแบบก้อนของ REEVES (195 บาท)
นี่เลือกเอาจากขนาดเลยนะ ดูมันพกง่ายดี เนื้อสียังไม่รู้ ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไงว่าดีหรือไม่ดีกว่าอะไร เพราะถ้าไม่นับสมัยเรียนที่ช่างมันเถอะแล้ว นี่ก็นับเป็นการซื้อสีน้ำด้วยความเต็มใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยความน่าจะพกง่ายกว่าซื้อแบบหลอดๆ ก็เลยเลือกแบบก้อนมา อยากใช้ก็เอาพู่กันเปียกไปยีๆๆ เดี๋ยวมันก็ละลายมาเอง ง่ายดี แถม(ขายพ่วง)พู่กันแหลมๆ มาด้วย ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้ตอนไหน เพราะเรามี…
พู่กันแบบแทงก์ DERWENT (307 บาท …แพงสัส นี่เมียยังไม่รู้นะ)
นี่ฉันเลือกนายเพราะอ่านบล็อกของ @hackhq (ไปไล่ดูลิงก์ได้จากบล็อกตอนที่แล้ว) แล้วเห็นว่ามันเติมเต็มสิ่งที่ขาดดี คือไม่ต้องพกน้ำไปเยอะๆ แค่มีพู่กันที่บีบตูดแล้วน้ำมันจะเยิ้มออกมาชุ่มฝีแปรงตลอดเวลา เวลาล้างสีก็แค่บีบ แล้วเอาไปป้ายกระดาษทิชชู่แบบส่งเดช เท่านี้ก็สะอาดแล้ว // ในภาพด้านบนนี่คือเพิ่งแกห่อเลย อยากฮิปสเตอร์มากก็เลยเอามาเรียงแล้วถ่ายทันที หัวมันเลยบานๆ เพราะยังแห้งอยู่
ปากกาหัวเข็ม Artline 0.5mm (58 บาท)
ไม่ถนัดปากกาเส้นเล็ก เพราะไม่ชอบเขียนแบบกดน้ำหนักลงไปแรงๆ ก็เลยใช้ขนาดที่ชิน ที่จริงเวลาใช้ปากกาปกติจะชินกับไซส์ 0.7-0.8 มากกว่า แต่อันนี้น่าจะเอามาวาดและเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นกว่าไง หวังว่านะ
สมุดสเก็ตช์ของศิลปากร (49 บาท)
อันนี้ซื้อจากร้านสโมของศิลปากรตั้งแต่ช่วงวันพ่อ หนีเมียไปเดินเล่นกับหนุงหนิงมา โคตรถูกเลย ถูกจนอยากจะนั่งรถไปเหมามาตุนไว้อีก 30 เล่ม (ที่จริงมีถูกกว่านี้อีกคือเล่มละ 15 บาท แต่จะบางกว่า และการเข้าเล่มจะเป็นอีกแบบ) ดีใจมากเลยที่มีร้านสโม ถึงแม้เมื่อก่อนจะเกลียดเจ้ามากขนาดไหนก็เถอะ เพราะการเข้าไปแต่ละครั้งคือการซื้ออุปกรณ์เพื่อทำงานเรียนส่งครู แล้วงานผมเหี้ยซะ 97% เลยโทษสโม (เห็นมะ นิสัย) เอาเป็นว่าใครอยากซื้อเครื่องเขียนอะไรนี่ ยอมเสียเวลาเดินทางไปศิลปากรสักหน่อย แล้วคุณจะพบว่ามันคุ้มมาก เพราะสาวโบราณน่ารัก
ที่จริงให้ดูใบเสร็จนี่ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาพิมพ์ยาวแล้ว นี่อีกายรู้เข้าเดี๋ยวก็ตามมาทวงต้นฉบับอีก หาว่าเอาเวลามาเขียนบล็อกงี้
เติมน้ำลงไปในพู่กัน แล้วลองยีๆ กับสีก้อน เอามาระบายๆ ดูในภาพที่เขียนไว้ก่อนหน้าสัก 10 นาที (แต่ใช้ปากกาอีกด้ามนะ อันนั้นเป็น unipin 0.8 ที่ใช้เขียนสมุดบันทึกเป็นปกติ) พบว่าเส้นสีดำมันไม่เยิ้มเข้ามา คือเป็นหมึกกันน้ำ ส่วนกระดาษนั้นก็ไม่ซึมเปื้อน อันนี้ยังไม่ได้ทดสอบมาก เพราะแต้มสีลงไปหน่อยเดียวเท่าที่เห็น เดี๋ยวครั้งหน้าถ้าได้ระบายอะไรฉ่ำๆ (อยากหัดระบายให้มันฉ่ำมากๆ ทำไม่เป็น) อาจจะเห็นมันซึมก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน
ที่แน่ๆ ความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตที่เอาพู่กันจุ่มสีมาปาดลงบนกระดาษเองด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครบังคับนั้น มันดีมาก ดีมากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆ ถึงจะสีเน่าเหมือนเมื่อก่อนในยุคที่ตัวเองเกลียดสีน้ำที่สุดในโลกยังไงยังงั้น แต่ช่างหัวอุปสรรคในอนาคตมันปะไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้เราได้เริ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหัดวาด หัดระบาย และทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ในโหมดสนุกแบบนี้เลยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเบื่อขึ้นมาวันไหน แต่วันนี้ได้เริ่มแล้ว ก็ดีแล้ว
ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่การที่คนอายุเลยสามสิบมาพอสมควร มีลูกเต้าโตงเตงพันรอบเอวและเมียใช้ไปทำนู่นนี่ตลอดเวลาแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็เพิ่งมาหัด มามีความฝันอะไรสนุกๆ แบบเด็กๆ นี่มันโคตรดีเลยนะครับ
จะว่าไป นี่คงเพราะมีตังค์แล้วด้วยแหละ 5555 ถ้าย้อนไปสมัยเรียนนะ ของเล่นราคา 5-600 บาทนี่ อย่าแม้แต่จะคิด
มีความสุขจัง คืนนี้นอนตายตาหลับละ ส่วนต้นฉบับก็ผลัดไปพรุ่งนี้ งานหนังสืออีกตั้งนาน
The post ฉันมันไม่มีวาดสนา appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 11, 2015
ดรอซัมติง
อยู่ดีๆ ความรู้สึก “อยากวาด” ก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงตอนที่นั่งคลิกนู่นดูนี่จากการนั่งทำเว็บ
คือผมวาดไม่เก่งครับ ถึงจะขีดๆ เขียนๆ เล่นมายี่สิบปีแล้ว ฝีมือก็ยังหยุดนิ่งได้แค่ระกับ “วาดเป็น” ไม่เคยไปถึง “วาดเก่ง” สักที
เป็นเพราะไม่ได้พยายาม เป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจ เป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจ แต่อยาก เห็นคนวาดเก่งแล้วอิจฉา เผอิญว่าความอิจฉานั้นก็หยุดไว้เท่านั้น
แต่ใจนึงผมก็รู้ลิมิตตัวเองดีว่าไม่ได้สนใจจะไปฝึกฝนทุ่มเทตั้งใจเพื่อจะให้ตัวเองวาดเก่งขึ้นมาได้หรอก คบกับตัวเองมานาน กูรู้จักมึงดี
แค่เจ็บใจนิดนึงที่พอดูงานวาดเล่นของชาวบ้านแล้วก็พบว่า เฮ้ย ทำไมเขาวาดแล้วโคตรสนุกเลย อีแค่วาดให้สนุกนี่ทำไมเราทำไม่ได้วะ ต้องทำได้สิ
เออ วาดเก่งกับวาดแล้วสนุกมันมีความต่างเอาไว้เป็นข้ออ้างได้พอสมควร งั้นต่อไปนี้ผมเลยจะขอกลับมาเริ่มหัดวาดอีกครั้ง ด้วยวิธีแบบแอนๆ นี่แหละ
วิธีแบบแอนๆ = วาดมันซะเลย วาดเยอะๆ วาดๆๆๆ เหี้ย วาดโว้ยยยย
นึกย้อนไปสมัยที่ตัวเองยังชอบจดบันทึกลงในสมุด ตอนนั้นในมือของมนุษยชาติ (ที่จริงคือเรา แต่อ้างมนุษยชาติจะได้อุ่นใจหน่อย) ยังไม่มีมือถือมาจองพื้นที่ถาวรอย่างทุกวันนี้ ด้วยกลัวจะว่าง ก็เลยซื้อสมุดปากกามาถืออยู่เสมอ พอเห็นอะไรก็วาดดะ จดดะ สนุกดี พูดแล้วโหยหาอดีต
พอมาทุกวันนี้ ถึงจะใช้มือถือรุ่นที่คุยนักหนาว่ามันพกพาสะดวก แถมมีปากกาที่ใช้วาดได้ดีมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ เวลาวาดความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนปากกากับกระดาษจริงๆ ใช่ปะ เพราะมันวาดผิดก็ลบได้ วาดเบี้ยวก็ขยับได้ ทำผิดก็ undo ได้ ซึ่งมันไม่ใช่นะ มันง่ายไป สะดวกไป ไม่ฮิปสเตอร์พอ
ที่สำคัญคือ มันมีอะไรดึงความสนใจออกไปจากการวาดได้เยอะ เช่น แป๊บๆ โนติแม่งมาละ ไหนจะไลน์ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก เพื่อน ลูกค้า แอปการ์ตูน ฯลฯ หมดกัน ไม่ต้องวาดละ
แต่ช่างเถอะ บ่นไปก็เท่านั้น เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
ถือเป็นโอกาสดี เพราะสมุดบันทึกเล่มล่าสุด กำลังจะหมดลงในอีกไม่เกินสัปดาห์ …นึกได้ว่าเคยเขียนบล็อกตอนเปิดเล่มนี้เมื่อ 16 ก.ย.56
เหี้ย ดองมาปีกว่าๆ แล้ว สมุดบางๆ เล่มเดียวเนี่ยนะ!!!
ที่จริงก็นึกคำอ้างสารพัดได้ไม่ยากหรอกครับว่าทำไมใช้เวลาเขียนนาน เพราะสัปดาห์นึงจะได้เขียนสักครั้ง เนื่องจากสมุดมันใหญ่ พกไปไหนมาไหนไม่ได้ และความสนใจของผมมันเปลี่ยนไปลงกับหน้าจอไฟฟ้าหมดแล้ว น่าเศร้าแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ดังนั้นเล่มต่อไปจึงขอแก้บั๊กด้วยการเลือกสมุดไร้เส้น ไซส์เล็กลงกว่าเดิม จึงควรจะพกง่ายกว่าแบบที่ใช้เขียนส่งการบ้านมัธยมทุกวันนี้ (ที่ต้องเก็บไว้ในกระเป๋าคอมอย่างเดียว) ซึ่งเป็นเล่มที่ซื้อมาเมื่อเดือนก่อนจากร้านสโมศิลปากร ร้านเครื่องเขียนที่เจ๋งที่สุดในโลก
คราวนี้ดูซิว่าจะมีข้ออ้างอะไรอีก เดี๋ยวจะกลับมาดู
ปกติเขาบอกว่าถ้าจะทำอะไร อย่าประกาศว่าจะทำนั่นนี่ เพราะมันจะวืด วืดแล้วจะเสียหน้า แต่เท่าที่เขียนบล็อกนี้มาสิบกว่าปี ผมว่าผมวืดไปเกิน 10 ครั้งแล้ว ก็เพราะอีการฮึดขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบนี่แหละ 5555 ก็ช่างมันประไร คราวนี้ลองดูอีกที
ป.ล.
ดรอซัมติง เป็นเกมที่เคยฮิตมากๆ ฮิตโคตรพ่อโคตรแม่ ทุกคนเล่น ทุกครัวเรือนมี เพราะมันดี มันเด่น มันสนุก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ร่วงโรยเหลือแค่ชื่อ เผลอๆ หลายคนลืมชื่อมันไปแล้วด้วย แล้วจะพูดทำไม
ป.อ.
อันนี้เขียนเพิ่ม แปะลิงก์ของคุณ @hackhq ไว้หน่อยครับ อันนี้อ่านแล้วขึ้นจริงๆ – อยากหัดสเก็ตช์ภาพ ขอคำแนะนำหน่อย
The post ดรอซัมติง appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 10, 2015
ข้อเสีย
เราถูกสั่งสอนให้ซึมซับกติกาที่ว่า การใช้ชีวิตคู่นั้น ต้องแสวงจุดร่วมและสงวนจุดต่าง ยอมรับในข้อเสียของอีกฝ่ายให้ได้ แล้วชีวิตคู่จะราบรื่น
ผมเป็นพวกโอเคอยู่แล้ว เก็ตคำสั่งสอนนี้และเอามาใช้ในชีวิตเป็นเรื่องปกติ
แต่เมื่อคืนตอนเมียส่งข้อความในแฮงก์เอาต์มาใช้ให้หยิบเครื่องปั๊มนมไปให้บนห้องนอน แล้วฝากดูตัวเล็กให้หน่อย อยู่ดีๆ ผมก็มานั่งลิสต์ดูว่าเมียเรามีข้อเสียอะไรบ้าง
โอ้โห แม่งเพียบเลย อย่างน้อยที่ประจักษ์ตาก็คือ เป็นพวกที่ทำอะไรแล้วไม่เก็บให้เรียบร้อยทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่นการเปิดไฟทิ้งไว้ทั่วบ้านแล้วขึ้นไปนอนอยู่บ่อยๆ โดยไม่ได้ปิด บางทีผมนั่งหน้าคอมดึกๆ ตีหนึ่งตีสองเปิดประตูออกมาดู เหย็ดแม นี่บ้านหรือเซเว่น ทำไมสว่างไสวในยามค่ำคืนได้ขนาดนี้
คิดในใจเฉยๆ แล้วก็เดินไล่ปิดไปทีละดวงๆ …ก็ทำเป็นเรื่องปกติไม่ได้บ่นได้หืออือหรือรู้สึกผิดปกติอะไร (เพราะชินแล้ว) แต่เมื่อคืนพอคิดจะระลึกดูว่ามีอะไรอีกไหม นี่ก็เลยถูกนับเป็นหนึ่งในนั้น
พอเดินไปถึงในครัว อ้าว ไฟหลังบ้านก็เปิด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้งานอะไรนะ — ไอ้การจำไม่ได้ว่าสวิตช์ไฟดวงไหนมันกดตรงไหนนี่ก็เหมือนกัน ขนาดเขียนไว้บนปุ่มก็ยังไม่อ่าน
เออ เรื่องไม่อ่านก็เหมือนกัน เวลาเจออะไรเด้งขึ้นมาในคอมหรือในมือถือ เมียก็จะกด OK ทันที (ไม่ใช่แคนเซิลนะ นี่กดโอเคเลย) เป็นที่รู้กันนะว่านี่คือพฤติกรรมอันตราย ยิ่งเป็นพวกใช้มือถือทำงานด้วยก็ยิ่งอันตรายใหญ่ นานๆ ทีผมหันไปเห็นก็จะบ่นพอเป็นพิธีสักครั้ง
คิดไปคิดมา เดินขึ้นไปถึงห้องนอนข้างบน จะอุ้มลูกมากล่อมหลับ เมียก็ถามว่า
“แล้วไหนเครื่องปั๊มนมล่ะ” …จบ ลืมอีกแล้ว
(เป็นข้อเสียอมตะของผมที่เมียบ่นทุกวัน)
The post ข้อเสีย appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.