iannnnn's Blog, page 14
January 8, 2015
ได้แต่มองเธอข้างเดียว
ที่ได้แต่มองเธอข้างเดียวนี่ ไม่ใช่อะไร เพราะฉันตาบอดไปข้างนึง
เหตุการณ์ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ หลังจากตาบวมไปข้างนึงก็พบว่ามันอักเสบ อีอาการอักเสบแบบนี้เราสรุปง่ายๆ และให้ภาพลักษณ์ออกมาอย่างน่าอับอายว่า “เป็นตากุ้งยิง”
ขอโทษนะ ที่จริงกุ้งไม่ได้ยิงหรอก ลูกสาวกูนี่แหละยิง เต็มเบ้าตาเลย
แต่พออ่านเพิ่มเติมก็พบว่าเมื่อตามันโดนทำร้ายจนอ่อนแอแล้วมึงไม่รู้จักพักผ่อน เอาเวลามาเปิดคอม ตอบเมลลูกค้า รวมทั้งเขียนบล็อก (อุ้ย) และเขียนต้นฉบับสนองนี้ดคุณ บ.ก.ที่เริ่มทวงยิกๆ แล้ว (อุ้ยยยย) นั่นเอง
สายตาจึงอ่อนล้าหนักขึ้น จนพ่ายแพ้แก่แบคทีเรียที่เหิมเกริมสำแดงพลังบุกยึดอาณาเขตบริเวณต่อมน้ำตาพอดี ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าไปแอบดูน้องนางแบบจริงๆ ด้วย
เมื่อบอกเมียไปดังนั้น เมียผู้แสนดีก็เลยออกไปร้านขายยา และจัดสำรับใหญ่มาให้ มีทั้งยาหยอดตา ขี้ผึ้งป้ายตา ยากินแก้ปวดลดไข้ และยาปฏิชีวนะอีกสองแผง จัดเต็มแบบต้องมานั่งท่องกำหนดการประจำวันกันเลยว่าอันไหนกินตอนไหน ก่อนอาหารหรือหลังอาหาร
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีอุปกรณ์ปิดตามาให้ด้วยหนึ่งปึก หน้าตาเหมือนพลาสเตอร์ปิดแผลตราเสือ แต่ตัดแต่งเล็มขอบมาขนาดพอดีเบ้าตา คือเป็นพลาสเตอร์เวอร์ชันตา พอแปะปั๊บ ส่องกระจกดู อย่างเหี้ยครับ (ภาพวาดด้านบนนั่นคือที่เห็นในกระจกนะครับ เพราะผมเองไม่เคยเห็นหน้าตัวเองจริงๆ เห็นแต่ในกระจก เลยวาดออกมาสลับข้างกับความเป็นจริง)
วันนี้เลยเป็นวันที่โดนเมียสั่งว่า จงนอน เปิดคอมให้น้อยที่สุด แต่ลูกค้าก็ต้องตอบนะ เช็กตังค์ร้านโอนเข้าโอนออกก็ต้องเช็กนะ ทำแบบให้ลูกค้าก็ต้องทำนะ แต่ต้องนอนนะ เปิดคอมให้น้อยที่สุดนะ แต่งานก็ต้องทำนะ…
นี่เมียไม่รู้อย่างเดียวว่ามีแอบเขียนบล็อกด้วย ไม่งั้นโดนด่าแน่
ความสนุกมันเริ่มขึ้นก็ตอนที่ปิดตาข้างนึงนี่แหละครับ วันนี้ทั้งวันเลยใช้ชีวิตอยู่ด้วยทัศนวิสัย 50% มาตลอด
ก็เลยได้เรียนรู้ว่า การปิดตาขวานั้นไม่ใช่แค่ทำให้ฝั่งขวามองไม่เห็นอะไรเท่านั้น แต่ยังทำให้ “การรับรู้มิติ” สูญเสียไปโดยสิ้นเชิง
เพราะปกติเวลาเรามองอะไรจากสองตา ภาพที่เห็นจะมีการเหลื่อมกันเล็กน้อยทำให้สมองกะความตื้นลึก และระยะทางได้ แต่เราไม่ต้องไปรู้มันหรอกครับ เอาเป็นว่าตั้งแต่เกิดมามีสองตาเนี่ย เราก็ไม่ได้โง่ไปเดินชนอะไรบ่อยๆ
แต่พอเหลือตาเดียว โลกทั้งโลกก็แบนราบ ทุกอย่างเป็นเพียงภาพที่เห็นจากจอทีวี 2 มิติ คือไม่เหลือความลึกให้สมองได้รับรู้
อย่างยุงบินมานี่ จ้างร้อยนึงก็ตบไม่ถูก เพราะเราไม่รู้ไงว่ามันอยู่ห่างจากเราแค่ไหน จะอาศัยการกะระยะทางจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ยังไม่ช่วยให้ตบโดน แค้นมาก รู้สึกแพ้มาก เห็นยุงผ่านหน้าทีไรเหมือนมันเย้ยหยันแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เราทุกครั้ง (หรือจะเป็นสัญชาตญาณที่ได้มาแบกกับการสูญเสียการมองเห็นวะ)
หรือตอนที่เมียใช้ให้หยิบนั่นนี่บนโต๊ะกินข้าวส่งให้นี่ก็แขนเหวี่ยงไปชนนั่นนี่ ล้มต่อเนื่องกันถึง 3 ครั้ง คือเหวี่ยงโดน หล่น เก็บขึ้นมาวาง แล้วเหวี่ยงอีก หล่นอีก เก็บอีก เหวี่ยงอีก หล่นอีก จนเมียสงสัยว่ามึงประชดหรือเปล่า
ที่น่ากลัวที่สุดคือการขับรถ อ่านเจอคำเตือนจากหมอสารพัดเลยครับว่าห้ามเลยนะ อีพวกตาเดียวเนี่ย มึงนั่งเฉยๆ เลยนะ อันตรายมากๆ เพราะนี่ไม่ใช่แค่มองรถหรืออะไรที่โผล่มาจากฝั่งขวาไม่เห็นเท่านั้น แต่การที่มีตาเดียวแล้วกะระยะไม่ถูกนั่นแหละที่อันตรายจนห้ามขับ ห้ามขี่ ถ้ามีแฟนคลับก็ให้แฟนขับไป
ฉะนั้นการออกไปกินข้าวเย็นและซื้อของที่บิ๊กซีวันนี้ ก็เลยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบปีได้มั้ง ที่ผมนั่งอยู่เฉยๆ เล่นกับลูก และดูเมียขับรถ (ซึ่งเจ๊ก็ขับโหดเหมือนเดิม จนอยากรีบๆ หายซะเดี๋ยวนี้เลย เสียวได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง)
ถ้านับรวมถึงการได้นอนไปเมื่อตอนบ่ายหน่อยนึงด้วยข้ออ้างที่ว่าร่างกายกำลังอ่อนแอ ควรฟื้นะลัง นี่ก็พอสรุปได้ว่าการไม่สบายมันก็สบายดีนะ เพียงแค่อย่าบ่อย อย่านานเท่านั้นเอง เข้าใจคนมีปัญหาด้านการมองเห็นแล้วครับว่าการใช้ชีวิตของคุณยากไม่เบาเลย
นี่ก็เพิ่งป้ายตาไปอีกปื้ด หวังว่ากุ้งมันจะหายยิงเร็วๆ
หายแล้วจะได้ปั่นต้นฉบับให้ บ.ก. ไง
ป.ล.
เขียนมาทั้งหมดนี่เพื่อเป็นข้ออ้างสำหรับบรรทัดสุดท้าย
_______
เขียนเพิ่ม หมอเถื่อนเพื่อนผมบอกว่า
– มันเป็นต่อมไขมันนะไม่ใช่ต่อมน้ำตา
– ตากุ้งยิงไม่ต้องปิดตานะ ใช้ประคบร้อนเอา
The post ได้แต่มองเธอข้างเดียว appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 6, 2015
วิธีเล่นยูทูบแบบไม่มีปุ่มเกะกะ
วิธีดูยูทูบ (บนคอมนะ) แบบไม่มีปุ่มเครื่องมือเกะกะ เว้นแต่ถ้าเอาเมาส์ไปแหย่ เครื่องมือถึงจะโผล่ขึ้นมา
เข้า youtube.com
โครมบนวินโดวส์กด Ctrl+Shift+J / บนแมคกด Command-Option-J (ถ้าใช้เบราว์เซอร์อื่นๆ กดไปดูจากที่มาเอาเอง)
ก๊อปโค้ดนี้ไปวางในช่องของมันแล้วกด Enter
document.cookie=”VISITOR_INFO1_LIVE=SR64eWDDWNU; path=/; domain=.youtube.com”;window.location.reload();
จบข่าว
ถ้าอยากคืนปุ่มให้เธอประชาชน ก็เข้าไปที่เดิมแล้ววางโค้ดนี้แทน
document.cookie=”VISITOR_INFO1_LIVE=; path=/; domain=.youtube.com”;window.location.reload();
The post วิธีเล่นยูทูบแบบไม่มีปุ่มเกะกะ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
วันที่ฉันเสียน้ำตา
วันนี้น้ำตาไหลตั้งแต่เช้า
ไม่ได้เสียใจอะไร ตั้งชื่อบล็อกดักไว้งั้นแหละ ที่จริงคือใช้สายตาหนักมาก เพราะนั่งแต่งภาพตอนกลางคืนแบบเกือบโต้รุ่งมาสองคืนติดๆ (จนไม่ได้เขียนบล็อกเลยไงล่ะ #ข้ออ้าง) ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าทำเพื่อปากท้องตัวเองและลูกเมีย จึงยอมบั่นทอนสุขภาพของตัวเองลงหน่อยนึง
แต่ก็แลกมาด้วยอาการเจ็บตาขวาตรงเปลือกตา จนถ้าส่องกระจกดีๆ จะเห็นว่ามันบวมออกมาหน่อยๆ เลยนะ
ที่จริงผู้ต้องสงสัยก็คือเจ้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งจ้องมันติดๆ กันหลายชั่วโมง และจ้องมากกว่าปกติเพราะเป็นงานแต่งภาพ ต้องใช้สายตาหนักมากกว่างานออกแบบหรือการใช้งานเรื่อยเปื่อยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะมันต้องเพ่งที่ภาพถ่ายหลายร้อยภาพเพื่อปรับสี ปรับแสง ลบตำหนิ ฯลฯ
ที่ดีหน่อยก็คือมันเป็นการถ่ายแบบ นั่งจ้องน้องจินทั้งวันทั้งคืนก็เพลินตาดีอยู่ (เมียตบ) แต่จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ตอนนั่งเร่งทำงานให้เสร็จก็ยังมิวายสงสัย ว่าทำไมที่ผ่านๆ มาไม่เห็นจะเคยปวดตาขนาดนี้เลยวะ
หรือเราเผลอให้ความสำคัญกับเงินและคำสั่งเมียไปมากกว่าการดูแลสุขภาพของตัวเอง ที่ระยะหลังๆ จะเริ่มออกอาการเป๋ให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ
แถมปณิธานประจำปี 2558 นี้ก็ไม่มีบรรทัดไหนเลยที่พูดเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ…
สัญญาณแบบนี้ไม่ดีแน่! ต่อไปนี้จะต้องปรับปรุง จะต้องเริ่มจากไอ้นั่น หันมาทำไอ้นี่ ทำงานไปก็คิดพะวงไป (แต่สายตาที่ปวดร้าวก็ยังไม่เลิกจ้องขาอ่อนนางแบบนะ)
จนตีสามผ่านไป ก็เพิ่งมานึกได้ว่า ที่แท้ที่ปวดตานี่ ไม่ได้เป็นเพราะทำงานนี่หว่า
แต่เพราะคืนก่อนหน้า (ที่ทำงานดึกเหมือนกัน) พอเดินเข้าห้องนอนที่ปิดไฟอยู่ แล้วเสือกตัวพรืดขึ้นไปบนเตียง เพื่อเตรียมนอน
คุณนิทานอายุ 2 ขวบ 8 เดือน ก็ต้อนรับด้วยการดิ้นและกวาดขา 180 องศา ทิ้งส้นตีนลงมา โป้ง! กลางเบ้าตาผู้เป็นบุพการีพอดี
ลูกเมียนอนหลับปุ๋ยสบาย ส่วนอีพ่อนอนกุมเบ้าตาด้วยความปวดร้าว แล้วก็หลับ ตื่นมาก็ลืม
แล้วก็บวม
The post วันที่ฉันเสียน้ำตา appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 3, 2015
LINE WebToons / ยุคใหม่ของวงการการ์ตูนและเว็บในบ้านเรา
หลังๆ มานี้ไม่ค่อยได้เขียนอะไรเนิร์ดๆ เพราะลาออกจากวงการเว็บและแอปแล้ว งานอดิเรกที่ชอบคุ้ยหาแอปเจ๋งๆ หรือเครื่องมือพัฒนาเว็บดีๆ ก็เลยจางหายไปด้วย แต่ปริมาณการอ่านการ์ตูนก็ยังคงเส้นคงวา คือไม่ได้เยอะเหมือนนักอ่านสายจริงจัง แต่เรียกว่าอ่านแทบทุกครั้งที่มีเวลาว่าง(อันน้อยนิด)จากการเลี้ยงลูก
แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่อ่านการ์ตูนละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะอะไรไม่รู้ รู้สึกว่าจะเป็นศักดิ์ศรีค้ำคอของคนทำงานสายสร้างสรรค์ (ก็เป็นข้ออ้างที่น่าจะฟังขึ้น)
ที่สำคัญคือการอ่านการ์ตูนที่สร้างมาเพื่อให้ได้อรรถรสเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่บนกระดาษ แต่แม่งดันมาเลื่อนๆ ดูในจอ มันไม่ใช่อะ กระดาษมันต้องพลิกอ่านสิวะ
แอป LINE WebToons นี่ ผมรู้จักครั้งแรกก็ตอนที่เล่นไลน์ตามปกติ แล้วพอดีมันอยู่ในหน้าแจกเหรียญฟรี ด้วยความโลภอยากเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อโหลดสติกเกอร์ฟรี ก็เลยโหลดมา ลองเปิดดู พบว่ามันเจ๋ง เลยกลายเป็นแอปที่เปิดเสพเป็นอันดับแรกๆ ของทุกๆ วันไปแล้ว (สารภาพว่าเพิ่งรู้ว่ามันมีเว็บก็เมื่อกี้ตอนค้นกูเกิลว่าชื่อมันเขียนยังไงนี่แหละครับ แล้วเวอร์ชันเว็บกฌเสือกครบกว่าในแอปมือถือที่ทำมาดีมากๆ อยู่แล้วอีกด้วย)
การได้เจอแอปดังกล่าว ความคิดที่ว่า “อ่านการ์ตูนมันก็ต้องสัมผัสกับกระดาษสิวะ ถึงจะได้อารมณ์” ก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
เปล่าหรอก ไม่ได้บอกว่าการจับกระดาษ สูดกลิ่นน้ำหมึก และพลิกหน้าไปนิ้วดำไปอย่างที่ทำในทุกวันนี้มันไม่ดี แต่วัฒนธรรมรากฐานการผลิตงานการ์ตูนในรูปแบบของ “หนังสือเล่ม” นั้น เขามีกรอบที่เป็นกติกาอยู่
คือเวลาอ่าน มันต้องพลิก / เสพภาพรวม / แล้วค่อยเก็บรายละเอียดด้วยการกวาดสายตา มองซ้าย มองขวา (หรือกลับกันถ้าเป็นการ์ตูนที่อ่านจากขวามาซ้าย) แล้วพลิก / แล้วเสพ / ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนจบเล่ม (ฟินไหม ฟินเนอะ) ซึ่งสิ่งนี้ดันทำได้ไม่ดีเมื่อมาอยู่ในจอคอมหรือมือถือซะยังงั้น เช่นเดียวกับพวกอีแม็กกาซีนต่างๆ ที่ดูยังไงก็ยังยึดติดกับภาพเก่าๆ ว่ามันต้องมีหน้าขวา หน้าซ้าย — หรือแม้แต่จะต้องมีแนวคิดแบบ “หน้า” อยู่เสมอ
ผมเองไม่ชอบเลย เวลาเห็นนิตยสารที่จัดเลย์เอาต์เป็นหน้าๆ เรียบร้อยเหมาะสำหรับการอ่านในเล่ม แต่นี่คือสแกนมาเป็น PDF แล้วเอามาให้อ่านบนจอ คือมันไม่ใช่อะตึ๋ง
ซึ่งพอมาอ่านการ์ตูนในแอปเว็บตูนส์นี่ แม่งเปลี่ยนความคิดเลย
การ์ตูนแต่ละเรื่อง (มีมาจากหลายสัญชาติ รวมถึงไทยด้วย แบ่งแนวเรื่องไว้เรียบร้อย) ใช้วิธีการดำเนินเรื่องแบบที่เหมาะกับการอ่านผ่านหน้าจอมือถือโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นภาพนิ่งยาวๆ ต่อๆ กัน (ส่วนมากจะเขียนสวยมากๆ จนชักอยากรู้ค่าต้นฉบับ)
เวลาอ่านก็คืออ่าน หรือกวาดสายตาเสพภาพที่ปรากฏในหน้าจอมือถือ พอเสพจนจืด ก็รูด เลื่อนไปยังจอถัดไป หรือบางโอกาสอาจจะเลื่อนนิดเดียวก็ได้ หรือบางโอกาสก็ต้องเลื่อนลงไปยาวมากๆ ก็มี แต่ละภาพไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีจำกัดว่าตอนนึงจะต้องมีจำนวนหน้าเท่าไหร่ เพราะบางทีก็เจอทั้งสั้นบ้างยาวบ้าง ขาวบ้างดำบ้าง และสีบ้าง แต่หนึ่งตอนคือเหมือนเราดูซีรี่ส์จบหนึ่งเฮือกพอดี
จะเห็นประสิทธิภาพของการออกแบบประสบการณ์การอ่านนี้ได้ชัดกว่าปกติในการ์ตูนแนวระทึกขวัญครับ เพราะบางทีผู้เขียนก็เว้นจังหวะภาพด้วยการทิ้งที่ว่างไว้มืดๆ ยาวๆ ให้รูดปื้ด ปื้ด ปื้ดดดดดด ไล่ลงมา อึดใจที่รูดก็มีช่วงเวลาที่เราอินไปกับเนื้อเรื่องไปด้วย นั่นก็เป็นอารมณ์หนึ่ง
บางทีก็มีภาพที่เขียนไว้ภาพเดียวยาวๆ แบบพาโนรามาแนวตั้ง เช่นเรื่องวันสิ้นโลกหรืออะไรแนวนี้ (จำชื่อไม่ได้ ขี้เกียจหยิบมือถือมาดู) เวลารูดดูยาวๆ นอกจากจะตื่นตาตื่นใจกับงานภาพแล้ว มันยังทำให้เราจมไปกับเนื้อเรื่องเหมือนเป็นผู้แพนมุมกล้องด้วยตัวเองอีกด้วย
เหี้ย มันเจ๋งมากครับ ประสบการณ์อ่านแบบนี้ ตอนนี้เลยติดหนึบหนับอยู่หลายเรื่องเลย
แถมการ์ตูนก็มีหลายเรื่อง อัปเดตทุกวัน ตื่นมาปั๊บ เอาละ เห็นโนติของเรื่องที่ fav ไว้เด้งขึ้นมา ก็อ่านไปขี้ไป เพลินมากครับ ปริมาณ 1-2 เรื่อง/ตอน มันกำลังเหมาะกับการขี้อย่างพอดิบพอดี คือมึงคิดมาจบมาก
เข้าใจว่าวิธีการผลิตสื่อแบบนี้ในญี่ปุ่นหรือเกาหลีคงมีมานานแล้ว เพราะเขาเป็นสังคมมือถือมาก่อนบ้านเรา การรูดอ่าน และการออกแบบ UX ของแอปแนวๆ นี้คงมีให้เห็นอีกหลายเจ้า (แต่ผมเคยเห็นแค่ไม่กี่อัน นอกนั้นจะเป็นพวก Manga Reader ซึ่งยังไงก็ยังเป็นการพลิกแบบ “หน้ากระดาษ” อยู่)
แต่ของบ้านเรานี่ สถิติการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือเอาชนะการเข้าผ่านหน้าจอคอมไปตั้งแต่ปีก่อน (เมื่อก่อนพูดเรื่องนี้จะตกใจและนึกภาพกันไม่ออก แต่ทุกวันนี้มันคือเรื่องธรรมดาแล้ว) ดังนั้นนโยบาย mobile-first นี่คือปัจจุบันแล้ว “มึง ทำเว็บให้มือถือก่อนสิโว้ย” ได้ตั้งนานแล้ว
เพราะต้นทุนการผลิตนิตยสารมันแพงมากๆ แถมผู้อ่านกลุ่มสำคัญยังเลิกอ่านกระดาษ หันไปอ่านผ่านจอ(เถื่อน)แทน นั่นเลยทำให้บูมเจ๊ง และนิตยสารการ์ตูนไทยเกิดมาทีไรก็เจ๊งกันแทบทุกเจ้า เจ้าที่ยังเหลืออยู่ก็ร่อแร่กันทั้งนั้น
ดังนั้นถ้าใครเห็นจุดพลิกผันเมื่อปีที่แล้วนี้ (คนอ่านมือถือ (ไม่ใช่จากคอมนะ) มากกว่าอ่านจากกระดาษ) นั่นคือโอกาสอย่างดีของค่ายนิตยสาร ไม่ว่าจะเป็นแนวการ์ตูนหรือไม่ก็ตาม
คีย์เวิร์ดสำคัญคือทุกคนมีมือถือ มีหน้าจอส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วนะครับ – เฮ้ย โคตรน่าสนุกกกก
ป.ล.
ในเว็บตูนส์นี่ ที่ชอบมีหลายเรื่องนะ ชอบสุดตอนนี้คือเรื่องลูกเต๋า กับเรื่องเซียนเกม ส่วนเรื่องที่เหี้ยมาก แนะนำสำหรับส่งให้เพื่อนที่เกลียด (นี่คือคำชม) คือเรื่องเทพบุตรมิติที่ 10 อะไรสักอย่าง แม่งอุมาก อุจนอยากปามือถือทิ้ง (แต่ก็กด fav และรอคอยการอัปเดตของมันอย่างเหนียวแน่น) ลองโหลดดูครับ อ่านดูสักเรื่อง
ป.อ.
สมัยผมเลิกทำเว็บเฟล ตอนนั้นเป็นช่วงที่เฟซบุ๊กกำลังเริ่มเข้ามามีอิทธิพล และกลืนกินเว็บใหญ่ๆ ตายห่าตายเหี้ยน เว็บเฟลก็โดนผลกระทบพอสมควร (ตอนที่เพิ่งเริ่มทำเฟล นั่นคือแค่มีปุ่มแชร์ขึ้นเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ก็โคตรเจ๋งแล้ว) แต่พอมาถึงวินาทีนี้ อยู่ดีๆ ก็มีเว็บ “นอกเฟซบุ๊ก” ผุดขึ้มาเป็นปริมาณมหาศาล โอเคมันมีหลายเว็บที่ “ลอก” BuzzFeed มา แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธว่าการมีอยู่ของเว็บพวกนี้ มันทำแล้วโคตรประสบความสำเร็จเลย โมเดลการหารายได้มันเลี้ยงชีพได้จริงๆ จนน่าเอามาประยุกต์ใช้กับเว็บที่มีเนื้อหา “เป็นของตัวเอง” (อย่างสำนักพิมพ์ที่มีนักเขียนในสังกัด) และใช้โซเชียลต่างๆ ที่ตอนนี้เบ่งบานและสำแดงพลังกันเต็มที่ในขณะนี้ มาช่วยรับรองความสำเร็จ คือถ้าคนทำมีกึ๋นพอ มีเนื้อหาสักตอนสองตอนที่มันดังเปรี้ยงขึ้นมาจนยี่ห้อของตัวเองติดลมบน เท่านี้ก็สนุกสุดๆ ไปเลยนะครับ
ป.ฮ.
เออๆ ให้นึกถึงเว็บดราม่าก็ได้ เพราะอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนเฟซบุ๊กครองประเทศ จนตอนนี้มาถึงยุคมือถือสดๆ ร้อนๆ แล้ว จุดแข็งสำคัญยังคงเป็นการใช้ประโยชน์จากทั้งโซเชียลเองมาเป็นแขนขาเสริมกำลังให้กับเว็บ และใช้กระแสของเนื้อหาที่คัดมาแล้วว่าเป็นของขายได้ตลอด ทำให้มันอยู่ได้ …ไม่ใช่อยู่ได้ธรรมดา แต่อย่างแข็งแรงล่ำซำ มีแฟนคลับและเหล่าสาวกเหนียวแน่นมากๆ ด้วย (ที่จริงไม่ได้ตามอ่านดราม่ากันหรอก แต่คือคอยดูจ่าพิชิตว่าจ่ามันจะซื้ออะไร จะได้รอสักพักให้ลดราคางี้ โคตรศักดิ์สิทธิ์)
The post LINE WebToons / ยุคใหม่ของวงการการ์ตูนและเว็บในบ้านเรา appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
January 2, 2015
อินไซด์เอาต์
ดินเนอร์แบบฮิปสเตอร์ #yesfilter pic.twitter.com/IfSx98LAIF
— 益 (@iannnnn) January 2, 2015
วันนี้มีความสุข
ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรือเป็นกรณีพิเศษมหัศจรรย์ใดๆ เลย แค่นั่งหน้าระเบียงบ้าน แล้วย่างเนื้อโพนยางคำกินกับเพื่อนและพี่ที่คุยภาษาเดียวกันเข้าใจ จนพิธีกรรมสังหารหมู่เสร็จสิ้นลง มิตรสหายแยกย้ายกันหอบลูกเต้ากลับบ้าน เก็บกวาด ทิ้งขยะเสร็จแล้วก็มานั่งผึ่งพุงเขียนบันทึกประจำวัน
ในเมื่อความสุขมันคือสารอาหารของหัวใจ การที่มีความสุขง่ายๆ แบบนี้โดยไม่ต้องลงทุนทั้งเวลาและเงินทองอะไรมากมายเลย งานนี้ก็ถือว่าคุ้มสุดๆ
ชอบสังเกตตัวเองเวลาในหัวมันเกิดอารมณ์อะไรขึ้นมาบางอย่าง (ไม่ใช่หมายถึงตอนเงี่ยน อันนั้นไม่มีเวลามาสังเกตหรอกเพราะมีเรื่องให้จดจ่ออยู่แล้ว) คุ้นๆ ว่าไอ้การมองเห็นคาแรกเตอร์ของอารมณ์แบบนี้ มันมีศัพท์ในทางพุทธด้วยนะ แต่ไม่มีความรู้ด้านนั้น เอาเป็นว่าผมชอบสังเกตอารมณ์ของตัวเองละกัน เวลาสุขเนี่ยมันสนุกดี มันจะรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านไปนั้นมันมีค่า รู้สึกได้ว่าวันที่ผ่านมาและกำลังจะจบไปนั้น เราไม่เสียเวลาเปล่า
สมมติชาตินึงเราเกิดมาจนแก่ตายไปด้วยอายุขัย 20,000 กว่าวัน ก็ถือว่าวันนี้กระดานเป็นสีเขียว เป็นพอร์ตอย่างดีเวลาตายห่าไปพบยมบาล เวลาเล่าก็จะภูมิใจ
กลับกันเวลาวันไหนที่อารมณ์ขุ่นมัว ไม่ว่าจะด้วยอะไร วันนั้นจะรู้สึกว่าเสียเวลา กระดานเป็นสีแดง รู้สึกขาดทุน ชีวิตกูยิ่งสั้นๆ อยู่ ก็เลยไม่ค่อยได้ขุ่น
อันนี้เป็นจริงๆ ไม่ได้ประดิษฐ์ คือนึกไม่ออกว่าเราจะขุ่นด้วยเรื่องอะไร
ทะเลาะกับเมียเหรอ แป๊บๆ ก็หายแล้ว (เวลาทะเลาะกันไม่ว่ากับใคร เชื่อว่าการคุยกันตรงๆ นั้นปิดได้ทุกคดี) หรือไปโกรธเกลียดใครเหรอ ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยโกรธเคยเกลียดใครบ้างไหม นี่ให้นึกกรณีศึกษาตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็นึกไม่ออก เนี่ยพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็ยังนึกไม่ออก
แค่นึกก็เสียเวลาแล้ว แล้วเวลาไปโกรธใครหรือเกลียดใคร มันไม่ยิ่งบั่นทอนชีวิตเข้าไปใหญ่เรอะ
ไอ้ความโกรธหรือเกลียดใครไม่เป็นนี่ ///// เออๆ พอพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็นึกออกแล้ว เวลาผมโกรธ มันจะปรี๊ดขึ้นมาถึงกลางๆ มิเตอร์ แล้วก็ลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะอะไร… อาจจะเป็นของขวัญจากเทพเพอร์ซิอุสก็ได้นะ
ส่วนความเกลียดนี่ก็เพิ่งนึกออกว่าเคยรู้สึกเกลียดอย่างรุนแรงขึ้นมาครั้งหนึ่ง นี่ถึงขนาดนึกประโยคออกว่าเคยทวีตไว้เมื่อ 4-5 ปีก่อนเลยว่า
ข้อดีของการไปเจอคนทำตัวเหี้ยๆ คือเรารู้ว่าไอ้การทำแบบนี้คือเหี้ย และเราจะไม่ทำ
— 益 (@iannnnn) August 5, 2010
สังเกตว่าเวลาเกลียด จะไม่ได้เกลียดที่ตัวคน แต่เกลียดที่_____ของเขา (นิสัย พฤติกรรม การแสดงออก หรืออะไรก็ตามที่เป็นเอาต์พุตและส่งผลกระทบมาถึงเรา) สิ่งนี้เลยทำให้เรามานั่งมโนต่อไปได้ว่า เออ ถ้าเราเกลียด_____ของเขา แล้วจะจัดการกับความเกลียดนั้นอย่างไร
ก็อุตส่าห์เป็นความเกลียดที่โลกสวยได้
ความกลัวล่ะ? กลัวผีก็ไม่ได้กลัวแล้ว จนกว่าจะเจอครั้งถัดไป แต่ดันเริ่มมีนโยบายชัดเจนในหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าถ้าเจอผีจะตั้งสติและขอสัมภาษณ์ให้ได้ มีหลายเรื่องอยากถาม เลยไม่กลัวผี
เออๆๆ นึกออกแล้ว ผมกลัวตะขาบ เวลาเจอตะขาบ (ในสภาพที่มันเป็นอิสระและเสี่ยงต่อการโดนโจมตีจากมันงี้นะ ถ้าเห็นตัวเฉยๆ จะไม่กลัวมาก) แบบนี้ล่ะกลัวฉิบหายเลย กลัวตุ๊ดแตกเลย
กลัวจนไม่มีเวลาสังเกตอาการของตัวเอง เนื่องจากแรมสมองไม่พอ เอาสติไปอยู่ที่ตาตุ่มหมด
The post อินไซด์เอาต์ appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
December 31, 2014
ปีดี
ปีที่แล้วโอเคนะ ใช้ได้ มองตัวเองแล้วเริ่มเข้าสู่ช่วงที่กำลังพอเหมาะ
พอเหมาะคือไม่ได้อยู่ในช่วงแสวงหาอีกต่อไปแล้ว คือจะบอกว่าเจอสิ่งที่ตามหาเรียบร้อยแล้วก็ได้
“สิ่งที่ตามหา” นี่มันเป็นนามธรรมนะ แต่ละคนคงไม่เหมือนและไม่มีวันที่จะเหมือนกัน อย่างของผมนี่คงเป็นครอบครัว
ได้พิสูจน์จนมั่นใจว่าการลำดับความสำคัญในชีวิตโดยใช้ครอบครัวเป็นธงนำอันดับหนึ่งนั้นถูกต้องแล้ว
แต่ก็ยังไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นฝันใกล้ๆ แบบที่เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงก็ตาม แต่การยังมีฝันนี้เอง ที่กระซิบว่ามึงยังไม่แก่พอที่จะนั่งคุยกับใบไม้ปลิวไปซะทีเดียว
เพราะฝันก้อนใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างสว่างไสว แม่งก็เกิดจากการมีครอบครัว และมีลูกนี่เอง
เป็นพรมแดนที่คนไม่มีลูกไม่มีทางเข้าใจ 5555
อ้อ…
ปีนี้น่าจะได้เห็นอะไรสนุกๆ ที่บ่มเพาะมาสักพักด้วยแหละ
The post ปีดี appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
December 28, 2014
เพื่อนทำร้านทอง
เพื่อนโบว์ทำร้านทอง เพิ่งไปนั่งคุยมาเมื่อกี้ มีหัวข้อน่าสนใจเลยกลับมาจดไว้
เวลาที่ค่าทองผันผวน เช่นอยู่ดีๆ ก็ตกฮวบๆ ร้านก็แบกรับความเสี่ยงไป บางทีวันเดียวขาดทุนเป็นล้าน หรือสิบล้านก็เคยมีมาแล้ว
กำไรจากร้านทองไม่ได้มาจากการซื้อทองของคุณหญิงคุณนาย แต่มาจากการ “ขายฝาก” (มองในมุมเจ้าของทองก็คล้ายกับการเอาทองไปจำนำ แต่ใช้คำที่มันดูซอฟต์หน่อย แต่ที่จริงคำว่าขายฝากนี่มีผลทางกฎหมายอยู่นะ สนใจกูเกิลดูได้) โดยเรตราคาตามตารางที่เขียนเป็นประกาศไว้ข้างผนังคือ สมมติฝากในราคาหนึ่ง เช่นทองเส้นละ 10,000 บาท ฝากไว้ 15 วัน ต้องจ่ายดอก 1.5% คือ 150 บาท หรือถ้าฝาก 1 เดือน ดอกก็น้อยลงมาหน่อย มีเรตตามกฎหมายควบคุมอยู่
ในร้านมีสมุดเซ็นของตำรวจ สายตรวจก็มาแวะเวียนตรวจความเรียบร้อย และถ่ายรูปส่งไลน์ไปรายงานเบื้องบน ถามไปว่าแบบนี้ต้องเสียเงินให้ตำรวจไหม คำตอบคือไม่ต้อง (อันนี้เพิ่งรู้ว่าไม่ต้องจ่าย) เพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว กลับกันถ้าไม่มานี่สิจะกลายเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ฐานละเลยฯ แต่ทางร้านก็ให้สินน้ำใจเป็นน้ำดื่มบ้าง กระทิงแดงบ้างทุกวัน
กลัวโจรไหม? กลัว บอกเลย ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ยังไม่มีลูกกรงกั้นระหว่างคนซื้อกับคนขาย ตอนนั้นวิตกมากเพราะข่าวปล้นร้านทองบ้านเรามีถี่เหลือเกิน แม้แถวปทุมจะยังไม่มี แต่ก็กันไว้ก่อนด้วยการติดลูกกรงกั้นไว้ ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ก่อนหน้านี้เคยเว้นร่องไว้หน่อยนึง แต่พอมีข่าวโจรที่อุตส่าห์เอาขวานฟันร่องที่ห่างให้แหกออกจากกันแล้วมุดเข้ามาได้ ก็เลยเสริมเพิ่มความถี่ของลูกกรงเข้าไปอีก แถมในร้านมีกล้องวงจรปิดความละเอียดสูง และประตูที่ล็อกไม่ให้ออกหรือเข้าจนกว่าเคาน์เตอร์จะกดอนุญาต อ้อ ที่สำคัญคือเจ้าของร้านมีปืนติดตัวไว้ด้วย
ทอง 1 สลึงนั้นมีทั้งแบบเส้นเล็กบางเฉียบ แต่แน่น จับแล้วรู้สึกว่าเป็นเนื้อทองจริงๆ กับแบบที่ตีโป่ง ข้างในเป็นโพรงอากาศล้วนๆ เวลาจับถือแล้วจะตกใจ ว่าทองเส้นขนาดนี้มันเบาได้งี้เลยเหรอวะ
อันนี้รู้นะ ว่าน้ำหนักของทองนั้นเป็นมาตรฐาน ดังนั้นเวลาซื้อขายกันจะมีการชั่งน้ำหนักเป๊ะๆ ด้วยเครื่องชั่งความละเอียดสูง แต่ถามว่ามีการสอดไส้เป็นโลหะชนิดอื่นไหม มีครับ! ถ้าจำไม่ผิดจะมีเหตุเกิดขึ้นแถวๆ ลาดหลุมแก้วมั้ง มีคนเอาทองมาฝากไว้ แน่นอนว่าฝากเสร็จก็หายไป เจ้าของร้านมาดูอีกที อ้าว ข้างในเป็นเงินยัดไส้ไว้เหมือนกูลิโกะโคลลอน! แล้วมีวิธีตรวจสอบไหม มีครับ ง่ายสุดคือหลอม แต่จะยากนิดนึงตรงที่ทองส่วนใหญ่ที่เข้ามาคือลูกค้าเอามาฝาก ทางร้านจะไม่สามารถไปทำอะไรทองของลูกค้าได้ (แต่เขาก็มีวิธีของเขาละกัน)
เจ้าของร้านบอกว่า การที่มีร้านมาตั้งอยู่ทำเลนี้ ถือว่าต้อนรับ AEC เลยนะ เพราะลูกค้าหลักๆ เป็นแรงงานต่างชาติสารพัดประเทศ ที่มีทั้งซื้อทั้งขาย โดยทองเป็นทรัพย์สินสากลที่เอามาเปลี่ยนเป็นเงินได้
เวลาเข้ามาในร้าน ไม่ต้องถอดรองเท้านะ ถ้าพูดแบบสุภาพคือจะได้ไม่ต้องเปื้อนเท้า แต่ถ้าตอบจริงๆ คือเหม็นตีนลูกค้ามาก
The post เพื่อนทำร้านทอง appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
December 21, 2014
ปั่นจักรยานสร้างบ้าน
ทีแรกว่าจะเขียนเป็นประเด็นๆ ไป นั่นคือเรื่องปั่นจักรยานหนึ่งล่ะ สร้างบ้านอีกหนึ่งล่ะ แต่นี่คือเพิ่งปั่นเสร็จ จอดรถไว้แล้ววิ่งขึ้นมาเปิดคอมเลย ไม่งั้นเหงื่อแห้งแล้วจะไม่ได้เริ่ม …ชื่อเรื่องของบล็อกนี้ก็เลยดูจับฉ่ายส่งเดชอย่างที่เห็น
เราแม่งไม่สามารถปั่นจักรยานเพื่อการออกกำลังกายแบบชาวบ้านได้จริงๆ นะ 囧 เนี่ยปั่นมาไม่ถึง 10 กิโล แวะถ่ายรูปตลอดทางแทบจะทุกร้อยเมตร ชิลเกินไป
— 益 (@iannnnn) December 22, 2014
1. ปั่นจักรยาน
มี Tern Link C7 อยู่คันนึง เป็นจักรยานพับที่ซื้อไว้ปั่นไปตลาดลาดปลาเค้าเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ลูก หรือน้ำขิงให้เมียเท่านั้น ไม่รู้จักวงการออกทริปหรือเข้ากลุ่มสมาคมใดๆ แถมยังนานๆ ทีที่จะปั่นไปธุระในเมือง (ไปต่อรถไฟฟ้าอีกที) แน่อนอนว่าทั้งหมดคือเอาไว้เดินทางตอนอารมณ์ดีๆ ไม่ได้ปั่นเพื่อออกกำลังกายเลย ดังนั้นระยะเกินยี่สิบกิโลนี่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่มีปัญญา 5555 (ที่จริงสาเหตุหลักคือลูกสาวสองตัวมันยุ่ง หนีไปปั่นคนเดียวไม่ได้ สงสารเมียรับมือคนเดียวไม่ไหว) (ข้ออ้างฟังขึ้นนะ)
ทั้งนี้เวลาไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ ทีนึงก็จะขออนุญาตพับยัดใส่ท้ายรถไว้เพื่อหาโอกาสตอนเช้าๆ ไปปั่นชมวิวสักหน่อย แน่นอนว่าไม่เคยปั่นเกินสิบกิโลหรอก เพราะปั่นไปก็ถ่ายรูปไปตลอด เป็นพวกสนใจกับอะไรข้างทาง มันได้สุขภาพใจ แต่สุขภาพกายไม่ได้
แรงบันดาลใจในการเริ่มปั่นก็คงเพราะตอนไปเที่ยวโอซาก้าเมื่อ 2 ปีก่อน (เป็นรุ่นท้ายๆ ที่ค่าตั๋วเครื่องบินขนาดมีโปรยังแพง แถมต้องทำวีซ่าญี่ปุ่นด้วย มันน่าภูมิใจไหมสัส) แล้วเจอพี่คนนี้
ไอดอลเลย พี่ฮิปได้ขนาดนี้ แถมยังปั่น “เพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน” โดยไม่ต้องแต่งชุดยอดมนุษย์วาร์ปบอย หรือซื้อจักรยานแข่งมาปั่นในถนนที่มีแต่ฝาท่อระบายน้ำแบบนักปั่นในบ้านเรา ขอแสดงความนับถือและปฏิบัติตามครับ
เสียดายเหมือนกันที่ว่าจะเขียนบล็อกเรื่องไปเที่ยวญี่ปุ่น เอาเฉพาะมุมมองเกี่ยวกับจักรยานที่โอซาก้าอย่างเดียวเพราะสนใจมากๆ แต่ก็ไม่ได้เขียน ในขณะที่อีปิงที่สนใจเรื่องของกิน ก็เล่าไว้อย่างจัดเต็มจนเป็นกระทู้เมพของพันทิปไปแล้ว จนเดี๋ยวนี้คนไทยแม่ง(โชว์การ)ไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยกว่าไปหัวหินอีก ที่สำคัญคือบนท้องถนนเรารู้จักจักรยานกันแล้ว ในขณะที่เมื่อ 2 ปีก่อนมันยังเป็นสิ่งแปลกปลอมอยู่เลย ก็ถือว่าก็ช่างมันละกัน 555 (เรื่องจักรยานที่ญี่ปุ่นนี่ ไปอ่านของ @arjin หรือดูอัลบั้มที่มีแต่ภาพจักรยานนี่ก็ได้)
อันนี้บล็อกจักรยานที่ขยันอัปกว่าบล็อกหลัก ride.iannnnn.com
.
การมีความฝันนี่มันดีชะมัด แม้กระทั่งในวัยที่ต้องเผชิญความจริงอยู่ทุกวันแบบนี้ การได้ฝันมันโคตรเร่งพลังเลย
— 益 (@iannnnn) December 21, 2014
2. สร้างบ้าน
เป็นความฝันในวัยเกษียณของผมเลยครับ โอเคเราอาจเกษียณเร็วกว่าชาวบ้านสักหน่อย (อะไรนะ นี่เกษียณแล้วเหรอ / ใช่ครับ รายละเอียดไปอ่านได้ในหนังสือ Sloth Machine ได้ #ไม่ขายของตอนนี้จะขายตอนไหน) แต่การได้ผุดโปรเจกต์สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของตัวเอง นั่นคือโปรเจกต์หนองแฟบ
ไอ้ที่เขียนไว้ในลิงก์ตอนนั้นคือการกำเงินไปซื้อที่ดินเพื่อลาออกจากกรุงเทพฯ ตามความฝัน แต่ตอนนี้คืออยู่ในช่วงออกแบบบ้าน :D โดยก่อนหน้านี้นานๆ ไม่ได้เคยคิดมาก่อนเลยครับว่าตัวเองซึ่งเป็นเด็กถาปัดที่โง่วิชาถาปัดมากๆ จะมาสนใจหลักสูตรสมัยปีหนึ่งที่เคยไม่ตั้งใจเรียนเลย จนผ่านมา 15 ปีแล้วเพิ่งมาสำเหนียก และก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าเป็นระยะที่ขยันเก็บเกี่ยวความรู้เอามากๆ
การสร้างบ้านเองมันต้องเตรียมตัวกันนานเท่าไหร่นะ อันนี้ไม่รู้จริงๆ แล้วก็คิดไปเองด้วยว่าแต่ละคนมันก็มีระยะเวลาเตรียมความพร้อมไม่เหมือนกัน เพราะบ้านหลังปัจจุบันนั้นจากระยะที่ตัดสินใจว่าอยากมีบ้าน จนกระทั่งได้เข้ามานั่งขี้ในส้วมของบ้านตัวเองนี่มันก็สั้นแป๊บเดียว ขอแค่หาตังค์ไปถวายเป็นเงินดาวน์ในโครงการบ้านจัดสรร ก็เท่านี้เอง
แต่กับการปลูกบ้านใหม่เลยนี่ มันเริ่มตั้งแต่เตรียมดิน เตรียมเมล็ดพันธุ์ เตรียมทั้งความพร้อมและความรู้สารพัด ที่สำคัญคือเตรียมหัวใจด้วย (เออ ลืมเตรียมเงินไปอีกอย่าง ข้ามไปละกันนะ เดี๋ยวไม่โลกสวย) ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอแค่ให้เมล็ดพันธุ์นั้นสุกงอม และอีเพื่อนที่เป็นสถาปนิกแม่งว่างซะที ก็เท่านั้นเอง
อ้อ ผมจบคณะสถาปัตย์ด้วยผลการเรียนย่ำแย่ฉิบหายเลยครับ เหมือนพ่อแม่กู้ยืมเงินมาส่งลูกไปเล่นในมหาลัยมากกว่าเรียน และด้วยความคิดว่าเราไม่มีทางเป็นสถาปนิกได้แล้ว ก็เลยไม่ได้สอบใบวิชาชีพอะไรทั้งสิ้น แถมในใจนึกวิธีลัดไว้แล้วว่าถ้าอยากออกแบบบ้าน ก็จ้างเพื่อนที่มันเก่งๆ สิวะ 555
จบด้วยบล็อกหนองแฟบ ซึ่งอัปบ่อยกว่าบล็อกจักรยานที่อัปบ่อยกว่าบล็อกหลักอี๊ก! nongfab.iannnnn.com
ป.ล.
นี่เมื่อเช้าอากาศกำลังดี ไม่ร้อน แถมลูกเมียไม่อยู่ เลยไปปั่นชิลวนรอบสี่เหลี่ยมลาดปลาเค้า (เข้ามัยลาภออกรามอินทรา) มา แค่สิบกว่ากิโล ล่อไปเกือบสองชั่วโมงครับ จอดถ่ายรูปกับส่องดูดีเทลบ้านชาวบ้านตลอดทางครับ
ป.อ.
เออ เรื่องวงการออกแบบบ้านนี่ก็แปลกดี กฎหมายห้ามสถาปนิกโฆษณาหรือพรีเซนต์ตัวเอง (อ่านแล้วงงใช่ไหมครับ ผมก็งง) แถมยังมีจรรยาบรรณว่าห้ามวิจารณ์งานกันด้วย ทั้งที่บ้านแต่ละหลังที่ผ่านการออกแบบมาอย่างละเมียดละไมนั้นมันคือพอร์ตงานอย่างดี สมควรอวด และแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นกัน ก็เลยงงว่ากฎิกานี้ ณ พ.ศ.นี้มันยังใช้ได้อยู่อีกเหรอ ทุกวันนี้เวลาผมจะหาองค์ความรู้เรื่องการออกแบบตัวบ้าน ก็เลยได้จากการขี่จักรยานแล้วไปส่องๆ ตามประตูรั้วเขามากกว่า ถ้าวันหนึ่งผมโดนกระทืบหรือโดนตำรวจเรียกก็ช่วยๆ กันแก้ตัวให้หน่อยนะครับ ผมไม่ได้จะมาขโมยไก่ชนของพี่นะ T-T
ป.ฮ.
นังปุก เพื่อนของข้าพเจ้า (ที่เป็นทั้งงูเหลือมและเน็ตไอดอลในคนเดียวกัน) มันถามว่า “ทำไมแกไม่เขียนเรื่องอะไรพวกนี้เลยวะ ชั้นรอตามอ่านอยู่นะ” เลยบอกมันว่า “อัปน่ะอัปตลอดแหละ แต่ไม่ได้ปล่อยขึ้นโซเชียล (ในที่นี้ก็หมายถึงเฟซบุ๊ก) ตลอดมันซะทุกเรื่องเท่านั้นเอง” การไม่ได้ถวายข้อมูลขึ้นเฟซบุ๊กให้คนกดไลก์นี่คือถือว่าไม่มีตัวตนอยู่ในโลกแล้วใช่ปะ อีบ้า
The post ปั่นจักรยานสร้างบ้าน appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
December 15, 2014
ทบทวนทุกอย่าง
บรรทัดต่อจากนี้ไปขอให้อ่านโดยนึกอยู่เสมอว่าผมที่เป็นผู้เขียนเนี่ย เขียนด้วยหน้านิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกคร่ำครวญหรืออะไร แต่อยากบันทึกความรู้สึกไว้ เพราะคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าดี แน่นอนว่าเขียนเรื่อยๆ นึกอะไรออกก็พิมพ์เหมือนเดิม อย่าหวังความสละสลวย
วันนี้พี่ที่เคารพท่านนึงชื่อจ๋ง (นามสมมติ ซึ่งจริงๆ แกก็ชื่อจ๋ง) นัดสัมภาษณ์ที่ร้านแถวบ้านผม อันที่จริงบ้านผมกะบ้านแกนี่ปุ่นจักรยานไปเจอกันได้ภายใน 10 นาทีด้วยซ้ำ
ประเด็นที่แกมาสัมภาษณ์คืองานวิจัยเกี่ยวกับศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นความลับหรือเปล่า (ลืมถามแก) แต่ก็น่าจะพูดได้แหละ แค่จำมาเขียนไม่หมดเท่านั้นเอง
การสัมภาษณ์นี่ไม่ใช่นั่งถือไมค์ มีบันทึกภาพ หรืออะไรใหญ่โต แต่เป็นการคุยง่ายๆ ในร้านไอติม ดูไกลๆ แล้วเหมือนนั่งเกย์จีบกันมากกว่า ความคาดหวังของคนสัมภาษณ์คืออยากได้มุมมองเกี่ยวกับดีไซเนอร์ กับความคาดหวังต่างๆ เพื่อยกระดับวงการนักออกแบบและสร้างสรรค์ในประเทศไทย
มีเนื้อหาท่อนนึงที่พี่แกพูดขึ้นมาว่า “ไอ้การที่อเมริกามันมีบิลเกต สตีฟจ็อบส์ หรือมาร์กซักเคอร์เบิร์กเนี่ย ไม่ใช่ฟลุกเลยนะ ภาครัฐเขาทุ่มเทกันตั้งเท่าไหร่ กว่ามันจะออกดอกออกผลก็ผ่านไป 20-30 ปี ซึ่งประเทศเราก็ต้องทำได้ โดยเฉพาะในวงการของคนออกแบบ”
ผมนี่อึ้งไปเลยครับ เหมือนตัวเองเล่นมาริโอ้ด่านแรกอยู่ดีๆ แล้วมีโคตรไททันตัวสูง 120 เมตรโผล่มาในฉาก
บทสนทนาในวันนี้เลยกลายเป็นผมซะอีกที่นั่งฟังพี่จ๋งพูดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่อลังการ (และอหังการ) ของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ โดยตั้งใจจะปรับใหม่ เหมือนรีบูตใหม่หมดเพื่อตอบโจทย์ของคนทำงานสายออกแบบ ที่มีวัฒนธรรมการทำงานในโลกใหม่ แบบที่คำว่าบริษัทคือคำเชยๆ ไปเลย
โอเค ที่ผ่านมาผมชินกับคำว่าฟรีแลนซ์ แต่คำว่าสตาร์ตอัป หรือโคเวิร์กกิ้งสเปซอะไรแบบนี้ ดูมันยังไกลตัว เพราะผมเองเริ่มขยับห่างจากคนทำงานมืออาชีพและมีทัศนคติก้าวหน้าเหล่านั้นออกมาทุกทีๆ
คำว่าดีไซเนอร์ที่ผมถูกผู้สัมภาษณ์เรียก จึงฟังดูเหมือน เหมือนอะไรดีวะ เหมือนให้เกียรติเราเกินไป ทุกวันนี้ผมแม่งแทบไม่ได้ทำงานออกแบบเลยเหอะ 5555
กลายเป็นตาลุงว่างงานอยู่บ้านเลี้ยงลูกและพาเมียไปกินข้าวในซอยเป็นอาชีพหลัก อาชีพรองคือสกรีนเสื้อขายงี้ หรือปีนึงคึกๆ ก็เขียนหนังสือขายเอาตังค์ไปให้เมียซื้ออะไรประดับกาย คำว่านักออกแบบมันเลยขยับห่างจากชีวิตไปทุกที เหมือนคนวางมือจากวงการแล้วจริงๆ
แต่นั่นก็ทำให้ผมมานั่งทบทวนตัวเองเหมือนกัน เพราะหลายๆ คำถามในวันนี้ดูท่าทางพี่แกจะสนใจวิถีชีวิตแบบนี้ คือหลุดออกจากระบบบริษัท–ที่จริงคือหลุดออกจากการไปรวมกลุ่มสมาคม ฯลฯ ด้วยซ้ำ เป็นมนุษย์ที่ทำงานอยู่กับบ้าน โดยไม่ได้มีศักดิ์ศรีของนักออกแบบที่ควรจะมีอีโก้และเย่อหยิ่งว่าเราทำงานเพื่อจรรโลงสังคม
อย่าว่าแต่จรรโลงสังคมเลย เอาแค่คำว่าทำงานนี่ ผมก็เกือบจะเรียกได้ว่าไม่ได้ทำเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว
รวมถึงงานอดิเรกที่ตั้งใจว่าจะเป็นความอดิเรกไปตลอดชีวิตอย่างเว็บฟอนต์ ที่วันนี้เป็นประเด็นให้พูดถึงและขุดคุ้ยเรื่องที่ตัวเองก็ไม่ค่อยกล้านึกด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น
เว็บฟอนต์มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง มันคือโมเดลที่ยิ่งใหญ่มากรู้ไหม
เหรอวะพี่ ผมไม่เห็นมันจะมีอะไรเลย คือเกิดมาด้วยจุดยืนว่ามันจะเป็นงานอดิเรกส่วนตัว และมีเพื่อนพ้องน้องพี่เข้ามาร่วมแจมด้วยก็เท่านั้น (โดเมนเนม f0nt.com จะมีอายุครบ 10 ปีเต็มในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้นี่แหละ ไม่ได้จำ ไม่ได้พิธีอะไร) แต่พอพี่แกพูดไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับคุณูปการของมัน ก็เออ ยิ่งใหญ่จริงๆ ก็ได้วะ มันสร้างอะไรขึ้นมาให้กับโลกเราพอสมควร แต่เราเองต่างหากที่ไม่รู้ ไม่เคยมองว่านั่นคือคุณค่า คงเพราะทำมาจนเป็นเรื่องธรรมดา
มีวิธีบริหารคอมมูนิตี้ยังไงให้มันอยู่มายาวนานขนาดนี้ เอาจริงทุกวันนี้ตัวคอมมูนิตี้หลังบ้านที่เคยรุ่งเรืองในยุคเว็บบอร์ดเฟื่องฟู ก็โดนผักตบชวาชื่อเฟซบุ๊กแดกหมดแล้วเหมือนกันพี่ แต่แกนหลักของมัน (ที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องการออกแบบตัวอักษร) ก็ยังอยู่ดีเหมือนเดิม
รู้สึกว่าอยากให้มันไปในทิศทางไหน
ผมนึกอยู่นานก่อนจะบอกว่า ใจจริงอยากให้มันเหมือนไลบรารี่ฟอนต์ของไทย แต่พอพูดออกไปก็ชะงักนิดนึง คือเอาเข้าจริงๆ เราไม่เคยนึกเรื่องนี้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้มันงอกมาได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศของคำถามมันรีดจนได้คำตอบนี้ออกมา พอมานึกดูแล้วก็เออ ถึงจะไม่เคยนึกมาก่อน แต่ที่จริงสถานภาพของมันก็ควรเป็นเหมือนกันนะ เพียงแต่ติดเรื่องเวลา และทรัพยากรบุคคล (ซึ่งก็คือตัวกูเองทำอยู่คนเดียวและทุกวันนี้ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่า คือทำเว็บมาเป็นงานอดิเรก ไม่ได้มีโมเดลอะไรมารองรับ เรียกว่าอยู่ไปเรื่อยๆ ในมุมมองของนักพัฒนา สิ่งนี้จึงน่าเสียดาย ซึ่งเราก็ไม่เคยนึกเลยเหมือนกัน เพิ่งมาสะดุ้งเอาวันนี้)
ที่จริงเรื่องอะไรแบบนี้เคยคุยกับกลุ่ม TFace มาแล้วทีนึง แต่ก็ไม่ได้สานต่อทั้งเราทั้งเขา
คนในวงการออกแบบบ้านเราต้องการอะไร ปัญหาคืออะไร
บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าผมไม่รู้ ตัวเองไม่ได้อยู่ในวงการ หมายถึงกลุ่มคน สมาคม หรือสังกัดอะไรที่มีการรวมตัวพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับงานออกแบบ แต่ไอ้เราดันอยู่บ้านเปิด Pinterest เงียบๆ คนเดียว (จะเรียกว่าอินดี้ก็ดูจะให้เกียรติเกินไป) และเอาต์พุตของงานก็มีแค่เสื้อยืดที่ทำขายเท่านั้น แต่พอคุยๆ ไป เออ มันมีประเด็นหลายอย่างที่คนทำงานทุกวันนี้มันขาด แต่ไม่รู้ตัว คือถ้ามีขึ้นมาก็ดีมาก แต่มึงไม่รู้ไงว่าตัวเองต้องการ เช่นพวกงานมีตอัป หรืออีเวนต์ หรือเวิร์กกิ้งสเปซสำหรับคนทำงานออกแบบเข้ามานั่งแจมกัน โดยสร้างออกมาให้สอดรับกับพฤติกรรมจริงๆ เช่นแม่งเริ่มงานกันตอนตีสอง สถานที่มันก็ต้องมี ต้องอำนวยให้ อะไรแบบนี้
ผมเลยเสนอไปเรื่องโรงหนังชุมชนของกันตนา ส่วนตัวชอบโปรเจกต์นี้ของกันตนามาก มาตั้งแต่ได้อ่านคอนเซปต์ของโครงการแรกๆ แล้ว คือมันจะเป็นเหมือนเซเว่นในวงการหนัง วางแม่งหน้าปากซอยง่ายๆ มีโรงหนังชวนคนไปดูในห้องแอร์ เก็บตังค์ไม่แพง (รู้สึกจะ 30 บาท ไม่รู้เปลี่ยนยัง) พิธีไม่ต้องเยอะ แต่จุดที่สำคัญคือมันกระจายเข้าถึงชุมชน (ตอนนี้ยังไม่ถึงอุดมคตินี้ แต่เชื่อว่าถ้าได้รับเสียงตอบรับที่ดี กันตนาน่าจะทำได้)
ผมเปรียบเทียบเพื่อจะบอกว่า ห้องสมุดหรือศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเดี๋ยวนี้มันดูหยิ่ง (จำไม่ได้ว่าใช้คำว่าอะไร แต่พอพิมพ์ๆ นี่อยู่แล้วคำว่ายิ่งมันงอกออกมา) สรุปคือผมเคยไปที่นั่นแค่ 3-4 ครั้ง ทั้งที่ตัวเองในตอนนั้นคือคนทำงานวิชาชีพออกแบบเต็มๆ ตรงๆ นั่นเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา มันสูง มันแตะต้องยาก ซึ่งที่จริงมันก็เหมาะกับหลายคนที่ชอบความเป็นแบบนั้น แต่เราไม่ชอบเท่านั้นเอง
ซึ่งความไม่ชอบนี้เป็นที่สนใจของผู้สัมภาษณ์มากๆ (บ้าจริง) ผมเลยเสริมไปอีกเรื่องคือศูนย์อะไรแบบนี้มันไม่น่าจะต้องไปรวมศูนย์อยู่สักที่แล้วเราต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปง้อมันถึงในห้าง แต่มันน่าจะเข้าถึงง่ายเหมือนกับที่เรานัดกันที่ร้านกาแฟปากซอยหมู่บ้าน ลดสเกลลงมาให้กระชับ แต่เข้าถึง ตอบโจทย์คนยุคนี้ที่ไม่เข้าห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ่านกันเงียบๆ อีกต่อไปแล้ว
และที่สำคัญคือตอบโจทย์พวกมวยวัดอย่างเรา
ง่วงแล้ว ยังมีอีกประมาณ 500 ประเด็นที่คุยกันวันนี้ ส่วนมากผมที่ควรจะเป็นฝ่ายพูด กลับเป็นคนฟังด้วยหูตาลุกวาวมากกว่าคนถามซะอีก
สรุปว่าวันนี้ได้คุยหลายเรื่องมากๆ ทั้งหนักเบา ยอมรับว่าพอผมหลุดออกมาจากเก้าอี้ของคนทำงานออกแบบและพัฒนาเต็มตัวปั๊บ มันมีบางอย่างที่ฟังแล้วไม่ทันเหมือนกัน น่าเสียดายและอายเหมือนกัน
ที่แน่ๆ ได้ทบทวนสถานะของตัวเองว่าตอนนี้มึงออกจากวงการทุกวงการที่เคยใกล้ชิด หลุดออกมาเป็นพ่อลูกอ่อน อยู่บ้าน เปิดคอมทำงานวันละ 2-3 ชั่วโมง นอกนั้นคือสนองตัณหาลูกเมียไปวันๆ จบแล้ว ไม่ได้จะพัฒนาโลกหรือเปลี่ยนแปลงสังคมอะไรเลย
พอคุยวันนี้แล้วอยากกลับไปทำอีกนะ มันสนุกฉิบหายเลย แต่รอลูกเข้าโรงเรียนก่อน เพราะยุ่งฉิบหายเหมือนกัน
The post ทบทวนทุกอย่าง appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.
November 18, 2014
Sloth Machine ตอนพิเศษมาแล้วจ้ะ เชิญอ่าน
ลืมกล่าวขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนสร้างพลังใจให้กับข้าพเจ้าใจการอุตริกลับมาเข้าค่ายนักเขียนกับเขาในรอบปีสองปี จนได้คลอดหนังสือ ‘Sloth Machine‘ ดังที่ได้เขียนโฆษณาไว้ในตอนที่แล้วนู้น
ซึ่งตามธรรมเนียมของหนังสือจากสำนักพิมพ์ปลาขยันนี้ เขาได้มีโครงการยุยงให้ผู้อ่านได้ไปหาเศษหาเลยกับของแถมที่อยู่บนเว็บ และเรียกมันว่า ‘Extra’ ซึ่งใครอยากอ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ได้ แต่ถ้าอ่านแล้วคงเหมือนดูหนังฮีโร่มาร์เวลแล้วนั่งรอจนหมดเครดิตท้ายเรื่อง แล้วมันจะมีเนื้อหาที่(ส่วนใหญ่จะ)คุ้มค่ากับการอั้นเยี่ยว
Sloth Machine ของข้าพเจ้าก็เช่นกัน ตัวหนังสือเล่มจริงนั้นใช้เวลาหามรุ่งหามค่ำสร้างสรรค์มันขึ้นมาโดยการฟาดแส้ทุกครั้งจากบรรณาธิการ (อีกาย) ในระยะเวลา few เดือน แต่พองานเสร็จแล้ว หนังสือวางแผงเรียบร้อยแล้ว (แต่ค่าต้นฉบับยังไม่ออก) ปรากฏว่าตอนพิเศษที่เป็นสัญญาใจนี่ …มันไม่ทวงเว้ย คือไม่ได้กำหนดเดดไลน์เลยนะ อยากทำก็ทำไป
ซึ่งการไม่มีเดดไลน์นี่ถือเป็นสิ่งอันตรายมากสำหรับอีพวกเหลวไหลอย่าง… เออ อย่างกูนี่แหละ จนคนอ่านหลายท่านเขาบ่นแล้วบ่นอีกว่าเมื่อไหร่จะมีให้อ่านซะทีวะ กดเข้าไปยัง coming soon อยู่ได้
ถ้าจะให้หาเสียงแบบพวกผู้แทนหรือศิลปินประดิษฐ์ๆ ก็จะต้องกล่าวว่า เสียงจากผู้อ่านนั้นสำคัญเสมอ กระผมจึงได้รีดเค้นเวลาว่างทุกหยาดหยดที่เหลือจากการอ่านการ์ตูนและช่วยเมียเลี้ยงลูก 2 ตัว มาเขียนตอนแถมเป็นการ์ตูนตามคำเรียกร้อง ซึ่งเวลาว่างนี่โคตรจะน้อยเลยนะครับ เพราะตอนเขียนเล่มจริงนี่ผมขออนุญาตเมียให้ช่วยรับภาระเลี้ยงลูกอ่อนไปซะเยอะ คราวนี้จึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูก จนวันๆ มีสภาพไม่ต่างจากมนุษย์เกษียณจริงๆ
และด้วยความตั้งใจมาตั้งนาน (ตั้งกะอีกายยังทวงต้นฉบับอยู่ยิกๆ) ว่าจะเขียนภาคเสริมของหนังสือเล่มดังกล่าว เป็นเรื่องของผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือ นั่นคือเมีย (อ้าวฉิบหาย สปอยล์ไปแล้ว)
การ์ตูนตอนพิเศษ ‘ร้อยมาลัยนี้มาบูชาเมีย’ จึงได้ไปปรากฏโฉมบนเว็บ min.ms/SLO ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (มันต้องใช้รหัส serial ท้ายเล่มนะ ใครขี้เกียจเสียตังค์ซื้อ แนะนำให้ไปแอบดูของเพื่อนหรือตามร้านหนังสือก็ได้ แล้วถ่ายไว้กรอกในเว็บ เอ๊ะนี่มึงจะแนะนำให้ชาวบ้านเขาอ่านเถื่อนกันทำไม)
ใครอ่านจบแล้วยังอารมณ์ค้าง เชิญเสพต่อได้ แต่ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน ก็ไปซื้อซะนะครับ (ไม่โฆษณาตอนนี้แล้วจะโฆษณาตอนไหน) ท่องไว้ Sloth Machine สำนักพิมพ์แซลมอน เล่มสีเขียวๆ ถ้าหาไม่เจอถามพนักงานดูได้ ถ้าพนักงานไม่รู้เรื่องก็บอกว่านิ้วกลมเขียนไง
ป.ล.
การมีลูก 2 คนนั้นไม่ใช่แค่ยุ่งขึ้น 2 เท่านะครับ นี่นับคร่าวๆ ได้ 5 เท่า
ป.อ.
ฟีดแบ็กจากผู้อ่านส่วนหนึ่งบอกกลับมาว่า มึงไปเอาดีทางเขียนการ์ตูนเถอะ ดังนั้นเนื้อหาตอนแถมเลยเขียนเป็นการ์ตูนซะเลยไงครับ
ป.ฮ.
และเผลอๆ เล่มถัดไป (ยังไม่เข็ด!) ก็ะเขียนการ์ตูนมากกว่าเดิมด้วย คอยติดตามนะครับ ขอบพระคุณครับ (ไหว้งึกงักๆ แบบสายัณห์สัญญา)
The post Sloth Machine ตอนพิเศษมาแล้วจ้ะ เชิญอ่าน appeared first on ไอ้แอนนนนน.คอม.