คำของป๊า
======
ป๊าของผมเป็นคนดุ
ไม่รู้ว่าความดุนี้ได้มาจากสายเลือดคนจีนในตั...
คำของป๊า
======
ป๊าของผมเป็นคนดุ
ไม่รู้ว่าความดุนี้ได้มาจากสายเลือดคนจีนในตัวป๊าหรือเปล่า แต่พอเทียบกันกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่มีพ่อแม่เป็นคนจีนเหมือนกัน ก็ดูว่าพ่อแม่เขาก็ไม่เห็นจะดุเท่าป๊า ทั้งนี้ เขาอาจจะดุในบ้านแต่ผมไม่รู้เองก็ได้
ความดุของป๊าเป็นความดุทั้งทางวาจาและทางร่างกาย และเป็นความดุในระดับสูงสุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะจินตนาการได้ ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ผมไม่สนิทกับป๊านัก เวลามีปัญหาอะไรก็มักจะไปปรึกษาแม่เสียมากกว่า เพราะกลัวว่าถ้าเอาไปปรึกษาป๊าแล้วมันเป็นเรื่องที่ป๊าไม่ชอบแล้วจะเจ็บตัวเอา เอาไปปรึกษาแม่ดูเป็นหนทางที่เพลย์เซฟ ไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวกว่าเห็นๆ อาจเป็นเพราะอย่างนั้นทำให้ป๊ากับผมไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ เมื่อไหร่ที่เราอยู่ด้วยกัน เราจึงมักปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันไปอย่างช้าๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าหน้ากันไม่ติด หรือป๊าไม่มีอะไรจะสอนผม กลับกัน ป๊ามีคำสอนหลายอย่างที่ผมจำติดหูติดตาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นคำสอนที่ตีเส้นทางและการตัดสินใจในชีวิตให้ผมโดยทั้งที่ผมรู้และไม่รู้ตัวมาหลายต่อหลายครั้ง
เรื่องแรก คือ ป๊าไม่ชอบให้ผมไม่สู้คน ตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กที่เหมือนกับโนบิตะ นั่นคือขี้แย ชอบโดนแกล้ง ด้วยรูปลักษณ์แคระๆ ผอมๆ ใส่แว่นและเหล็กดัดฟัน ทำให้น่าแกล้งเข้าไปใหญ่ ทุกครั้งพอกลับบ้านแล้วมีแผลใหม่ๆ ป๊าจะมองด้วยความไม่พอใจเสมอๆ มักจะถามว่า ‘ได้สู้เค้ากลับไปบ้างมั้ย’ ‘ปล่อยให้เขาทำฝ่ายเดียวหรือเปล่า’ ในขณะที่ผมคิดเองเออเองว่าตัวเองเป็นสายบุ๋นไม่ใช่สายบู๊
คำสอนต่อมาที่จำได้ไม่ลืมคือมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เราขับรถกันไปเงียบๆ สองคน พอรถติดไฟแดง ป๊าก็ชี้ให้ดูว่า เห็นมั้ยรถมันสั่น เวลาติดไฟแดง ไม่ได้ไปไหน แล้วรถมันจะสั่นๆ ป๊าบอกว่า ก็เหมือนคนเรานี่แหละ ที่เวลาไม่ได้ทำงานมันก็เหมือนกับมีพลังงานอยู่ภายในที่รอมันจะระเบิดออกมา มันก็จะสั่นงันงกแบบนั้น เทียบกับตอนที่รถได้วิ่ง ทุกอย่างจะเรียบลื่น ไม่สั่นอีกแล้ว คนเราก็เช่นกัน ฉะนั้น จงทำงาน (ที่พูดมาทั้งหมดเพื่อจะจบที่ประโยคนี้)
อันนี้ฟังดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลกันเท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะอย่างนั้นผมเลยยังจำได้ ก็จะคิดซะว่าเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง ฮ่าฮ่า
เท่าที่พอจะนึกได้อันหลังสุด ว่างเมื่อไหร่ ป๊ามักจะชูนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว แล้วเรียกให้พวกเราพี่น้องดู แล้วบอกว่า “รู้มั้ยว่าคนเราอายุเฉลี่ยๆ นี่น่าจะตายตอนประมาณ 70 ปี” พูดเสร็จก็เน้นนิ้วทั้งสิบ
“ตอนนี้ลูกอายุสิบสี่ ก็เหมือนกับใช้ไปแล้วสองนิ้ว” ป๊าหดนิ้วก้อยกับนิ้วนางลง “เหลืออีกแปดนิ้ว คิดหรือยังว่าอีกแปดนิ้วจะใช้มันไปอย่างไร”
“ป๊าอายุสี่สิบกว่าแล้ว ก็เหมือนใช้ไปแล้วหก จะเจ็ดนิ้ว นี่มาเกินครึ่งทางแล้ว ป๊าก็อยู่ได้อีกไม่นาน ชีวิตที่เหลือลูกคงต้องคิดเอาเองว่าจะเอาไปทำอะไร อย่างไร”
อาจเป็นเพราะเป็นคำสอนที่มี Key Visual น่าจดจำ เป็นการชูสิบนิ้วขึ้นมาประกอบ ไม่ได้พูดลอยๆ ทำให้ผมยังจำมันได้ และเมื่อผมจำได้ ผมก็เลยได้คิดอยู่เสมอว่าตอนนี้เราเดินทางมากี่นิ้วแล้ว แล้วนิ้วที่เหลือเราคิดไว้ดีหรือยัง หรือได้คิดไว้หรือเปล่า
คำสอนของคุณพ่อของแต่ละคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ มีคำสอนไหนน่าติดตาตรึงใจบ้างไหมครับ เล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ :)
======
ป๊าของผมเป็นคนดุ
ไม่รู้ว่าความดุนี้ได้มาจากสายเลือดคนจีนในตัวป๊าหรือเปล่า แต่พอเทียบกันกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่มีพ่อแม่เป็นคนจีนเหมือนกัน ก็ดูว่าพ่อแม่เขาก็ไม่เห็นจะดุเท่าป๊า ทั้งนี้ เขาอาจจะดุในบ้านแต่ผมไม่รู้เองก็ได้
ความดุของป๊าเป็นความดุทั้งทางวาจาและทางร่างกาย และเป็นความดุในระดับสูงสุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะจินตนาการได้ ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ผมไม่สนิทกับป๊านัก เวลามีปัญหาอะไรก็มักจะไปปรึกษาแม่เสียมากกว่า เพราะกลัวว่าถ้าเอาไปปรึกษาป๊าแล้วมันเป็นเรื่องที่ป๊าไม่ชอบแล้วจะเจ็บตัวเอา เอาไปปรึกษาแม่ดูเป็นหนทางที่เพลย์เซฟ ไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวกว่าเห็นๆ อาจเป็นเพราะอย่างนั้นทำให้ป๊ากับผมไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ เมื่อไหร่ที่เราอยู่ด้วยกัน เราจึงมักปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันไปอย่างช้าๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าหน้ากันไม่ติด หรือป๊าไม่มีอะไรจะสอนผม กลับกัน ป๊ามีคำสอนหลายอย่างที่ผมจำติดหูติดตาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นคำสอนที่ตีเส้นทางและการตัดสินใจในชีวิตให้ผมโดยทั้งที่ผมรู้และไม่รู้ตัวมาหลายต่อหลายครั้ง
เรื่องแรก คือ ป๊าไม่ชอบให้ผมไม่สู้คน ตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กที่เหมือนกับโนบิตะ นั่นคือขี้แย ชอบโดนแกล้ง ด้วยรูปลักษณ์แคระๆ ผอมๆ ใส่แว่นและเหล็กดัดฟัน ทำให้น่าแกล้งเข้าไปใหญ่ ทุกครั้งพอกลับบ้านแล้วมีแผลใหม่ๆ ป๊าจะมองด้วยความไม่พอใจเสมอๆ มักจะถามว่า ‘ได้สู้เค้ากลับไปบ้างมั้ย’ ‘ปล่อยให้เขาทำฝ่ายเดียวหรือเปล่า’ ในขณะที่ผมคิดเองเออเองว่าตัวเองเป็นสายบุ๋นไม่ใช่สายบู๊
คำสอนต่อมาที่จำได้ไม่ลืมคือมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เราขับรถกันไปเงียบๆ สองคน พอรถติดไฟแดง ป๊าก็ชี้ให้ดูว่า เห็นมั้ยรถมันสั่น เวลาติดไฟแดง ไม่ได้ไปไหน แล้วรถมันจะสั่นๆ ป๊าบอกว่า ก็เหมือนคนเรานี่แหละ ที่เวลาไม่ได้ทำงานมันก็เหมือนกับมีพลังงานอยู่ภายในที่รอมันจะระเบิดออกมา มันก็จะสั่นงันงกแบบนั้น เทียบกับตอนที่รถได้วิ่ง ทุกอย่างจะเรียบลื่น ไม่สั่นอีกแล้ว คนเราก็เช่นกัน ฉะนั้น จงทำงาน (ที่พูดมาทั้งหมดเพื่อจะจบที่ประโยคนี้)
อันนี้ฟังดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลกันเท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะอย่างนั้นผมเลยยังจำได้ ก็จะคิดซะว่าเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง ฮ่าฮ่า
เท่าที่พอจะนึกได้อันหลังสุด ว่างเมื่อไหร่ ป๊ามักจะชูนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว แล้วเรียกให้พวกเราพี่น้องดู แล้วบอกว่า “รู้มั้ยว่าคนเราอายุเฉลี่ยๆ นี่น่าจะตายตอนประมาณ 70 ปี” พูดเสร็จก็เน้นนิ้วทั้งสิบ
“ตอนนี้ลูกอายุสิบสี่ ก็เหมือนกับใช้ไปแล้วสองนิ้ว” ป๊าหดนิ้วก้อยกับนิ้วนางลง “เหลืออีกแปดนิ้ว คิดหรือยังว่าอีกแปดนิ้วจะใช้มันไปอย่างไร”
“ป๊าอายุสี่สิบกว่าแล้ว ก็เหมือนใช้ไปแล้วหก จะเจ็ดนิ้ว นี่มาเกินครึ่งทางแล้ว ป๊าก็อยู่ได้อีกไม่นาน ชีวิตที่เหลือลูกคงต้องคิดเอาเองว่าจะเอาไปทำอะไร อย่างไร”
อาจเป็นเพราะเป็นคำสอนที่มี Key Visual น่าจดจำ เป็นการชูสิบนิ้วขึ้นมาประกอบ ไม่ได้พูดลอยๆ ทำให้ผมยังจำมันได้ และเมื่อผมจำได้ ผมก็เลยได้คิดอยู่เสมอว่าตอนนี้เราเดินทางมากี่นิ้วแล้ว แล้วนิ้วที่เหลือเราคิดไว้ดีหรือยัง หรือได้คิดไว้หรือเปล่า
คำสอนของคุณพ่อของแต่ละคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ มีคำสอนไหนน่าติดตาตรึงใจบ้างไหมครับ เล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ :)

Published on November 26, 2014 06:01
No comments have been added yet.