เริ่มรู้สึกว่า เพจอย่างมานีมีแชร์ ดัง เพราะเป็นเพจที่เปิดพื้นที่ให้คนไปแสดงความฉ...
เริ่มรู้สึกว่า เพจอย่างมานีมีแชร์ ดัง เพราะเป็นเพจที่เปิดพื้นที่ให้คนไปแสดงความฉลาดและข้อมูลของตัวเอง (เรื่องภาพสวย, คอนเทนต์ดี อันนี้ต๊ะไว้ว่ารู้กัน)
คิดว่าปัจจัยการสร้างอะไรให้ดังสมัยนี้อย่างนึงคือ อย่าบอกหมด เหลือพื้นที่ให้คนมาคอมเมนต์ฉลาดๆ บ้าง ให้คนมีส่วนร่วม ให้คนได้ 'เติมคำในช่องว่าง' จินตนาการตามใจตัวเองบ้าง ถ้าจะพูดให้ดูตอแหลตามศัพท์นักการตลาดคงต้องบอกว่า เป็นการสร้าง engagement ให้คนมีอะไรทำ ไม่ใช่ว่าเออ จริงว่ะ ไลก์ จบ แต่ต้องมีการถกเถียง การตีความ ถึงจะสร้างความผูกพันได้
ซึ่งเพจมานีมีแชร์ก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีอยู่ อย่างภาพล่าสุด (ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น บันไดสี่ขั้น) ที่เป็นภาพที่น้อยคนจะรู้ว่าสื่อถึงอะไรได้หมด (เราก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้อ่านคอมเมนต์) เป็นภาพที่เปิดโอกาสให้คนมาอธิบาย มา educate คนที่ 'รู้น้อย' กว่าตัวเอง สร้างความภาคภูมิใจให้คนที่มาอธิบาย ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องทันทีในแวบแรก ก็เป็นภาคบังคับว่าจะต้องเปิดอ่านคอมเมนต์ นั่งไล่อ่านไปทีละอันๆ จนรู้เรื่อง จน (คิดว่า) ทันคนอื่นๆ ก็ต่างเป็นกุศโลบายให้ใช้เวลากับภาพภาพหนึ่งมากขึ้นไปด้วย
คือเมื่อก่อนคงต้องบอกว่า เวลาจะเล่นมุขอะไรให้ประสบความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ 'ประสบการณ์ร่วม' ระหว่างผู้ปล่อยมุข กับผู้รับมุข เพราะถ้าไม่มีประสบการณ์ร่วม เรื่องบางเรื่องก็จะเข้าใจไม่ตรงกัน เช่น ถ้าไปเล่นมุขธรรมเนียมของคนเบลเยียม ให้คนจีนฟัง ก็อาจจะไม่ขำเลย เพราะไม่มีข้อมูลพื้นฐานมาก่อน หรือถ้าเล่นมุขนิติศาสตร์ ให้วิศวะฟัง ก็อาจจะไม่ขำเหมือนกัน
แต่ตอนนี้โซเชียลมีเดีย โซเชียลเนตเวิร์ก ทำหน้าที่เข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ที่ขาดหายไป ดังนั้น 'ประสบการณ์ร่วม' ที่มุขนั้นมีระหว่างผู้ปล่อยกับผู้รับ อาจจะสามารถเบาบางได้จนแทบไม่มีเลย เพราะผู้ปล่อยสามารถ rely on โลกอินเทอร์เนตได้อยู่แล้วว่าจะสามารถมาเติมเต็มส่วนที่เหลือในช่องว่างให้สำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องได้
คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียและโซเชียลเนตเวิร์กยังทำหน้าที่คล้ายๆ กับ laughing track ของซีรีส์ซิทคอมหรือโชว์ตลกอย่าง Saturday Night Live กลายๆ เพราะพฤติกรรมของคนคือ เมื่อเห็นว่าคนอื่นขำ เราก็มักจะขำตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยจิตวิทยาหมู่, ความกลัวว่าจะไม่ฉลาดทันเขา หรือเหตุผลอื่นๆ ก็ตามที
คิดว่าปัจจัยการสร้างอะไรให้ดังสมัยนี้อย่างนึงคือ อย่าบอกหมด เหลือพื้นที่ให้คนมาคอมเมนต์ฉลาดๆ บ้าง ให้คนมีส่วนร่วม ให้คนได้ 'เติมคำในช่องว่าง' จินตนาการตามใจตัวเองบ้าง ถ้าจะพูดให้ดูตอแหลตามศัพท์นักการตลาดคงต้องบอกว่า เป็นการสร้าง engagement ให้คนมีอะไรทำ ไม่ใช่ว่าเออ จริงว่ะ ไลก์ จบ แต่ต้องมีการถกเถียง การตีความ ถึงจะสร้างความผูกพันได้
ซึ่งเพจมานีมีแชร์ก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีอยู่ อย่างภาพล่าสุด (ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น บันไดสี่ขั้น) ที่เป็นภาพที่น้อยคนจะรู้ว่าสื่อถึงอะไรได้หมด (เราก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้อ่านคอมเมนต์) เป็นภาพที่เปิดโอกาสให้คนมาอธิบาย มา educate คนที่ 'รู้น้อย' กว่าตัวเอง สร้างความภาคภูมิใจให้คนที่มาอธิบาย ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องทันทีในแวบแรก ก็เป็นภาคบังคับว่าจะต้องเปิดอ่านคอมเมนต์ นั่งไล่อ่านไปทีละอันๆ จนรู้เรื่อง จน (คิดว่า) ทันคนอื่นๆ ก็ต่างเป็นกุศโลบายให้ใช้เวลากับภาพภาพหนึ่งมากขึ้นไปด้วย
คือเมื่อก่อนคงต้องบอกว่า เวลาจะเล่นมุขอะไรให้ประสบความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ 'ประสบการณ์ร่วม' ระหว่างผู้ปล่อยมุข กับผู้รับมุข เพราะถ้าไม่มีประสบการณ์ร่วม เรื่องบางเรื่องก็จะเข้าใจไม่ตรงกัน เช่น ถ้าไปเล่นมุขธรรมเนียมของคนเบลเยียม ให้คนจีนฟัง ก็อาจจะไม่ขำเลย เพราะไม่มีข้อมูลพื้นฐานมาก่อน หรือถ้าเล่นมุขนิติศาสตร์ ให้วิศวะฟัง ก็อาจจะไม่ขำเหมือนกัน
แต่ตอนนี้โซเชียลมีเดีย โซเชียลเนตเวิร์ก ทำหน้าที่เข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ที่ขาดหายไป ดังนั้น 'ประสบการณ์ร่วม' ที่มุขนั้นมีระหว่างผู้ปล่อยกับผู้รับ อาจจะสามารถเบาบางได้จนแทบไม่มีเลย เพราะผู้ปล่อยสามารถ rely on โลกอินเทอร์เนตได้อยู่แล้วว่าจะสามารถมาเติมเต็มส่วนที่เหลือในช่องว่างให้สำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องได้
คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียและโซเชียลเนตเวิร์กยังทำหน้าที่คล้ายๆ กับ laughing track ของซีรีส์ซิทคอมหรือโชว์ตลกอย่าง Saturday Night Live กลายๆ เพราะพฤติกรรมของคนคือ เมื่อเห็นว่าคนอื่นขำ เราก็มักจะขำตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยจิตวิทยาหมู่, ความกลัวว่าจะไม่ฉลาดทันเขา หรือเหตุผลอื่นๆ ก็ตามที
Published on July 31, 2013 08:31
No comments have been added yet.