Josh Culp's Blog, page 2

March 5, 2025

Ultherapy Prime ดีจริงไหม? รวมข้อดี-ข้อเสียที่ต้องรู้ก่อนทำ

Ultherapy Prime คืออะไร?

Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวโดยใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงที่โฟกัสแบบเฉพาะจุด (Micro-Focused Ultrasound) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินใต้ผิวหนัง ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด นิยมใช้บริเวณใบหน้า ลำคอ และใต้คาง

Ultherapy Prime เป็นเวอร์ชันที่อัปเกรดจาก Ultherapy แบบเดิม โดยมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการยกกระ

Ultherapy Prime เหมาะกับใครบ้าง?

Ultherapy Prime เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะในกลุ่มต่อไปนี้

1. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเริ่มต้น – ปานกลาง

คนที่รู้สึกว่าผิวหน้า ลำคอ และใต้คางเริ่มหย่อนคล้อย

มีแนวกรามที่ไม่คมชัดเหมือนเดิม (กรอบหน้าหย่อน)

หนังตาตกเล็กน้อย ต้องการยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด

2. ผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม

ไม่ต้องการร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ หรือทำศัลยกรรมดึงหน้า

อยากเห็นผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

3. คนที่ต้องการลดริ้วรอยและฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิว

มีริ้วรอยเล็ก ๆ ตามหน้าผาก หางตา มุมปาก

ผิวเริ่มขาดความยืดหยุ่น ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

4. ผู้ที่ต้องการกระชับผิวเฉพาะจุด

มีปัญหาผิวใต้คาง คอ หรือเนินอกหย่อนคล้อย

ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น

5. ผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพผิว)

วัย 30+ เริ่มมีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย อยากกระตุ้นคอลลาเจนก่อนมีริ้วรอยลึก

วัย 40-50+ ต้องการยกกระชับหน้าเพื่อลดความหย่อนคล้อยที่เริ่มชัดขึ้น

6. คนที่ไม่มีเวลาพักฟื้นหลังทำหัตถการ

ต้องการทำแล้วใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที

ไม่ต้องการพักฟื้นเหมือนการผ่าตัดดึงหน้า

Ultherapy Prime ไม่เหมาะกับใคร?

คนที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก – ถ้าผิวหย่อนมากจนเกินไป อาจต้องใช้การร้อยไหมหรือศัลยกรรมแทน

คนที่มีโรคผิวหนังในบริเวณที่ทำ – เช่น โรคผื่นแพ้ผิวหนัง หรือแผลอักเสบ

คนที่มีผิวบางหรือแพ้ง่ายมาก – อาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองมากกว่าปกติ

ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร – ควรเลี่ยงการทำจนกว่าจะพ้นช่วงนี้ชับผิวแบบอ่อนโยนขึ้น และลดความเจ็บปวดระหว่างทำ

ข้อดีของ Ultherapy Prime

ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน – ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระชับ และเรียบเนียนขึ้น

เห็นผลยาวนาน – ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิว

ไม่ต้องผ่าตัด – ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

กระชับได้ลึก – พลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า

ปลอดภัย – ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐฯ และมีงานวิจัยรองรับ

ข้อเสียของ Ultherapy Prime

อาจรู้สึกเจ็บหรือระคายเคือง – แม้จะพัฒนาให้เจ็บน้อยลง แต่บางคนยังรู้สึกเจ็บหรือร้อนใต้ผิวขณะทำ

ราคาค่อนข้างสูง – ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 20,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ

ผลลัพธ์ไม่ได้ถาวร – ต้องทำซ้ำทุก 1-2 ปีเพื่อรักษาผลลัพธ์

ไม่เหมาะกับผิวหย่อนคล้อยมาก – หากผิวหย่อนคล้อยมาก อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วม เช่น การร้อยไหมหรือศัลยกรรม

สรุป

Ultherapy Prime เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวที่ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด และเห็นผลชัดเจน แต่มีราคาสูงและผลลัพธ์ไม่ถาวร หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน ควรดูแลสุขภาพผิวควบคู่กันไปด้วย เช่น ทาครีมบำรุง กินอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำให้เพียงพอ Ultherapy Prime เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับผิว ลดริ้วรอย และฟื้นฟูคอลลาเจนโดยไม่ต้องศัลยกรรม โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือเริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยแบบไม่รุนแรงมาก

หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวก่อนทำ

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on March 05, 2025 01:52

December 19, 2024

การจัดฝึกอบรมภายในส่งผลดีต่อองค์กรในด้านไหนบ้าง

การฝึกอบรมพนักงานภายในองค์กร

การอบรมพนักงานที่พัฒนาขึ้นโดยองค์กร ผู้อบรมสามารถเป็นได้ทั้งบุคคลภายในหรือวิทยากรจากภายนอก โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษามาตรฐานการทำงานและยกระดับความสามารถของบุคคลากรในองค์กร ซึ่งหลังจากการอบรมภายในองค์กรแล้วมักจะมีการทดสอบความเข้าใจและประเมินผลของพนักงาน

ข้อดีของการอบรมภายในองค์กร1.ช่วยทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย

เป็นโอกาสให้องค์กรได้ออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและปัญหาขององค์กรผ่านการพัฒนาพนักงาน

2.พัฒนาความรู้และศักยภาพของบุคลากร

ส่งเสริมให้พนักงานได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3.สร้างความสัมพันธ์ที่ดี

เมื่อมีการอบรมบุคลากรจำนวนมาก หรือมีหลายๆ แผนกมารวมกัน กิจกรรมในการอบรมภายในองค์กร จะช่วยให้คนที่เข้าร่วมได้ลองแก้ปัญหา ทำภารกิจ และบรรลุเป้าหมายซึ่งเป็นผลดีกับความสัมพันธ์ และสร้างทักษะการสื่อสารที่ดีระหว่างบุคคลอีกด้วย

4.สามารถออกแบบได้ตรงโจทย์

โดยให้แต่ละแผนก อาจมีความท้าทายและปัญหาที่แตกต่างกัน การทำ In-House Training จะช่วยให้สามารถออกแบบวิธีการอบรมเพิ่มทักษะที่มาแก้ไขปัญหานั้นได้เฉพาะเจาะจงหรือสร้าง Customized Solutions ได้ดียิ่งขึ้น เช่น มีปัญหาด้านการเพิ่มยอดขาย ก็สามารถเจาะจงลงไปที่ต้นตอเพื่อออกแบบการฝึกอบรมที่ช่วยได้ อย่างการพัฒนาทักษะการขาย หรือทักษะการสร้างระบบการขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

5.ช่วยเพิ่มทักษะการสื่อสาร

แน่นอนว่าระหว่างการอบรมพนักงาน ผู้เข้าร่วมจะได้มีโอกาสพัฒนากระบวนการทำงานระหว่างกัน และพัฒนาทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

สรุป

ทั้งนี้การอบรมภายในองค์กร เป็นอีกหนทางที่ช่วยเพิ่มพูนศักยภาพให้กับคนในองค์กร ท่ามกลางความท้าทายของโลกยุค AI Disruption ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ผู้จัดการฝึกอบรมจึงต้องทำความเข้าใจกระบวนการและประโยชน์ของการทำการฝึกอบรมในช่วงนั้นๆ เพื่อเอาเนื้อหา สาระที่จำเป็น มาปรับใช้ในการฝึกอบรมให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on December 19, 2024 02:32

December 13, 2024

คอร์สเรียน wordpress เบื้องต้นสำหรับคนที่สนใจ

Content Management System หรือเรียกสั้นๆ ว่าเวิร์ดเพลส (WordPress) คือระบบจัดการเนื้อหา ที่ใช้สำหรับการสร้างและจัดการเว็บไซต์ต่างๆ มันเป็นหนึ่งในระบบจัดการเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีคุณสมบัติที่ทั้งหลากหลายและยืดหยุ่น เหมาะกับการสร้างเว็บไซต์หลากหลายประเภท ตั้งแต่บล็อกส่วนตัว พอร์ตโฟลิโอ ไปจนถึงเว็บไซต์ขนาดใหญ่สำหรับธุรกิจและองค์กร

 

การติดตั้งและการตั้งค่าเบื้องต้นการเลือกโฮสติ้งและโดเมน

ก่อนอื่นคุณต้องเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่รองรับและจดทะเบียนโดเมนสำหรับเว็บไซต์ของคุณ เลือกโฮสติ้งที่มีความเสถียรและรองรับอย่างเต็มที่ เช่น SiteGround หรือ WP Engine ซึ่งมีคุณสมบัติสำหรับเวิร์ดเพลส

 

การติดตั้งเวิร์ดเพลส

หลายโฮสติ้งให้บริการการติดตั้งอัตโนมัติ ถ้าโฮสต์ของคุณมีบริการนี้ มันจะทำให้กระบวนการติดตั้งง่ายและรวดเร็วมาก ถ้าไม่มีคุณอาจต้องติดตั้งด้วยมือ โดยดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ WordPress.org และอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ของคุณผ่าน FTP

 

ตั้งค่าพื้นฐานการตั้งค่าเว็บไซต์: รวมถึงชื่อเว็บไซต์ และคำอธิบายสั้นๆตั้งค่าเวลาและภาษา: ให้เลือกโซนเวลาที่เหมาะสมและภาษาที่ต้องการสำหรับเว็บไซต์ของคุณการจัดการผู้ใช้: สร้างบัญชีผู้ใช้สำหรับการเข้าถึงและการจัดการเว็บไซต์

 

เลือกธีมและปลั๊กอิน

เลือกธีมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ของคุณ และติดตั้งปลั๊กอินที่จำเป็นเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นที่ต้องการให้กับเว็บไซต์

 

ข้อสรุป

การติดตั้งและตั้งค่าเบื้องต้นเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ซึ่งจะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่ดีในการเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ตามความต้องการของคุณ สนใจเรียน wordpress สามารถสอบถามข้อมูลได้พิ่มเติมที่ Teamdigital

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on December 13, 2024 02:31

December 9, 2024

คอร์สอบรมภายในองค์กรกุญแจสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ

การอบรมภายในองค์กรเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะวิชาชีพมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถของพนักงานในด้านที่สำคัญต่อการทำงานและการประสบความสำเร็จในอาชีพของตน การอบรมดังกล่าวช่วยให้พนักงานสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและความท้าทายในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น โดยมีการฝึกอบรมในหลายด้านที่เป็นกุญแจสำคัญต่อการเติบโตของทั้งบุคคลและองค์กร

 

คอร์สอบรมภายในองค์กรกุญแจสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจทักษะการสื่อสาร

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร การอบรมนี้มุ่งเน้นทั้งการสื่อสารปากเปล่าและการเขียน เพื่อให้สามารถแสดงความคิดเห็นและข้อมูลได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ

 

การจัดการเวลาและการจัดลำดับความสำคัญ

ทักษะเหล่านี้ช่วยให้พนักงานสามารถจัดการกับภาระงานได้มีประสิทธิผล รวมถึงเทคนิคต่างๆ เช่น การใช้ตารางเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งความสำคัญของงาน

 

การแก้ไขปัญหา

การมีทักษะในการระบุและแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญที่พนักงานทุกคนควรมี

 

การทำงานเป็นทีม

การเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิผลไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มผลผลิตของทีม แต่ยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตและนวัตกรรม

 

ข้อสรุปสำคัญ

การอบรมทักษะวิชาชีพหรืออบรมภายในองค์กรไม่จำเป็นต้องจัดขึ้นเพียงในรูปแบบของการสัมมนาหรือการเรียนในชั้นเรียนเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การเรียนรู้ผ่านวิดีโอออนไลน์ หรือแพลตฟอร์ม e-learning ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ได้ตลอดเวลาและทุกที่ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับองค์กรที่ต้องการให้พนักงานพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on December 09, 2024 02:30

November 27, 2024

แคลเซียมเสริมกระดูกเป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับกระดูก

แคลเซียมเสริมกระดูกเป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับกระดูกอย่างไร

เนื่องจากว่าแคลเซียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่มีบทบาทในร่างกาย โดยเฉพาะในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน การได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในบางวัยหรือบางคน เช่น วัยผู้สูงอายุ หรือ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่เสียงต่อภาวะกระดูกพรุน แคลเซียมเสริมกระดูกจึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม

 

แคลเซียมเสริมกระดูกประเภทไหนที่เหมาะกับคุณ ? แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate)เหมาะสำหรับคนทั่วไป ที่ไม่มีปัญหาด้านการย่อยอาหาร และผู้ที่ต้องการแคลเซียมสูงต่อเม็ดแคลเซียมคาร์บอเนต มีปริมาณแคลเซียมสูงที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมอาจทำให้เกิดการท้องอืดหรือท้องผูกในบางคนแคลเซียมซิเทรต (Calcium Citrate)เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีกรดในกระเพาะต่ำ และมีปัญหาด้านการย่อย เช่น กรดไหลย้อนแคลเซียมซิเทรตสามารถดูดซึมได้ดี แม้รับประทานอาหารขณะที่ท้องว่างมีความอ่อนโยนต่อระบบทางเดินอาหารมีปริมาณแคลเซียมต่อเม็ดต่ำกว่าคาร์บอเนต อาจจะต้องรับประทานหลายเม็ดแคลเซียมแลคเตท (Calcium Lactate)เหมาะสำหรับผู้ที่มีระบบทางเดินอาหารบอบบาง และผู้ที่มีอาการแพ้แคลเซียมคาร์บอเนตดูดซึมได้ง่ายและอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหารหาซื้อได้ยากกว่าแคลเซียมชนิดอื่นๆแคลเซียมฟอสเฟต (Calcium Phosphate)เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมฟอสฟอรัสไปพร้อมกับแคลเซียม หรือผู้ที่มีภาวะกระดูกเปราะหรือกระดูกพรุนดูดซึมได้ดี มีฟอสฟอรัสผสมอยู่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟันไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไตผิดปกติแคลเซียมกลูโคเนต (Calcium Gluconate)เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะขาดแคลเซียมอย่างรุนแรง และเหทาะสำหรับใช้ในสถานพยาบาลเป็นหลักมีปริมาณแคลเซียมต่ำ แต่ดูดซึมได้ง่าย และนิยมใช้ในรูปแบบฉีดสำหรับผู้ป่วยที่ขาดแคลเซียมรุนแรงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับการเสริมแคลเซียมในคนทั่วไป

 

ประโยชน์ของแคลเซียมเสริมกระดูกเสริมสร้างกระดูกและฟัน แคลเซียมช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนลดความเสี่ยงกระดูกหัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากระดูกเปราะหรือมีโรคกระดูกพรุนส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แคลเซียมช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อและการส่งสัญญาณของระบบประสาทช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด มีบทบาทสำคัญในการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการนี้

 

ข้อสรุป

แคลเซียมเสริมกระดูกเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาและเสริมสร้างกระดูกในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกเปราะ การรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถช่วยเสริมสุขภาพกระดูกได้อย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลสุขภาพโดยรวมและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on November 27, 2024 02:06

November 26, 2024

อาการมือเท้าชา ขาดวิตามินอะไรพร้อมวิธีป้องกัน

มือเท้าชา ขาดวิตามินอะไร ? มือชาหรือเท้าชาเป็นอาการที่อาจดูไม่รุนแรงแต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่มีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการนี้ ได้แก่:

 

ความรุนแรงของมือชาหรือเท้าชา

พิจารณาว่าอาการชาเป็นเพียงชั่วคราวหรือถาวร และหากมันเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน หากอาการชานี้มีความถี่สูงและร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อ่อนแรง การเปลี่ยนแปลงของการเดิน หรือความเจ็บปวด อาจบ่งบอกถึงสภาวะทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา

 

มือเท้าชา ขาดวิตามินอะไร วิตามิน B12: ช่วยในการรักษาเซลล์ประสาทและเม็ดเลือดแดงวิตามิน B1 (ไทอามีน): สำคัญต่อการเผาผลาญและการใช้พลังงานของเซลล์ประสาทวิตามิน B6: จำเป็นสำหรับการสร้างสารสื่อประสาทและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาทวิตามิน E: มีบทบาทในการปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ

 

การประเมินสาเหตุอื่นๆ นอกเหนือจากการขาดวิตามิน

อาการมือชาหรือเท้าชาอาจเกิดจากการบาดเจ็บที่เส้นประสาท โรคเบาหวาน การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเนื่องจากความดันจากท่านอนหรือท่านั่ง หรือการแข็งตัวของหลอดเลือด

 

การจัดการและการรักษามือเท้าชา ขาดวิตามินอะไร

ทบทวนวิธีการจัดการและรักษาที่สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการชา รวมถึงการปรับเปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่สมดุล และการหลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน

 

ข้อสรุปสำคัญ

การเข้าใจถึงสาเหตุว่ามือเท้าชา ขาดวิตามินอะไร ทำให้เราสามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกวิธี การปรับเปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่สมดุล เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด และหากมีอาการผิดปกติควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาตรวจและทำการรักษา

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on November 26, 2024 02:06

November 22, 2024

วัยทองคืออะไร เกิดกับใครได้บ้าง

วัยทองคืออะไร ?

วัยทอง คือ ผู้หญิงและผู้ชายที่มีวัยอายุในช่วง 40-59 ปี ซึ่งจะอยุ่ในระหว่างวัยเจริญพันธุ์และวัยผู้สูงอายุ ช่วงวัยนี้จะเป็นวัยที่ฮอร์โมนเพศลดน้อยลงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มีโอกาสในการเสี่ยงเรื่องบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกพรุน

 

ผู้ชายสามารถเป็นวัยทองได้หรือไม่ ?

วัยทองในผู้ชายสามารถเกิดขึ้นได้ แต่จะไม่ชัดเจนเท่ากับผู้หญิง โดยในผู้ชายวัยทองเกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 40-60 ปี

และสาเหตุการเกิดวัยทองในผู้ชาย เกิดมาจากสาเหตุการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียดสะสม หรือมีโรคประจำตัว อย่างโรคเบาหวาน โรคหัวใจ

 

อาการวัยทองของผู้หญิงและผู้ชายมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

อาการวัยทองในผู้หญิงและผู้ชายมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากว่าวัยทองในผู้หญิงจะมีการหยุดทำงานของรังไข่ ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ประจำเดือนหยุดถาวร ส่วนวัยทองในผู้ชายนั้น เกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งลดลงทีละน้อยและต่อเนื่องตามอายุ โดยไม่มีการหยุดผลิตอย่างฉับพลันเหมือนในผู้หญิง

 

อาการวัยทองและความเสี่ยงในระยะยาว ช่องคลอดแห้ง เกิดจากการอักเสบของช่องคลอด มีอาการแสบและเจ็บในช่องคลอดการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทส่วนกลาง การตอบสนองต่อกระตุ้นลดลง การเคลื่อนไหวช้าลง ความทรงจำเสื่อมถอยลงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นช่วยลดไขมันไม่ดีในเลือดได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องดูแลตนเองโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่ประโยชน์ รักษาน้ำหนักตัวให้เปป็นปกติโรคกระดูกพรุน การที่ร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นจะทำให้กระดูกเปราะบาง เนื่องจากมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่กระดูกจะหักง่ายขึ้น โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เนื่องจากเนื้อเยื่อของช่องคลอดและท่อปัสสาวะสูญเสียความยืดหยุ่น บาครั้งมีอาการปัสสาวะบ่อย รวมถึงการเพิ่มโอกาสติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมากขึ้นน้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบเผาผลาญทำงานน้อยลง

 

การดูแลตัวเองในช่วงวัยทองควรดูแลตัวเองอย่างไร ควรดูแลสุขภาพและร่างกายด้านอาหารและโภชนาการด้านการออกกำลังกายด้านการนอนหลับ

 

การดูแลสุขภาพจิตใจการจัดการกับอารมณ์แปรปรวนการทำกิจกรรมผ่อนคลายการฝึกสติและสมาธิ

 

การดุแลสุขภาพฮอรืโมนการบำบัดด้วยฮอร์โมนสมุนไพรธรรมชาติ

 

การตรวจสุขภาพเป็นประจำตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกตรวจคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดตรวจคัดกรองมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก

 

การมีเครือข่ายสังคมใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน เช่น ชมรมออกกำลังกาย หรือกลุ่มงานอดิเรก

 

ข้อสรุป

วัยทองเป็นช่วงชีวิตที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของผู้หญิงเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน อันเนื่องมาจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยปกติจะเกิดในช่วงอายุ 45-55 ปี ซึ่งมีผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on November 22, 2024 02:01

November 19, 2024

ทานอาหารเสริมแคลเซียมบำรุงกระดูกมากเกินไปอันตรายไหม

แคลเซียมถือเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่มีความสำคัญมากต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างและรักษากระดูกให้แข็งแรง การได้รับแคลเซียมเพียงพอจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและบำบัดโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นต่ำ และเสี่ยงต่อการหักง่าย

 

แหล่งที่มาของแคลเซียมบำรุงกระดูกจากธรรมชาติ

แคลเซียมสามารถพบได้ในหลายแหล่งอาหาร โดยทั่วไปแล้ว นมและผลิตภัณฑ์จากนมเช่น โยเกิร์ต และชีส ถือเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ผักใบเขียวเช่น คะน้า และบร็อคโคลี่ รวมถึงปลาที่กินได้พร้อมกระดูก เช่น ปลาซาร์ดีน ก็เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีเช่นกัน

 

ปริมาณแคลเซียมบำรุงกระดูกที่แนะนำ

ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำในแต่ละวันขึ้นอยู่กับอายุ และเพศ โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000 – 1,200 มิลลิกรัม/วัน ผู้สูงอายุอาจต้องการแคลเซียมมากขึ้นเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน

 

ผลข้างเคียงของแคลเซียมบำรุงกระดูกหากทานมากเกินไตตกค้าง (Hypercalcemia) – การมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงเกินไปสามารถนำไปสู่ภาวะไตตกค้าง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ความรู้สึกเหนื่อยล้า ปัญหาทางเดินอาหาร (อาเจียน คลื่นไส้ ท้องผูก) การเกิดปัญหาที่ไต และการเกิดนิ่วในไตปัญหาทางเดินอาหาร – การรับประทานแคลเซียมเสริมในปริมาณมากอาจนำไปสู่ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก อาการแน่นท้อง และท้องเฟ้อผลกระทบต่อการดูดซึมของแร่ธาตุอื่นๆ – แคลเซียมในปริมาณสูงอาจแข่งขันกับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น เหล็ก และสังกะสี ในการดูดซึมซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดแร่ธาตุเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ – การรับประทานแคลเซียมเสริมในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจบางอย่าง เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีปริมาณวิตามินดีที่สูงเกินไปอาการปวดกระดูก – แคลเซียมในปริมาณมากอาจนำไปสู่ความผิดปกติของกระดูก เช่น การเจ็บปวดหรืออ่อนแอของกระดูกปัญหาทางจิตใจ – ภาวะไตตกค้างสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ ความสับสน หรือการมีอาการซึมเศร้า

 

ข้อสรุป

แคลเซียมบำรุงกระดูกนั้นมีข้อดีมากมาย แต่หากทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้การตระหนักถึงผลข้างเคียงเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างปลอดภัย และเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on November 19, 2024 22:39

November 18, 2024

ประโยชน์ของแคลเซียมที่ควรรู้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

แคลเซียมคืออะไร?

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย มีอยู่ในกระดูกและฟันถึง 99% ส่วนที่เหลือจะอยู่ในเลือด กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย โดยแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริมเพื่อรักษาระดับแคลเซียมในร่างกายให้เพียงพอ

ประโยชน์ของแคลเซียมที่มีผลต่อสุขภาพเสริมสร้างกระดูกและฟัน

แคลเซียมช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนากระดูกในวัยเด็ก รวมทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคกระดูกพรุน

การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท โดยช่วยส่งสัญญาณประสาท และช่วยในดรื่องการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ การขาดแคลเซียมอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกและปวดได้

ช่วยในการแข็งตัวของเลือด

เมื่อเกิดบาดแผล ร่างกายต้องการแคลเซียมในการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ไฟบริน” เพื่อช่วยในการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น และป้องกันการเสียเลือดมากเกินไป

ควบคุมการทำงานของหัวใจ

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติและมีจังหวะที่สม่ำเสมอ การขาดแคลเซียมในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

 

แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ตและชีสผักใบเขียว เช่น คะน้า บล็อกโคลี และปวยเล้งปลา เช่น ปลาแซลมอนและปลาซาร์ดีนที่มีเนื้อและกระดูกอ่อนธัญพืชและเมล็ดพืช เช่น งา เมล็ดทานตะวันและอัลมอนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงขาดแคลเซียม

 

ข้อควรระวังเกี่ยวกับการทานแคลเซียม

แม้ว่าแคลเซียมจะมีประโยชน์มากมาย แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมเกิน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนิ่วในไตหรือทำให้เลือดมีความหนืดเกินไป ดังนั้นจึงควรบริโภคแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม

แคลเซียมปริมาณเท่าไหร่ ถึงจะเพียงพอต่อร่างกายวัยเด็กเล็ก ช่วงอายุ 1 – 8 ปี ควรได้รับแคลเซียม ( 700 – 1,000 ) มิลลิกรัม/วันวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ช่วงอายุ 9 – 50 ปี ควรได้รับแคลเซียม ( 1,000 – 1,300 ) มิลลิกรัม/วันช่วงวัยสูงอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับแคลเซียม ( 1,200 – 1,300 ) มิลลิกรัม/วันข้อสรุป

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกระดูก ฟัน กล้ามเนื้อ และระบบประสาท การดูแลร่างกายให้ได้รับแคลเซียมเพียงพอจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on November 18, 2024 02:02

November 15, 2024

ใครไม่อยากเป็นตะคริวบ่อยเชิญทางนี้เรามีเคล็ดลับมาบอก

สำหรับใครที่เป็นตะคริวบ่อยแล้วสงสัยว่าเกิดจากอะไร อธิบายง่ายๆ เลยก็คือว่าเกิดจากกล้ามเนื้อทำงานหนักมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายหนัก มีการทำงานหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงขาหนักมาก กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่น มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งหรือหลอดเลือดตีบตัน ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อทำได้ไม่ดี

 

ไม่อยากเป็นตะคริวบ่อยทำตามขั้นตอนดังนี้การดื่มน้ำเพียงพอ

การรักษาระดับน้ำในร่างกายให้เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวบ่อยได้ เพราะการขาดน้ำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดตะคริว ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอทั้งวัน และเพิ่มปริมาณการดื่มหากออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน

 

เสริมแร่ธาตุ

แมกนีเซียม และโปแตสเซียม มีบทบาทสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อ การบริโภคอาหารที่มีแร่ธาตุเหล่านี้อย่างเพียงพอ เช่น กล้วย อะโวคาโด ถั่ว ผักใบเขียว และเมล็ดธัญพืช อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดตะคริว

 

การยืดเส้นยืดสายอย่างสม่ำเสมอ

การยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวบ่อยได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้งานบ่อยหรือมีแนวโน้มที่จะเป็นตะคริว เช่น กล้ามเนื้อน่องหรือส่วนล่างของขา

 

การอบอุ่นกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกาย

ก่อนทำกิจกรรมที่รุนแรงหรือออกกำลังกาย ควรทำการอบอุ่นกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมพร้อมกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงของการเกิดตะคริว

 

การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน

หากคุณต้องนั่งหรือยืนนานๆ ควรเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ และพยายามเดินเปลี่ยนท่าเป็นระยะเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อ

 

ปรับสภาพแวดล้อม

ให้แน่ใจว่าที่นอนและเตียงนอนของคุณสามารถสนับสนุนร่างกายได้ดี หลีกเลี่ยงการนอนหรือนั่งในท่าที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดเป็นเวลานาน

 

ข้อสรุปสำคัญ

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความถี่ไม่ให้เป็นตะคริวบ่อยได้และช่วยลดความรุนแรงของตะคริวที่เกิดขึ้นได้  ใครที่กำลังเจอปัญหาเป็นตะคริวบ่อยและรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

 

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on November 15, 2024 01:37