Jump to ratings and reviews
Rate this book

สยามพากษ์ #5

ขุนศึก ศักดินา และ พญาอินทรี: การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491 - 2500

Rate this book
ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500

หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นจากความสนใจประวัติศาสตร์การปฏิวัติ 2475 และขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติของผู้เขียนรวมถึงการที่ผู้เขียนมีโอกาสฝึกฝนและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมภายใต้บรรยากาศการ "เกิดใหม่" ของคณะราษฎรภายหลังการรัฐประการ 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะบทบาททางการเมืองของจอมพล ป.พิบูลสงคราม

ท่ามกลางข้อมูลอันมหาศาล หนังสือเล่มนี้ได้ประมวลข้อมูลออกมาอย่างเป็นระบบและนำเสนอการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนหลากหลายมิติ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจผู้เล่นกลุ่มต่างๆ ในการเมืองไทยยุคทศวรรษ 2490 อย่างทะลุปรุโปร่ง

400 pages, Paperback

First published August 1, 2020

115 people are currently reading
967 people want to read

About the author

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
322 (75%)
4 stars
81 (18%)
3 stars
18 (4%)
2 stars
3 (<1%)
1 star
3 (<1%)
Displaying 1 - 30 of 72 reviews
Profile Image for Thanawat.
439 reviews
April 18, 2021
5 ดาวเท่านั้น

นี่คือหนังสือที่บรรยายฉากการเมืองช่วงที่มีความสับสนอลหม่านในเรื่องความสัมพันธ์ที่สุดยุคหนึ่งของการเมืองไทย ออกมาเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่าย อ่านสนุก และมีหลักฐานแน่นปึ้ก

“ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ขึ้นหิ้ง all-time favorite ใน genre การเมืองไทยอย่างแน่นอน

สำหรับผม หนังสือประวัติศาสตร์มันต้องมี function ให้คนอ่านนอกสาขาวิชาอย่างผม อ่านแล้วได้รับอยู่สามประการ

หนึ่ง อ่านแล้วเข้าเรื่องราว ประติดประต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าผ่านสายตาของผู้เล่าคนใด โดยที่ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้อง bombard คนอ่านด้วยข้อมูลพวกชื่อคนเอยหรือตัวเลขปี พ.ศ. เอย แต่คนอ่านจะคุ้นเคยและจำได้เองจากเทคนิควิธีของผู้เล่า

สอง อ่านแล้วขยายพรมแดนความรู้ใหม่ๆ ไขข้อข้องใจ และแก้ไขความเข้าใจผิด ที่เคยถูกบีบ ถูกครอบเอาไว้ในกะลาความรู้ฉบับทางการ เรียกได้ว่าอ่านแล้วมันต้องว้าว อ่านแล้วมันต้องเบิกเนตร

สาม อ่านแล้วเข้าใจ agenda หลัก ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารกับผู้อ่านของเค้าโดยตรง แน่นอนว่ามันมีอคติปะปนบ้าง แต่ก็แน่นอนอีกเช่นกันว่ามันเป็นรสนิยมของผู้อ่านที่จะเลือกหนังสือมาอ่านเช่นกัน ซึ่งข้อสามนี้ มันจะทำให้อ่านหนังสือแล้วมีความสุข เพราะมันตอบโจทย์หลักการและอุดมการณ์ที่ผู้อ่านสมาทานอยู่

หนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ตอบโจทย์ครบทั้งสามข้อ

ผมอ่านแล้วเห็นภาพการเมืองไทยยุค พ.ศ. 2491 ถึง 2500 เด่นชัดอยู่ 3 อย่าง

1. การเมืองระหว่างขุนศึก: ป.-เผ่า-สฤษฎิ์
ภาพของการชิงอำนาจนำของเหล่าขุนศึก ทั้งค่ายคณะราษฎร ค่ายราชครู และค่ายสี่เสา ล้วนแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างยิ่งที่จะชิงอำนาจนำ โดยยอมที่จะใช้การต่อรองอำนาจ ผ่านกระบวนการทางการเมืองที่เขี้ยวลากดิน ยอมจับมือกับศัตรูเก่า เพื่อต้านศัตรูใหม่ และไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่กลับเกิดเหตุการณ์นี้สลับขั้ว สลับคู่ สลับซับซ้อนไปมาอย่างน่าประหลาดใจ แม้มันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนชั่วคราว แต่การกลับขั้วอย่างสุดโต่งมันเกิดขึ้นจนชวนอึ้ง
ที่ตะลึงงึงงันที่สุด คือฉากแผนการก่อกบฏในเหตุการณ์ “กบฏแมนฮัตตัน“ ที่ผู้ก่อการคือทหารเรือก่อกบฏ ทำรัฐประหารจอมพล ป. โดยที่กลุ่มปรีดีย์วางแผนจะรัฐประหารซ้อนทหารเรือถ้าทำสำเร็จ โดยหารู้ไม่ว่าฝ่ายรอยัลลิสต์วางแผนจะรัฐประหารปรีดีย์ซ้อนไปอีกชั้นนึงอีก เป็นแผนซ้อนแผน ลับลวงพราง ที่คนคิดแผนนี้เขี้ยวลากดิน เจนจัดการสมคบคิดขึ้นสุด

2. การปรับตัวของศักดินา: ราชสำนัก-รอยัลลิสต์-ประชาธิปัติย์
แน่นอนว่าศักดินาในหนังสือเล่มนี้ หมายถึงกลุ่มรอยัลลิสต์ (รวมถึงขุนศึกที่เป็นศักดินา) ที่ปรับตัวโอนอ่อนเพื่อซ่อนรูป ยอมอยู่ใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่พยายามสอดใส้รัฐธรรมนูญศักดินา โดยการสนับสนุนขุนศึกที่ยอมรับเงื่อนไข เพื่อชิงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับรอยัลลิสต์ขึ้น ซึ่งมันเป็น innovation ที่สุดยอดมาก เพราะทั้งๆ ที่เป็นการหมุนกลับไปสู่ระบอบเก่า แต่สามารถคลุมไว้ด้วยหนังประชาธิปไตย และที่สำคัญคือ ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียว ที่กลุ่มอำนาจของระบอบเก่า จะไขว้เขวออกนอก agenda หลักของตัวเอง

3. พญาอินทรี: สหรัฐอเมริกา-ไทยในสถานะกึ่งอาณานิคม
ชัดเจนที่สุดว่า “America first“ มันเป็น policy หลักของสหรัฐฯ มาตั้งแต่ก่อนทรัมป์ ซึ่งสหรัฐฯ พร้อมที่จะ manipulate ประเทศ “กึ่งอาณานิคม” ด้วยอำนาจทางการเมือง การเงิน และการสนับสนุนทางการทหาร โดยที่โนสนโนแคร์ว่าคุณจะอยู่กันด้วยระบอบไหน ใครจะเป็นผู้นำ ขอแค่เพียงตอบโจทย์ใหญ่ ซึ่งก็คือการต่อต้านคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะสนับสนุน ที่สุดยอดมากคือการเดินเกมระดับ world class สถาปนาอุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” ขึ้นในประเทศไทยได้อย่างสุดยอด จนคงทนถาวร ตกค้างมาถึงทุกวันนี้

ผมไม่รู้ว่าผู้อ่านที่เรียนมาสายนี้โดยตรงจะว้าวเหมือนผมมั้ย
แต่บอกเลยว่าตัวผมเองที่เป็นนักอ่านที่สนใจการเมือง และประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมามีความรู้ประวัติศาสตร์ยุคนี้กระท่อนกระแท่น โดยเฉพาะไม่รู้ความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนขั้นสุด แถมยังมีความมั่นใจฝังหัวว่า “สหรัฐฯ = ประชาธิปไตย”

เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มันช่วยขยายพรมแดนความรู้ แก้ไขความเข้าใจผิด และที่สำคัญที่สุดนอกจาก “ตาสว่าง” แล้ว ยังทำให้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า ประชาธิปไตยน่ะ เราต้องต่อสู้ให้ได้มาด้วยตัวเอง โลกข้างนอก ไม่มีใครมาช่วยหรอกถ้ามันไม่สมประโยชน์

PS
พรรคประชาธิปัติย์ เป็นอย่างที่เป็นมา เสมอต้นเสมอปลาย
Profile Image for สฤณี อาชวานันทกุล.
Author 82 books1,121 followers
December 28, 2020
หนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ใครเริ่มอ่านจะตื่นตาตื่นใจกับการพรรณนาแบบวางไม่ลงยิ่งกว่านิยาย (แต่ใครอยากรู้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์ก็ค้นได้เองผ่านเชิงอรรถซึ่งกินเนื้อที่เกือบครึ่งเล่ม) ตัวละครและฝักฝ่ายมากมายสมัยสงครามเย็นที่ถูกไขวาระทั้งที่ซ่อนเร้นและโจ่งแจ้ง ผ่านการรายงานทางโทรเลขละเอียดยิบของเจ้าหน้าที่ซีไอเอ (หน่วยข่าวกรองสหรัฐ) ในกรุประวัติศาสตร์สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเปิดให้นักวิจัยใช้ค้นคว้าหลังจากที่เวลาผ่านไปแล้ว 50 ปี ตามกฎหมายอเมริกัน

ใครอ่านหนังสือเล่มนี้จบจะเกิดอาการ “ตาสว่าง” อย่างไม่รู้ลืม ด้วยความที่ความรู้ความเข้าใจและความกังขาสงสัยถูกคลี่คลาย เปิดทั้งกะลาและโลกกว้าง ฉายภาพการเมืองไทยในทศวรรษ 2491-2500 อย่างแจ่มชัด อันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ส่งอิทธิพลและวางโครงสร้างสืบมาจนปัจจุบัน

คุณูปการของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การฉายภาพการขับเคี่ยวช่วงชิงอำนาจของคนสามกลุ่มอย่างชัดเจนตามชื่อหนังสือ นั่นคือ

1. ขุนศึก ระหว่างค่ายจอมพล ป., กองกำลังตำรวจนำโดย เผ่า ศรียานนท์ และกองทัพนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ต่อรองสลับขั้วพลิกไปพลิกมาอย่างน่าเวียนหัวแต่ก็น่าตื่นเต้นเร้าใจทุกฉาก

2. ศักดินา หมายถึงทั้งกลุ่มราชสำนัก นักการเมืองและทหารสายรอยัลลิสต์ เห็นชัดว่า “สันดาน” ของพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเส้นคงวาตลอดมาหลายสิบปี ผู้เขียนบรรจงถักร้อยข้อมูลหลักฐานมากมายมาฉายภาพวิธี "ควบคุมการเมือง" ของศักดินา โดยเฉพาะการวางแผนใช้รัฐธรรมนูญที่แสร้งเป็นประชาธิปไตย ช่วงที่เหลือเชื่อมากคือการบรรยายเหตุการณ์ช่วง “กบฏแมนฮัตตัน” รัฐประหารจอมพล ป. ที่ไม่สำเร็จ ซึ่งปรีดีวางแผนรัฐประหารซ้อนทหารเรือ ทว่าฝ่ายศักดินาวางแผนรัฐประหารตลบหลังปรีดีซ้อนไปอีกขั้น อภิมหามันส์ยิ่งกว่าหนังแอ๊กชั่น

3. พญาอินทรี บทบาทของอเมริกาที่ชักใยไทยในยุคต้นสงครามเย็น ตัดสินใจสนับสนุนกลุ่มศักดินาโดยการลงขันทั้งการเงิน การทหาร และโฆษณาชวนเชื่อ (จุดเริ่มต้นของ IO 555) ช่วยสร้างและพยุงอุดมการณ์ราชาชาตินิยมอย่างแน่นหนา เพราะมอง (อย่างถูกต้อง) ว่าศรัทธาในสถา��ันกษัตริย์จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์

ความสำคัญและพลานุภาพในการบันดาลอาการ “ตาสว่าง” ของหนังสือเล่มนี้ ดูได้ง่ายๆ จากอาการ “ดิ้น” ของนักวิชาการและสื่อเสี้ยมค่ายเผด็จการที่พยายามจับผิดและกระพือดราม่าแบบมักง่าย คือหาว่าวิทยานิพนธ์ซึ่งเป็นพื้นฐานของหนังสือเล่มนี้มีข้อผิดพลาดหลายสิบจุด ทั้งที่ฉบับหนังสือได้แก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้นแล้วตามอรรถาธิบายในคำนำ และข้อผิดพลาดในอดีตเหล่านั้นก็นับเป็นข้อมูลส่วนน้อยมากๆ ที่ไม่อาจหักล้างข้อเสนอหลักของหนังสือได้เลย

ควรค่าแก่การให้คนไทยทุกคนอ่าน บรรจุเป็นตำราในโรงเรียน และแปลงเป็นสื่อต่างๆ อาทิ ภาพยนตร์หรือสารคดี ซึ่งปัจจุบันคงทำไม่ได้ แต่จะทำได้ทันทีที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
Profile Image for รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์.
Author 10 books108 followers
December 19, 2020
สนุกนะ ไม่ได้ยาวอย่างที่คิด เพราะถึงหนังสือจะหนา ส่วนใหญ่หนาเพราะ Footnote ตามสไตล์หนังสือวิชาการ

ผมว่าเล่มนี้พาเราไปไกลกว่าเดิมมากนะ เราเห็นบทบาทของสถาบันและรอยัลลิสต์ในระบบการเมืองไทยช่วงชิงอำนาจก่อนจะเปลี่ยนสู่ระบอบทหารคู่ราชบัลลังก์หลังปี 2500

ความสนุกคือเรื่องราวบอกเล่าผ่านเอกสารของอเมริกาซึ่งน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง แถมยังได้เห็นความเห็นแก่ตัวของมหาอำนาจโลกอีกด้วย

แนะนำอย่างยิ่งสำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์ครับ
September 26, 2020
“อ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกสว่าง อิ่มสมองอิ่มใจ”

ขออนุญาตยกคำพูดบางส่วนของ อ.ธงชัย วินิจจะกูล ที่เขียนไว้ในคำนำเสนอของหนังสือเล่มนี้ มานะครับ เพราะรู้สึกตรงกับใจที่สุดแล้วครับ

“ความรู้สึกอิ่มเกิดจากการได้เสพหนังสือดีๆ ที่เป็นผลงานทางปัญญาที่ยากจะทำได้ แต่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้ด้วยความสามารถพิเศษบางอย่างของคนที่ทำงานทุ่มเทอย่างอดทนเป็นเวลาหลายปี ผู้เขียนหนังสือนี้ต้องทำตัวเป็น "หนูประจำหอเอกสาร" (archive rat) เพื่อสอบสวนเอกสารชั้นต้นจำนวนมากเหลือเกิน ต้องสร้างและปรับระบบการประมวลข้อมูลที่เหมาะกับปริมาณและความซับซ้อนของข้อมูลและของเรื่องที่จะเล่า สุดท้ายต้องสามารถเล่าเรื่องในแบบที่เสมือนพาผู้อ่านย้อนเวลาไปติดตามการข่าวสารรายวันในอดีตด้วยตัวเองได้”

‘เบิกเนตร’ และ ‘เปิดสมอง’ มากครับ เล่มนี้ 👍👍👍
Profile Image for Rajita P..
332 reviews28 followers
January 2, 2021
เป็นหนังสือที่อ่านจบแล้วตกใจมาก-ว่า เราไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ จนผ่านมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วจึงได้มารู้เรื่องนี้
พร้อม ๆ กันนั้นก็ทำให้เข้าใจการเมืองไทยในช่วง 2491-2500 เสียทีว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเหตุการณ์จากช่วงนั้นส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
Profile Image for Akavit.
36 reviews5 followers
September 9, 2020
ไม่แน่ใจว่าควรให้ดาวยังไง เพราะเป็นหนังสือที่อ่านวางไม่ลง อ่านสนุก และเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่น่าจะไม่เคยรู้มาก่อน ถึงความสำคัญของ จอมพล ป. หรือ เผ่า และเราเคยรู้มาก่อนเรื่องอิทธิพลจากอเมริกาแต่ไม่เคยเห็นรายละเอียดในเชิงการเมืองขนาดนี้ แต่ในแง่ของความเป็นหนังสือแล้วผมให้คะแนนยากมาก

อาจจะเป็นความคิดเห็นที่สวนทาง ผมมองว่าเล่มนี้มีความสำคัญต่อการชำระประวัติศาสตร์มาก มีรายละเอียดที่ประจักษ์ว่าเป็นความจริง แต่ในขณะเดียวกันน่าเสียดายที่เนื้อหานั้นน้อยมากและซ้ำซ้อนค่อนข้างมาก

อีกทั้งในช่วงเวลา 10ปีนั้นสั้นไปสำหรับหนังสือเล่มนี้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับหนังสือประวัติศาสตร์ไทย
Profile Image for Sunshineboder.
35 reviews7 followers
January 12, 2021
การเมืองนี่มันการเมืองจริงๆนะ ดีใจที่หนังสือเล่มนี้ขายดีมากๆในปี 2020 ปีที่อะไรๆในประเทศไทยไม่เหมือนเดิมในหลายบริบท ประวัติศาสตร์ที่นอนเเน่นิ่งอยู่ในหอจดหมายเหตุ ประวัติการสนทนา หนังสือพิมพ์ เอกสารต่างๆทั้งของไทยเเละของต่างประเทศ ถูกผู้เขียนจับมาเชื่อมโยงร้อยเรียงจนเป็นหนังสือเล่มนี้ที่มีสัดส่วนของบรรณานุกรมอ้างอิงมากที่สุดตั้งเเต่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือมาทุกเล่ม ต้องนับถือในการขุดค้นข้อมูลของผู้เขียน ที่ทำตัวเป็นหนูในหอสมุดอย่างที่คำนำได้กล่าวถึง จึงจะตกผลึกเป็นหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นดั่งกาเเฟอเมริกาโนเข้มๆที่อาจจะปลุกผู้อ่านบางคนจากภวังที่จมอยู่ เเละอาจจะมองอเมริกาโน่เเก้วนี้เปลียนไปและอะไรอีกหลายๆอย่างในประเทศนี้เปลี่ยนไปด้วย
Profile Image for Pittayut Panswasdi.
23 reviews14 followers
December 21, 2020
- ในระดับระหว่างประเทศ หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่พอทำให้เราเข้าใจคำถามสำคัญว่า ในช่วงสงครามเย็นแม้ว่าระเบียบโลกและขั้วอำนาจจะเอนเอียงไปทางสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่จากการที่มี state capability สูงส่งแต่ทำไมในหลาย ๆ ประเทศแม้ว่าสหรัฐจะเข้าไปมีบทบาทข้องเกี่ยวกับการเมืองภายในแต่กลับปรากฏระเบียบการเมืองแบบอำนาจนิยมด้านเดียวที่หยุดนิ่ง เป็น อนุรักษ์นิยมอย่างสุดขอบ หรือแม้กระทั่งเต็มไปด้วยวัฒนธรรมของรัฐเผด็จการ

- หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงช่วงทศวรรษ 2490 ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นทศวรรษที่สูญหายในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่เมื่อหนังสือเล่มนี้ยิ่งอธิบาย ยิ่งคลี่คลายให้เราเห็นว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงแห่งการช่วงชิงแสวงหาความชอบธรรมทางการเมืองโดยกลุ่มพลังต่าง ๆ ที่เข้ามาปะทะ คัดง้างกันเพื่อต้องการเข้ามากำหนดรูปแบบ ทิศทางของประเทศว่าจะเป็นไปในทิศทางใด รูปแบบใด

- โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงแห่งการไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในพื้นที่การเมือง กลุ่มก้อนการเมืองต่าง ๆ นอกเหนือไปจากกลุ่มรอยัลลิสต์ทั้งพรรคการเมือง กองทัพ ตำรวจ ต่างมีความแตกแยกภายใน ถึงแม้จะมีการรวมกลุ่มเพื่อเสริมสร้างหรือคานอำนาจกันอยู่บ่อยครั้ง แต่พฤติกรรมดังกล่าวก็ล้วนตั้งอยู่บนความหวาดระแวงระหว่างกัน ทำให้พลังทางการเมืองเหล่านี้ขาดเสถียรภาพ และยิ่งการที่กลุ่มปรีดีกับคณะราษฎร เริ่มอ่อนแรงไปหลังกบฏแมนฮัตตันในปี พ.ศ. 2494 และจากการที่สมาชิกระดับสูงหลายคนถูกลอบสังหาร ยิ่งเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มรอยัลลิสต์และกลุ่มศักดินาไทยที่เคยสูญเสียอำนาจไปหลังปี พ.ศ. 2475 ขยายอำนาจกลับมาสู่ปริมณฑลการเมืองไทยได้อย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง

- เราอาจถือได้ว่าการขับเคี่ยวกันของกลุ่มพลังต่าง ๆ ในช่วงเวลาเหล่านี้ได้ถือเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมการเมือง หรือ การเมืองในวัฒนธรรมแบบไทย ๆ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมการเล่นนอกกติกา เพื่อให้อยู่ในกติกาได้อย่างชอบธรรม (?) เช่น การรัฐประหารและการเซ็นต์รับรองการรัฐประหาร (ที่ทำให้ฝ่ายศักดินาและฝ่ายขุนศึกคิดว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งชอบธรรม) การตัดสินใจทางการเมืองผ่านการลงหรือไม่ลงพระปรมาภิไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติต่าง ๆ (เช่น พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อคนยากจนของรัฐบาลปี พ.ศ. 2496) รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492 หรือรัฐธรรมนูญฉบับรอยัลลิสต์ที่ขยายขอบเขตและพระราชอำนาจไปกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 2475 อย่างการให้สิทธิ์ในการแต่งตั้งสว. ทั้งหมด องคมนตรี รวมไปถึงบทบาททางการเมืองของของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนสร้างปัญหาให้กับการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะมีการแก้ไขขอบเขตและยกเลิกสิทธิ์บางประการในปี พ.ศ. 2495 แต่นั่นได้นำไปสู่คำถามสำคัญว่าสถานะเหนือการเมืองเป็นเรื่องเพียงในนามหรือไม่ อย่างไร เป็นต้น และวัฒนธรรมการเมืองบางส่วนทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไม "ผีปรีดี" ยังคงตามหลอกหลอนฝ่ายศักดินาไทยจวบจนถึงปัจจุบัน

- สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการนำเสนอแนวคิดเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมระหว่างชนชั้นนำและชาวต่างชาติที่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เช่น การปรากฏชุมชนชาวต่างชาติตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ใครจะไปนึกว่าการสร้างอัตลักษณ์แห่งชาตินอกเหนือไปจาก "การเป็นคนไทยคือการเป็นชาวพุทธ" แล้ว "การเป็นคนไทยคือการเป็น "ระยัลลิสต์"" ยังเกิดขึ้นจากการผสานผลประโยชน์ร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกา (ที่ต้องการใช้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเพื่อรองรับประเทศมหาอำนาจและเศรษฐกิจโลกที่กำลังขยายตัว/ การใช้ไทยเป็นพื้นที่สำคัญตามหลักภูมิรัฐศาสตร์สอดคล้องกับ Domino Theory ในช่วงสงครามเย็น/ การที่ไทยมีท่าทีเป็นมิตร ได้รับความช่วยเหลือทางด้านการทหาร เศรษฐกิจมาโดยตลอด/ การที่ไทยมีเสถียรภาพทางการเมืองเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค กอปรกับการที่พวกเจ้าไทยคือพวกศิวิไลซ์ได้รับการศึกษา อบรมจนคุ้นเคยกับวัฒนธรรมตะวันตกมาอย่างดี)
เข้าไว้กับศักดินา (ที่ยังคงมองกลับไปยังความรุ่งโรจน์ของตนในอดีตและมองว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหา ณ ขณะนั้นได้) ขุนศึกไทย (ที่ตัองการแสวงหาอำนาจและความชอบธรรมทางการเมืองเพื่อขับเคี่ยวกับกลุ่มอื่น ๆ ภายใน) เข้าไว้ด้วยกัน

- โดยการปฏิบัติการทางจิตวิทยา (psychological warfare) นั้นหมายถึงการที่สหรัฐต้องการลดทอนโอกาสที่ไทยจะถูกคุกคามโดยคอมมิวนิสต์ โดยการทำให้กองทัพและประชาชนไทยให้ความร่วมมือกับสหรัฐในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ผ่านการสนับสนุนโดยการช่วยเหลือทางการทหารและกึ่งทางการทหาร (paramilitary) เพื่อทำให้ไทยเป็นป้อมปราการทางทหาร รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือระยะยาวที่มุ่งเน้นไปที่ภาคอิสานและภาคเหนือ (ผ่าน USIS เป็นหลัก และก่อนปี พ.ศ. 2497 คนอิสานเกินกว่าครึ่งยังไม่รู้จักสถาบันกษัตริย์เสียด้วยซ้ำ) เพื่อลดการต่อต้านสหรัฐ และที่สำคัญคือ การใช้โครงการทางจิตวิทยาเพื่อทำให้คนไทยมีความผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อให้ความร่วมมือกันทำในสิ่งที่สหรัฐตัองการ เพื่อที่ไทยจะได้เป็นฐานในการปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อขยายอิทธิพลของสหรัฐต่อไป

- "การเป็นระยัลลิสต์" ได้เริ่มกลายมาเป็น collective identity ของคนไทยอันเป็นผลจากการที่สหรัฐเริ่มปฏิบัติการทางการเมืองและปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่ออย่างเป็นระบบ (ถึงขั้นมีการวิจัยทัศนคติและความเชื่อของคนไทยเพื่อการออกนโยบายการต่อต้านคอมมิวนิสต์จากคณะนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์) โดยเริ่มต้นตั้งแต่การก่อตั้ง Operations Coordinating Board หรือ OCB ผ่านหนังสือ ภาพยนตร์ วรรณกรรม การกระจายเสียงผ่านวิทยุ การกระจายสื่อสิ่งพิมพ์โดยให้วัดเป็นผู้แจกจ่ายแก่ชุมชน การอบรมข้าราชการระดับต่าง ๆ เยาวชน ชาวบ้าน และลุกลามไปยังการสอนในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย จนกระทั่งถึงความพยามยามที่ทูตสหรัฐและซีไอเอเริ่มสร้างแนวคิดการสร้างอุดมการณ์การทดเทิดสถาบันกษัตริย์เพื่อต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ โดยเริ่มจากกลุ่มข้าราชการระดับต่าง ๆ และมีการทุ่มงบประมาณหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐโดยแทรกไปพร้อมสื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่ได้ทำไปแล้วก่อนหน้าในเวลาถัดมา

- ถึงแม้ไทยจะมีช่วงเวลาที่ดำเนินการทางการทูตตามลักษณะสำคัญแบบ "ไผ่ลู่ลม" โดยอ้างการเสริมสร้างบรรยากาศอันดีในภูมิภาคไปบ้างในช่วงที่สถานการณ์ระหว่างประเทศผันผวนในช่วงสงครามเย็นและเป็นไปเพื่อการสนับสนุนผลประโยชน์ทางการค้าภายในกับกลุ่มข้าราชการต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมกับกลุ่ม Non-Aligned Movement, การแสดงไมตรีจิตต่อจีนในช่วงปี พ.ศ. 2497 เป็นต้นมา และให้ความร่วมมือมากขึ้นภายหลังการหยุดยิงในสงครามเกาหลี กอปรกับในขณะที่ภายในประเทศเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างจอมพล ป. ค่ายราชครูภายใต้การนำของพล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์และค่ายสี่เสาเทเวศน์ภายใต้การนำของ พล.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์จนทำให้จอมพล ป. เริ่มดำเนินนโยบาย "วิสัยทัศน์ใหม่" เสริมสร้างบรรยากาศประชาธิปไตย (?) เพื่อลดทอนสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่น และหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน แทนที่การพึ่งพาการแสวงหาการสนับสนุนจากมหาอำนาจผ่านสองขุนศึกดังเช่นในอดีต จนไปถึงการฝันถึงแผนการสาธารณรัฐไทย

- แต่การริเริ่มโครงการเสด็จเยี่ยมประชาชนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กอปรกับการที่สหรัฐยังคงให้การสนับสนุนไทยต่อไปและไม่ย่นย่อต่อการปฏิบัติการทางจิตวิทยาอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง และยาวนานเพื่อสร้างอัตลักษณ์ร่วมตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 2490 จนกระทั่งถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 2530 จากฝั่งสหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ "Outline Plan of Operations with Respect to Thailand" จากการได้ผลประโยชน์ร่วมจากฝ่ายรอยัลลิสต์จึงแทบจะทำให้ไทยเสมือนตกอยู่ใน "สภาวะกึ่งอาณานิคม" (โดยกลุ่มปัญญาชนและคนทำงานส่วนมากวิจารณ์ว่าสหรัฐทำให้กลุ่มทหารและตำรวจมีอำนาจมากเกินไปจนลิดรอนเสรีภาพของประชาชน เช่นเดียวกันกับการถูกแทรกแซงโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐที่ปฏิบัติงานในไทยจำนวนมาก)

- อีกทั้งเป็นการเปิดทางให้ฝั่งขุนศึก + "ศักดินา" และนักการเมืองที่เป็นรอยัลลิสต์หรือหาผลประโยชน์กับกลุ่มรอยัลลิสต์ (เช่น การขึ้นมามีอำนาจของจอมพลสฤษดิ์โดยการเล่นการเมืองแบบสองหน้าจนทำให้ดุลอำนาจแบบไตรภาคีเปลี่ยนผ่านมาสู่แบบทวิภาคีและนำมาสู่ไตรภาคีอีกครั้ง แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ สถาบันกษัตริย์ และสหรัฐอเมริกาแทน) กลับมามีอำนาจ และสามารถทำปฏิบัติการทางวาทกรรม (discourse practice) เพื่อเสริมสร้างอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์จากความสูงส่งของสถาบันได้มากกว่าที่เคยเป็น เช่น การที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างในการหาเสียงว่าพรรคตนเป็นพรรคของพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น

- ปฏิบัติการดังกล่าว รวมถึงโครงการต่าง ๆ ที่ตามมานับพัน ๆ โครงการถือเป็นปฏิบัติการสำคัญในการสร้างเรื่องเล่าขนาดใหญ่ (meta-narrative) ที่กลายมาเป็นปุ่มกลางหลังของคนไทยเราที่ให้ความสำคัญกับสถาบันกษัตริย์ในฐานะแกนกลางจารีตประเพณี ความเป็นชาติไทย รวมไปถึงเอกภาพและเสถียรภาพการเมืองภายในของไทย และส่งผลทางอ้อมให้คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงเกลียดกลัวคอมมิวนิสต์จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

- อย่างไรก็ตามเรามองว่าความเป็นไทย (+ศักดินา) ในช่วงทศวรรษดังกล่าวจนกระทั่งไม่ถึงสิบปีก่อนหน้ามันกลับมีความเป็นพลวัต ไม่ได้หยุดนิ่ง ตายตัวขนาดนั้น เพราะตลอดทั���งเล่มมันแสดงให้เห็นว่ากลุ่มอำนาจเหล่านี้มีการปรับตัว ปะทะ เกี๊ยเซียะกับกลุ่มพลังอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งขัดแย้งกับภาพความเป็นไทยในความทรงจำของพวกขุนศึก ศักดินา (+ วาณิช) ในปัจจุบันที่มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมั่นคงสถาพร และพยายามอย่างหนักในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ออกไป (ในยุคของจอมพลป. ยังคงมีการอนุญาตให้มีการเปิดหนังสือพิมพ์ ก่อตั้งพรรคการเมือง มีการไฮปาร์กที่ท้องสนามหลวง (สาดสี) ได้อย่างอิสระเสรี) โดยไม่ได้มองว่าการพยายามรักษา status quo ในอดีตเพียงอย่างเดียวคือความเสี่ยงที่มีราคาตัองจ่ายสูงสุด เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มมองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งล้าหลังที่ตายไปแล้ว

ปล. เป็นหนังสือเชิงวิชาการที่อ่านสนุกมากจริง ๆ บท 7-9 เข้มข้น บีบคั้นราวกับซีรีส์หนังดี ๆ เรื่องหนึ่ง เป็นหนังสือที่ช่วยให้เราเติมเต็มความสว่างให้เราสว่างวาบขึ้นไปอีกขั้นดังเช่นที่อ. ธงชัยกล่าวไว้ในบทนำ ถ้ามีเวลาก็อยากอ่านเชิงอรรถต่าง ๆ อย่างละเอียดอีกครั้ง และที่สำคัญทำให้รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงเป็นพรรคประชาธิปัตย์อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็อย่างนั้น
Profile Image for Donakrap Dokrappom.
189 reviews31 followers
November 26, 2020
เล่มนี้เป็นภาคต่อของหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ บอกเล่าช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเหตุการณ์การหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงช่วงสงครามเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองได้เข้าสู่จุดที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ การแย่งชิงอำนาจของกลุ่มการเมืองที่มีผู้เล่นสำคัญคือ จอมพล ปอ, ปรีดี (มรดกตกค้างของคณะราษฎรที่เหลืออยู่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง), พล.ต.อ. เผ่า (ค่ายราชครู), จอมผลสฤษดิ์ (ค่ายสี่เสา), รอยัลลิสต์และสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นไปอย่างเข้มข้น ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เฉือนคม หักเหลี่ยมโหด เนื้อหาหลักของการต่อสู่ยังอยู่ที่ประเด็นเดิมที่เคยเป็นมานับตั่งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นก็คือ การต่อสู้ระหว่างระบอบเก่าที่ต้องการคงอำนาจของตัวเองไว้ และระบอบใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนไทยให้เป็นไท ถ้าเป็นมวยก็คงจะเรียกได้ว่า "อิรุงตุงนัง" ฝ่ายแดงคือ จอมพล ปอ, ปรีดี, พล.ต.อ. เผ่า ฝ่ายน้ำเงินคือ จอมผลสฤษดิ์, รอยัลลิสต์และสถาบันกษัตริย์ การหักหลัง การสลับขั้ว มีให้เห็นตลอดระหว่างชก โดยมีสหรัฐอเมริกา ผีพนันตัวพ่อคอยดูอยู่ขอบเวทีรอจังหวะแทงฝ่ายที่ได้เปรียบในนาทีสุดท้าย

คำถามคือ หากพวกเขาต้องการชนะภายใต้กติกาใหม่จะต้องทำอย่างไร

แน่นอนว่าฝ่ายน้ำเงินต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพราะพวกเขาต้องต่อสู้ในกติกาใหม่ที่ไม่คุ้นเคย และโจทย์นี้ไม่ง่ายนัก เพราะในขณะนั้นเสียงเชียร์จากผู้ชมซึ่งก็คือประชาชนดูเหมือนจะเทให้ฝ่ายแดงซะมากกว่า ในขณะเดียวกันฝ่ายน้ำเงินยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนดูมากนัก (จากการสำรวจความรับรู้ของคนไทยในชนบทปี 2497 พบว่ากว่าร้อยละ 61 ไม่รู้ความหมายของสถาบันกษัตริย์) หากแต่ว่าพวกเขามีมันสมองอัญชาญฉลาดของปัญญาชนรอยัลลิสต์เป็นแม่ยกคอยผลักดันทุกวิถีทาง ขณะเดียวกันนั้น สหรัฐอเมริกา อุดมการณ์ของพวกเขาคือการกำจัดระบอบคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นขวากหนามต่อโลกเสรีที่พวกเขาใฝ่ฝัน ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันการขยายอิทธิพลจากจีนที่ซึ่งคอมมิวนิสต์กำลังเบ่งบานไม่ให้แผ่ขยายลงมาสู่อินโดจีนให้ได้ พวกเขาได้เล็งเห็นประเทศไทยเป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อต้านและฉลาดพอที่จะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

แน่นอนว่าการทำให้คนไทยตะหนักถึงภัยร้ายของคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่การสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาเกิดความรู้สึกอยากต่อสู้ การทำให้พวกเขารู้ว่าจะสู้ไปเพื่ออะไร เพื่อปกป้องอะไร จะเป็นสิ่งที่สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ และนี่คือสำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องทำ (สหรัฐอเมริกาทำอะไร ไม่สปอยนะไปอ่านเอง บอกได้เลยว่าอึ้ง ทึ่ง เสียวแน่นอน)

"ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" จึงเป็นสิ่งที่เราหวงแหนเป็นที่สุด

และตอนนี้ฝ่ายน้ำเงินก็ได้รับเสียงเชียร์อย่างล้นหลามและในที่สุดก็น็อกฝ่ายแดงได้อย่างราบคาบพร้อมกับระบอบใหม่ที่ถูกลืม

คำถามที่สำคัญที่สุดที่อยากฝากไว้... คุณเชื่อในอะไร

ปล ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผ่านมา 88 ปีแล้วสังคมไทยยังต่อสู่ในประเด็นเดิม ทำไมกัน ทำไมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
Profile Image for Suphanat Boonyiamyien.
62 reviews5 followers
January 18, 2021
ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองโน้มเอียงไปทางใดก็สามารถอ่านเอาบันเทิงได้ เพราะนี่คือพล็อตหนังระดับรางวัลเลยทีเดียว
อ่านจบแล้วไม่คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นชนวนแห่งการทะเลาะเบาะแว้งในสังคมที่ผ่านมา ดังบางคนได้ให้ความเห็นไว้
คิดว่ามันเป็นแค่...เรื่องราวของกลุ่มคนที่แย่งชิงอำนาจกันในประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของประเทศเท่านั้น
ตรงกันข้าม หากเพียงเรามีพื้นที่ให้ถกเถียง ไม่ปิดบังซ่อนเร้นหรือบิดเบือนจนเกินพอดี ไม่มองหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นระเบิดทำลายร้างฝั่งตรงข้าม (เพราะขณะเดียวกันมันอาจย้อนกลับมาระเบิดใส่ผู้ถือเองก็ย่อมได้) พัฒนาการทางการเมืองย่อมจะสุกงอมขึ้นจากงานเขียนนี้ได้ไม่มากก็น้อย
มิต้องเป็นดังคำทำนายในรายงานของอดีตทูตสหรัฐฯผู้ที่ไม่สนับสนุนการรัฐประหาร 2500 ที่ปรากฏในบทสุดท้ายของหนังสือว่า "การรัฐประหารครั้งนี้จะทำให้ไทยถอยหลังไปอย่างน้อยอีก 100 ปี ทำให้ประชาชนไทยไม่รู้จักโตและเป็นเหมือนเด็ก"
64 ปีผ่านไป เราเติบโตมากขึ้นแค่ไหนกัน?
Profile Image for Makmild.
806 reviews217 followers
December 22, 2020
หนังสือเล่มนี้คือประวัติศาสตร์ไทย ที่เป็นประวัติศาสตร์จริงๆ แบบที่น่าจะมีในการเรียนการสอนในโรงเรียน หากหนังสือเล่มนี้ถูกเรียกว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทย หนังสือประวัติศาสตร์ในโรงเรียนคงเป็นได้แค่พงศวดารก็เท่านั้น

คำถามที่ว่า “ประเทศไทยดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” ก็ต้องย้อนกลับมาอ่านเล่มนี้ที่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้

เมื่อปี 2500 ที่เกิดรัฐประหาร บิชอป ทูตสหรัฐในไทยเอ่ยถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “การรัฐประหารครั้งนี้จะทำให้ไทยถอยหลังไปอย่างน้อย 100 ปี ทำให้ประชาชนชาวไทยไม่รู้จักโคแตและเป็นเหมือนเด็กน้อย”

ช่างเป็นความจริงที่น่าเศร้า

สำหรับใครที่ลังเลว่าจะยากเกินไปหรือเปล่า ขออวยว่า หนังสือเล่มนี้สนุกกว่านิยายการเมืองหลายเล่มและเข้นคลั่กจนอยากย้อนเวลากลับไปตีควง อภัยวงศ์ให้หลายรอบ ขอยกประโยคที่ทำให้อยากกลับไปด่า

“ไม่มีเจ้าองค์ไหนยุ่งการเมืองเลย พระองค์เจ้าธานีนิวัต ก็สนใจแต่ของโบราณ ส่วนพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ฯ ก็เล่นภาพยนตร์ จะเอาเจ้าองค์ไหนเป็นผู้นำ”

ว้าวซ่า

ย้ำอีกรอบว่าหนังสืออ่านไม่ยากและแซ่บมาก ถ้าขี้เกียจอ่านก็อ่านบทสรุปตอนจบก็ได้ ประมาณสามหน้าสรุปให้ทั้งเล่มที่เล่ามาทั้งหมดนั้นแหละ จริงๆ เอาแค่สามสี่หน้าสุดท้ายไปใส่ในหนังสือประวัติศาตร์ปัจจุบันได้ก็คงจะดี
Profile Image for Santi Lapsuwanwong.
17 reviews
March 31, 2021
หนังสือเล่มนี้ยิ่งทำให้ เอกสารของปรีดี ที่จะเปิดในปี 2024 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าเกี่ยวข้องกับคดีสวร��คต มีความน่าตื่นตาตื่นใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าเมื่ออ่านเล่มนี้ประกอบกับเล่มอื่นๆแล้วเดาไม่ยาก แต่คิดว่าถ้าเอกสารถูกเปิดจริง ต้อง epic แน่ๆ

รอให้อีกฝ่ายมีการจัดพิมพ์ข้อโต้แย้ง น่าสนใจว่าจะมีนอกเหนือไปจากการอ้างว่า หลักฐานที่อ้างอิงมาพวกนี้เป็นเท็จหรือเปล่า
This entire review has been hidden because of spoilers.
Profile Image for Pongsak Sarapukdee.
284 reviews24 followers
December 22, 2020
เป็นหนังสือที่แนะนำให้อ่าน ทำให้เข้าใจเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆในช่วงเวลานั้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลกระทบที่ส่งผลยาวนานมาจนถึงปัจจุบันในประเทศไทย
Profile Image for NARUMON.
72 reviews13 followers
November 19, 2020
ขอสารภาพว่าไม่เคยได้ยินชื่อ เผ่า ศรียานนท์ มาก่อน

บทสุดท้ายอ่านแล้วตื่นเต้น ได้ยินเสียงนาฬิกาติ๊กต่อกๆ อย่างกับดู Dunkirk
Profile Image for Chawanat.
100 reviews20 followers
October 29, 2020
รีวิวเวอร์ชั่นเขียนอย่างกลั่นกรอง:
หนังสือที่ฉายภาพการเมืองไทยระหว่างปี พ.ศ. 2490 - 2500 ซึ่งตรงกับช่วงสงครามเย็นได้อย่างครบถ้วน ลื่นไหล ผ่านการอ้างอิงจากเอกสารมากมาย อ่านแล้วทำให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปและมรดกตกค้างจากยุคนั้นที่ยังส่งผลกระทบมาถึงเครือข่ายอำนาจทางการเมือง และชุดความเชื่อของคนไทยจวบจนปัจจุบัน

รีวิวเวอร์ชั่นจากใจ:
มันช่างจ้าาาาซะเหลือเกินนน อ่านเถอะ!
Profile Image for MT.
638 reviews81 followers
April 11, 2024
- อ่านช้ากว่าชาวบ้านหลายปี เลยไม่ต้องเสียเวลามาอวยยศใดๆแล้วเพราะทุกคนอวยกันฉ่ำตั้งแต่ปีที่วางขายแล้ว ไม่รู้จะเขียนชมอะไร ก็เลยขอมขียนข้อคิดนั้นนี้เกี่ยวกับนสละกัน

- การใช้ข้อมูลหอจดหมายเหตุจากฝั่งทางอเมริิกาและอังกฤษของงานชิ้นนี้มีมิติที่ดีมากๆ นอกจากความสนุกและความสดใหม่ทางข้อมูลแล้ว อ.ณัฐพลสามารถใช้ข้อมูลภาษาวิลาศเหล่านี้ในการเขียนอะไรที่ตรงกับความรู้สึกของคนอ่าน(หรือประชาชนกลุ่มนึง)ที่รู้สึกไม่เหมือนเดิมกับกลุ่มศักดินา และข้อมูลเหล่านี้ยังทำให้อาจารย์safegaurdตัวเองจากอะไรแบบ112ได้ด้วย ตอนเราอ่านและคิดว่าคนอื่นๆที่เป็นคนไทยอ่านคงรู้สึกความuncannyแน่ๆ เพราะถึงแม้พญาอินทรีจะเป็นหนึ่งในตัวแปร/ไตรภาคีที่นำพาประเทศมาจุดนี้ แต่เรากลับปฎิเสธไม่ลงจริงๆว่าข้อมูลจากหอจดหมายเหตุจากมะกันทำให้สภาวะตาสว่างในช่วงหลายๆปีมานี้มันฟังดูจับต้นชนปลายและvalidatedขึ้นมากว่าทำไมเราต้องไปประท้วงและแก้ไข112 เพราะสถานะของศักดินาในการเมืองไทยหลังคณะราษฎรและณ ปัจจุบันนั้นแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน การใช้ข้อมูลจากภาษาวิลาศในเล่มนี้เลยมีสภาวะที่น่าสนใจจริงๆ

- ชอบที่อาจารย์ณัฐพลเขียนงานโดยจำลองสายตาoutward-lookingในช่วงบทแรกๆมาก คือเขียนงานที่เหมือนคนนอกมองเข้ามาโดยอ้างอิงข้อมูลจดหมายเหตุเป็นหลักว่า ความเป็นสมัยใหม่ส่งผลอย่างไรกับระบอบการปกครองของดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ ตั้งแต่ยุคpax britannica(การยอมเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริงอาจมีเงื่อนงำมากกว่าที่เราเข้าใจ)เรื่อยมาจนถึงยุคamerican empire หรือมองอีกมุมคืออาจารย์กำลังแนะนำคนอ่านให้เห็นว่าเพลย์เยอร์ของแต่ละฝ่ายมีที่มาที่ไปเยี่ยงไรก่อนจะมาสู่ช่วงแย่งชิงอำนาจกัน ก็สนุกดีเขียนงานแบบนี้ อยากอ่านอะไรแบบนี้กับนักเขียนชาติอื่นๆที่ตกเป็นกึ่งอาณานิคมอะไรแบบนี้บ้าง

- ได้ยินมาตลอดว่าเมกันเป็นประเทศส่งออกระบอบประชาธิปไตยในเอเชีย ญี่ปุ่นเอ่ย เกาหลีใต้เอ่ย ฟิลิปปินเอ่ย etc ก็เลยอยากอ่านวิทยานิพนธ์ในประเทศเหล่านี้ดูว่าระบอบประชาธิปไตยมันเติบโตมาเป็นเยี่ยงไร โดนแทรกแซงทางการเมืองและการเลือกตั้งเหมือนประเทศไทยไหม เพราะอย่างในไทยคอนเซปต์การปกครองอะไรแบบนี้มีมาก่อนพญาอินทรีเป็นเจ้าโลก แต่พอเจ้าโลกเข้ามาที่ไทย เขาไม่ได้มาเพื่อการวางรากฐานบทบัญญัติfirst amendmentตามแบบประชาธิปไตยในแบบของตน แต่มาพร้อม "เจ้าโลก protocol" หรือ ฮาวทูเป็นเด็กดี(ย์)ว่าคุณจะเชื่อฟังและให้ความร่วมมือกับลุงแซมในการปราบคอมมี่ได้แค่ไหน (ซึ่งก็มีขุนศึกนายนึงเป็นเด็กที่ดีมากเสียด้วย) ซึ่งถ้าได้อ่านเมกันนั้นไม่แฮปปี้กับประชาธิปไตยประเทศนี้จริงๆ อิรุกตุนังอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีแล้วละ ฉันจะได้เข้ามาบงการและเปลื่ยนให้เป็นoperation-basedกำราบอำนาจองโลกฝ่ายซ้ายไปเลย จบ (!?)

- ชอบสภาวะกลืนน้ำลายและความอิหลักอิเหลือมทางศีลธรรมของเมกันในเล่มมากๆ ปกติเราจะเห็นอะไรแบบนี้ในช่วงproxy warหรือโลกหลัง9/11 แต่นี้เราได้เห็นเขาแฝงฤทธิ์ผ่านเหตุการณ์ในไทยด้วยนะ ก็เลยรู้สึกรีเลทกับชาวบ้านเขานิดนึงที่ประเทศเราก็สามารถทำให้ประชาชีเห็นถึงความไอรอนนี่ของworld peaceในอีกบริบทนึงได้เหมือนกัน งานชิ้นนี้เลยน่าแปลไทยเพื่อให้นักวิชาการเมกันรวมถึงชาติอื่นๆอ่าน เผลอๆปู่โนม ชอมอาจเขียนหนังสือได้เล่มนึงจากเหตุการณ์นี้

- ชอบการพูดถึงประเทศฝ่ายเสรีหลังการผงาดของพญาอินทรีในแทบอุษาคเนย์ อังกฤษบอกช่ำเกินไป ฝรั่งเศสเริ่มคุมอินโดจีนไม่อยู่ ส่วนเมกันก็เชิดอีประเทศพวกนี้สุดเพราะพวกแกตักตวงทรัพยากรมามากพอแล้ว ปล่อยให้เน่าๆตายไป ขอฉันไปรับมือกับพวกเวียงกงและคอมมี่จากจีนแผ่นดินใหญ่ละกัน ฟังดูตลกดีแต่อ่านจริงๆเครียดเหลือเกิน

- ชอบไดนามิกความสัมพันธ์ของจอมพล ปและปรีดีมากๆ ปกติเราจะเห็นพวกเขาเป็นfriend-to-enemy แต่กลับเล่มนี้มันคือความสัมพันธ์แบบbromanceจริงๆ เมื่อจอมพล ปรู้ตัวว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างการแปรพักตร์ไปอยู่กับศักดินาบ้างพญาอินทรีบ้าง จีนบ้าง จนสุดท้ายการเหยียบเรือร้อยแคมของจอมพลก็กลับมาทำร้ายตัวแกในที่สุด กบฎแมนฮันตันคือเรื่องฟลุก แต่หลังจากนั้นคือของจริง การหันกลับไปหาปรีดีผ่านการวินิจฉัยคดีสวรรคตอีกครั้งจึงเป็นอะไรที่ลึกซึ้งจริงๆ อาจฟังดูโรแมนติกไซต์จัดๆ แต่หนังสือทั้งเล่มอาจหมายถึงคนที่ผิดพลาดและอยากจะแก้ไขตัวเองอีกครั้ง แต่มันสายไปแล้วละ เพราะตอนนี้เรากำลังชดใช้กรรมเก่าให้ท่านอยู่

- ชอบการพูดถึงฝ่ายซ้ายในเล่ม ซ้ายที่เป็นคอมมิวนิสต์กับซ้ายที่ฝักใฝ่สฤษฎ์และการรัฐประหารจอมพล ป ก่อนที่ฝ่ายซ้ายนี้จะกลายพันธ์มาต่อต้านอะไรที่ตัวเองเคยฝักใฝ่ในช่วงยุคถนอม ฉ่ำและฉาวมาก

- ชอบการพูดถึงสื่อหนังสือพิมพ์ ที่แบ่งออกเป็นหัวๆตามแต่ละอุดมการณ์จะรองรับ โดยเฉพาะสยามรัฐของมรว ศึกฤษธิ์ จริงๆเล่มนี้พูดถึงศึกฤทธิ์ในฐานะพรรคประชาธิิปปัตย์และในฐานะปัญญาชนนักเขียนได้ดูร้ายกาจสุดๆ จริงๆคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ก็อยู่ในsceneนี้ด้วย และเจ้าตัวก็เขียนประสบการณ์ตัวเองลงในงานอย่างแลไปข้างหน้าด้วย อยากให้อาจารย์พูดถึงเขามาก ไม่ใช่ไรเราเป็นติ่งศรีบูรพาหน่ะ

- พึงทราบว่าไทยกับฝรั่งเศสมีจดtreaty���ะไรสักกันด้วย

- คิดว่าเป็นหนังสือที่น่าจะอ่านง่ายและสนุกที่สุดของฟ้าเดียวกันละ ปกตินสของสนพ.นี้มันnicheมากเพราะดูเป็นงานที่มีความวิชาการ/วิทยานิพนธ์จ้านมาก คนอ่านถ้าไม่ใช่คนในวงการก็คงเป็นพวกการเมือง enthusiast แต่กับเล่มนี้มันมีความnarrative historyมากๆ อ่านสนุก อ่านเพลิน ถือเป็นเล่มเริ่มต้นที่ดีในการเข้าสู่โหมดหนังสือปศวไทยหรือไหนๆได้อย่างดี จริงๆมีอะไรให้เขียนอีกเยอะมาก(ซึ่งแค่นี้ก็เยอะมากแล้วนะ) แต่คงหลงลืมไปแล้ว
Profile Image for Chuthamat  C..
25 reviews3 followers
September 1, 2020
ผู้เขียนได้เสนอแง่มุมทางประวัติศาสตร์ที่ประด้วยแกล่งข้อมูลทางเอกสารอ้างอิง ซึ่งสะท้อนว่าองคาพยพทั้งสามตามชื่อหนังสือ (ขุนศึก=ตำรวจ กองทัพ, ศักดินา=สถาบันกษัตริย์และพวกรอยัลลิตส์, พญาอินทรี=สหรัฐอเมริก) สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางอำนาจทางการเมืองการปกครองของประเทศไทยอย่างไร และผลกระทบของการชิงพื้นที่ของอำนาจทางการเมืองของทั้งสามฝ่ายนั้นได้ฝั่งรากสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเมืองไทยมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน
อ่านแล้วอาจเรียกได้ว่าสว่างทางจิตใจ และสติปัญญาเป็นอย่างยิ่ง
Profile Image for ReaddictTH review.
88 reviews11 followers
April 13, 2021
จากหนังสือขอฝันใฝ่ฯ ของณัฐพล ใจจริง ที่มีเนื้อหาครอบคลุมประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลังการปฏิวัติปี 2475 ถึงช่วงปี 2500 ซึ่งผมอ่านไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นหนังสือที่ดียิ่งเล่มหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ที่เหล่าชนชั้นปกครองพยายามลบออกไปจากหลักสูตรการศึกษาไทย
.
และในช่วงที่ผมเขียนอยู่ก็เช่นกันมีความพยายามหลายต่อหลายครั้งต่อเนื่องจากปลายปี 2563 จนถึงต้นปี 2564 ที่จะดิสเครดิตหรือเซนเซอร์งานวิชาการโดยวิธีการที่ไม่เป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการ ไม่เพียงแต่จะดูตลกในสายตาคนรุ่นใหม่แล้วยังทำให้คนหันมาสนใจหนังสือของณัฐพลมากขึ้นอีกด้วย
.
เล่มนี้ก็เช่นกันในช่วงที่ผมกำลังอ่านบันทึกนกไขลานก็มีข่าวกลุ่มอะไรสักอย่างที่อ้างชื่อสถาบันที่ว่ากันว่าเป็นเสาหลักเสาปูนของประเทศเรียกร้องให้เซนเซอร์งานหนังสือของณัฐพล จนผมตัดสินใจได้ทันทีว่าเล่มต่อไปต้องเป็นขุนศึกฯนี่แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว
.
ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีคือหนังสือประวัติศาสตร์ไทยช่วงปี 2491 ถึง 2500 ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงท้ายของเล่ม ขอฝันใฝ่ฯ โดยผู้เขียนคนเดียวกัน แต่หนังสือเล่มนี้จะเจาะลึกเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีก่อนเข้ายุคเผด็จการสฤษดิ์ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งเลยทีเดียว
.
คำถามที่ว่าถ้าเกิดเพิ่งสนใจศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้วอ่านขุนศึกฯเลยจะได้ไหม ผมก็คงบอกได้ว่า “ก็ทำได้” แต่ถ้าให้ “แนะนำ” อย่างน้อยอยากให้อ่าน ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อของณัฐพลก่อน เพราะมันต่อเนื่องกันและเป็นช่วงหลังการปฏิวัติพอดีที่หลักสูตรไทยไม่ค่อยได้สอน
.
แต่จะอ่านขุนศึกฯ ก่อนแล้วไปอ่านขอฝันใฝ่ฯทีหลังก็ทำได้เช่นกันสาเหตุก็คือ หลังจากที่อ่านทั้งสองเล่มแล้วผมพบว่า ขุนศึกฯเป็นมิตรกับผู้อ่านทั่วไปมากกว่าขอฝันใฝ่ฯที่เป็นหนังสือแนวบทความวิชาการ แต่ถ้าใครไม่ติดปัญหานี้ก็อ่านขอฝันใฝ่ฯก่อนได้เลยครับ
.
แกนหลักของหนังสือเล่มนี้คือการแสดงภาพให้เราเห็นว่าการที่สหรัฐฯมีนโยบายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมีไทยเป็นฐานสำคัญนั้น ทำให้สหรัฐฯเข้ามามีบทบาทเบื้องหลังการเมืองไทยได้อย่างไร
.
ดังนั้นเรื่องราวของหนังสือจึงเริ่มต้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านสัมพันธ์ของขบวนการเสรีไทยกับอเมริกา ไปสู่การช่วงชิงอำนาจของกลุ่มจอมพล ป. เผ่า สฤษดิ์ ปรีดีและกลุ่มรอยัลลิสท์ โดยตัวแปรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนั่นก็คือพญาอินทรีนั่นเอง
.
ซึ่งที่สุดแล้วใครเป็นผู้ชนะหากถามจากคนที่เรียนประวัติศาสตร์ตามที่ครูสอนคำตอบย่อมมีเพียงหนึ่ง แต่หากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคำตอบของคุณจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
.
ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ที่เราจะได้เรียนรู้ หนังสือเล่มนี้ยังจะทำให้เราเห็นถึงต้นกำเนิดของกลุ่มก้อนบางกลุ่มที่ยังคงหลงเหลือและส่งผลต่อชีวิตของพวกเราในปัจจุบันเช่นพรรคการเมืองแมลงสาบ หรือกลุ่มทหารต่างๆ ที่อิงแอบอยู่กับพวกนิยมเจ้าอีกด้วย
.
นี่จึงทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นที่กล่าวขานถึงในทำนองว่า อ่านแล้วจะ “ตาสว่าง” และมันก็สามารถทำได้ตามคำร่ำลือ อย่างน้อยที่สุดนี่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วงปี 2491 - 2500 ที่ละเอียดและรอบด้านที่สุดแล้ว
.
ด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาที่อ่านง่าย ละเอียด และสนุกตื่นเต้นเทียบเคียงกับหนังสือประวัติศาสตร์ชั้นดีของต่างประเทศทำให้ผมแนะนำอย่างยิ่งที่คนไทยจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
Profile Image for Nuttawat Kalapat.
685 reviews48 followers
December 6, 2020
ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี : การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500
ผู้เขียน : ณัฐพล ใจจริง
เนื้อในพิมพ์ : ขาวดำ
ชนิดกระดาษ : กระดาษถนอมสายตา
สำนักพิมพ์ : ฟ้าเดียวกัน, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์ : --/2020
.
เลือกเล่มนี้เป็น เล่ม ที่ 100 แล้วกัน
.
จะรีวิวๆ สั้น นะครับ อาจจะช้าไปนิด แต่จะบอกว่า อ่านเถอะ เนื้อหาจริงๆ มีแค่ 200 กว่าหน้า หนังสืออาจจะดู หนา เพราะบรรณานุกรมแน่นมาก (ชื่อคนอย่างเดียวก็น่าจะเกือบ100คน)55
ปัจจุบันคนป้ายยยาเล่มนี้เยอะแล้ว
.
.
บอกตรงๆว่า ผมไม่ชอบอ่าน สรุปรีวิวหนังสือเกี่ยวกับงานวิชาการ หรือ งานวิจัย ด้านการเมืองมากนัก
เพราะการสรุปเรื่องแบบนี้ออกมามันมักจะออกมาเป็นข้อมูล เป็นข้อๆ ซึ่งอ่านไม่สนุก
.
การสรุปข้อเท็จจริง จากงานวิจัย ออกมาเป็นข้อๆ นั้น ผมอ่านไม่ค่อยเข้าหัว และ จะข้ามไปครับ แต่เล่มนี้ จะข้ามไปไม่ได้ เพราะมันค่อนข้าง มีคุณค่าด้าน ประวัติศาสตร์ เอามากๆ ทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น เนื่องด้วยวิธีการการเล่าของผู้เขียนสามารถทำให้คนที่ไม่ใช่สายวิชาการอย่างเราอ่านได้ต่อเนื่องและเข้าใจไม่ยาก
.
.
ตัวอย่างเรื่องที่คุณจะได้รู้ (ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับ คน Basic อย่างผม)
- อิทธิพล ของอเมริกาในยุคนั้นต่อไทยอย่างละเอียด จีนด้วย
- จอมพล ป คือใคร ทำอะไรบ้าง
- ปรีดี พนมยงค์ คือใคร ทำอะไรบ้าง
- เผ่า ศรียานนท์ คือใคร ทำอะไรบ้าง
- จอมพล สฤษฏิ์ คือใคร ทำอะไรบ้าง
- บทบาทของสถาบัน ทหาร พรรคการเมืองยุคนั้น และ ทำให้เข้าใจการปรับตัวของศักดินา: ราชสำนัก-รอยัลลิสต์-ประชาธิปัตย์
- การหักเหลี่ยม เฉือนคม ชิงไหวชิงพริบในเรื่องนี้ เข้มข้นจัดๆ
.
.
ความเห็น
- เบิกเนตรอย่างที่เขาว่าจริงๆ มันดีมาก สำหรับคนไม่ได้เรียน เรื่องสังคม มนุษย์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง คนนอกสาขาทั่วไปอย่างเ���าก็อ่านเข้าใจ
- บรรณานุกรม ละเอียดยิบ นับถือในการค้นคว้า สุดยอด
- อ่านจบรู้เลยว่า เห้ย เรื่องใน อดีต มันมีผล ต่อปัจจุบันได้จริงๆ ยุคสมัยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย
- แน่นอน มันจุดประกายให้เราสนใจ หาแนวนี้อ่านต่อครับฃ
.
.

10/10
Profile Image for Jessada_K.
135 reviews21 followers
November 7, 2020
เป็นหนังสือที่ดีมากๆ อีกเล่มที่ได้อ่านในปีนี้ แนะนำอยากให้ทุกคนได้อ่าน อ่านไม่ยากเลย สนุก และบางเรื่องทำให้เราได้เข้าใจอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมเยอะมาก
Profile Image for Fai C. -.
156 reviews8 followers
December 11, 2020
อ่านเถอะค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน
Profile Image for Khunpmai.
18 reviews6 followers
July 8, 2023
เรื่องราวซับซ้อนยิ่งกว่าละครหลังข่าวอีก แต่ทำให้รู้ว่าอเมริกามีอิทธิพลอย่างมากต่อประเทศไทยในช่วงยุคนั้น
Profile Image for Suparerk.
13 reviews1 follower
June 20, 2021
อ่านสนุกเหมือน​อ่านนิยาย​ ทำให้ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์​ที่ไม่เคยรู้มากมาย​ ตาสว่างขึ้นเยอะเลย
Profile Image for Nats Lakkatham.
276 reviews5 followers
July 24, 2025
- แน่น ละเอียด ระเบียบ เหมือนอ่านนิยาย แต่ความจริงมันน่าเศร้าเกินกว่านิยายอีก
- เซอร์ไพรส์มากเพราะพรรณาได้เห็นภาพ และตอบคำถามที่สงสัยของผู้อ่านที่มีอย่างยาวนานได้หมดจดว่า ทำไมเราถึงกลับมาเป็น "แบบนี้" ได้ ทั้งๆที่เรามี 2475 แล้ว
- พออ่านก็ได้คำตอบว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่นำพาสถานการณ์ที่นำมาซึ่ง "แบบนี้" ในปัจจุบัน
* ก็ตามชื่อหนังสือแหล่ะ
Profile Image for Tong Sattrawut.
3 reviews10 followers
December 10, 2020
ได้รับข้อเท็จจริงใหม่เยอะมาก แต่เสียดายที่ผู้เขียนเล่าด้วยอารมณ์เอนเอียงไปนิดนึง
Profile Image for Tanan.
234 reviews47 followers
December 1, 2020
ถ้า ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นงานวิจัยที่ศึกษาในมุมของฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติในช่วงปี 2475 - 2500 ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี ก็เป็นงานวิจัยที่บีบกรอบเวลาให้แคบลง แต่ขยายกรอบผู้เล่นให้กว้างขึ้นว่าโลกในตอนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐมีบทบาทอย่างไรต่อการเมืองการปกครองของไทยในช่วงปี 2491 - 2500

หากยึดตามช่วงเวลา จะเห็นว่า ตัวละครหลักใน ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ จะเป็นการต่อสู้ระหว่าฝ่ายกษัตริย์นิยมปะทะคณะปฏิวัติ โดยในช่วงแรกจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายกษัตริย์นิยม

ต่อมาด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่นการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองของไทย, การตัดสินใจของปรีดีที่ปล่อยนักโทษทางการเมือง, การแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายกษัตริย์นิยมเพื่อขยายพระราชอำนาจและให้กลุ่มตัวเองกุมความได้เปรียบ, กรณีสวรรคตของในหลวงรัชการที่ ๘, ความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา ฯลฯ ทำให้ในช่วงหลังสงครามโลก มีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้น เราจึงได้เห็นการโต้กลับของฝ่ายกษัตริย์นิยม การหักเหลี่ยมเฉือนคมกันของแต่ละฝ่าย และปิดฉากด้วยความพ่ายแพ้ของจอมพล ป. ผู้เป็นแกนนำคณะราษฎรคนสุดท้าย

สนุกไม่แพ้นิยายครับ
Profile Image for Thursday,nightmare.
175 reviews8 followers
October 29, 2023
ขุนศึกฯจบแล้ว เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย พล็อตโหดเหมือนโกรธโลก ทวิตส์ไปมาแบบลุ้นสุด ๆ แต่ก็รู้ว่ามันคือไทม์ไลน์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เราไม่อาจจินตนาการภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นได้ใหม่ เพราะปัจจุบันคือภาพมรดกของเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้น 😢
.

อ่านสนุกมาก อารมณ์ร้อนเร่า แต่เข้าใจว่ามีอคติของผู้เขียนในโทน น้ำเสียง ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านอยู่ดีค่ะ

.
เราเพิ่งมา submit รีวิวจริงจัง เนื่องจากเพิ่งมีทัวร์รถสองแถวลง เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมเอาเจ้า ที่เห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นนิยายใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนประวัติศาสตร์ และได้อ้างถึงการฟ้องร้องกันระหว่างตระกูลรังสิตกับผู้เขียน แต่ถึงอย่างนั้น จุดที่จริงก็ยังจริงอยู่ ไม่ได้ทำให้หนังสือทั้งเล่มเป็นเท็จ (ยังอยู่ในการพิจารณาคดี ยังไม่รู้แน่ว่าผิดไหม อีกอย่าง เหล่าพี่กะทิค้างคืนเขาไม่ได้อ่านเล่มนี้ แต่ก็คิดเป็นอื่นไปแล้ว น่าเศร้าค่ะ)
Profile Image for Pae Ponsiri.
112 reviews23 followers
October 3, 2022
ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นที่ถาวร ภายในเล่มเต็มไปด้วยการรวมมือและทรยศ​หักหลังกันอย่างดุเดือด สลับสับเปลี่ยน​ฝ่ายกันไปมา เหล่าขุนศึก (กองทัพ)​ ที่ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว แทงกันเองทั้งข้างหน้าและข้างหลัง บทบาทพญา​อินทรีย์ (สหรัฐฯ)​ ที่มีส่วนสนับสนุนหรือต่อต้านตัวแสดงต่าง ๆ หรือศักดินา/เจ้า (สถาบันกษัตริย์)​ ที่ไม่ได้ปลอดปราศจากอคติ แล้วจะได้เห็นว่าเจ้ามีส่วน/มีเทคติคกระทำทางการเมืองอะไรยังไง นี่ยังไม่นับความกวนโอ้ยของพรรคประชาธิปัตย์อีก ยิ่งน่าสนใจที่งานชิ้นนี้ใช้เอกสารจำนวนมากจากต่างประเทศที่เข้าใจว่าในไทยคงไม่มีหรือคงไม่กล้าบันทึกไว้. และผมก็เห็นว่าข้อโต้แย้งของอ.ไชยันต์ก็ไม่ได้หนักมากถึงขนาดจะล้มข้อเสนอของงานนี้ทั้งชิ้นได้ แต่ทั้งนี้ผู้อื่นก็ควรอ่านความเห็นอ.ไชยันต์ประกอบด้วย
4 reviews3 followers
August 24, 2020
This book is a worthy book that I've bought. Nattapoll Chaiching is one of the famous Thai political historians who provides a lot of information and evidence about the U.S.A role in Thai politics (1947-1957). Sometimes the U.S.A supports the military coup and sometimes they support the royalist and Thai army to fight against Pibulsongkram, Pridi, and Pao for their benefits in Thailand.
Displaying 1 - 30 of 72 reviews

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.