Jump to ratings and reviews
Rate this book

เบสเมนต์ มูน

Rate this book
3 ตุลาคม ค.ศ. 2016, นักเขียนไทยวัยกลางคนชื่อปราบดา หยุ่น ได้รับข้อความประหลาดผ่านโทรศัพท์มือถือบงการให้เขาเดินทางไปยังตึกร้างในย่านเก่าของกรุงเทพฯ แม้ไม่เข้าใจอะไรนัก, และมีความเป็นไปได้ที่จะเสียสติเพราะความหดหู่ของบรรยากาศสังคม, เขายอมทำตามคำสั่งลึกลับนั้น. การสื่อสารปริศนาเกลี้ยกล่อมให้ปราบดาคิดว่ากการกระทำของเขาจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้น.

เรื่องเล่าที่ปราบดาได้ฟังในห้องของตึกร้างซับซ้อนพิสดารกว่าที่เขาจะสามารถจินตนาการเอง. มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต, ความรุนแรงและความสูญเสียระดับชาติที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า, ไกลไปถึงความเป็นไปของสังคมไทยและโลกในปี ค.ศ. 2069, ยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวไกลถึงขั้นสร้าง "จิตสำนึกประดิษฐ์" ได้สำเร็จ. จิตสำนึกประดิษฐ์ส่วนหนึ่งตกเป็นเครื่องมือขององค์กรลับชื่อ "โววา" ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อรับใช้กลุ่มประเทศอำนาจนิยม, ทางการไทยก็ต้องการใช้เทคโนโลยีนี้ค้นหาและกำจัดขบวนการใต้ดินที่กำลังเริ่มแพร่เชื้อกระด้างกระเดื่องด้วยข้อมูลทางศิลปวัฒนธรรม, พยายามรื้อฟื้นความทรงจำหมู่ในประวัติศาสตร์ที่ทางการได้ลบล้างไปเป็นเวลานาน.

เหมือนเป็นเรื่องแต่งไซไฟ-แฟนตาซี, แต่สิ่งที่ห้องร้างป้อนใส่การรับรู้ของปราบดาดูจะเชื่อมโยงกับโลกจริงอย่างไม่น่าเชื่อ. จิตสำนึกประดิษฐ์ในอนาคตอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ห้องนั้นสามารถ "คุย" กับปราบดาได้. เรื่องเล่าของห้องร้างพาไปรู้จักกับ "สุญสตรี" และ "สำเนาสำนึก" ภายใต้ชื่อ "ญานิน" และรื้อฟื้นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น, แต่กลับเหมือนเป็นความทรงจำของใครบางคน.

192 pages, Paperback

Published March 1, 2018

9 people are currently reading
88 people want to read

About the author

Prabda Yoon

49 books46 followers
See ปราบดา หยุ่น for Thai profile.

Prabda Yoon (Thai: ปราบดา หยุ่น; RTGS: Prapda Yun; born 2 August 1973 in Bangkok) is a Thai writer, novelist, filmmaker, artist, graphic designer, magazine editor, screenwriter, translator and media personality. His literary debut, Muang Moom Shak (City of Right Angles), a collection of five related stories about New York City, and the follow-up story collection, Kwam Na Ja Pen (Probability), both published in 2000, immediately turned him into "...the talk of the town..." In 2002, Kwam Na Ja Pen won the S.E.A. Write Award, an award presented to accomplished Southeast Asian writers and poets.

Prabda has been prolific, having written over 20 books of fiction and nonfiction in ten years, designed over 100 book covers for many publishers and authors, translated a number of modern Western classics such as Vladimir Nabokov's Lolita and Pnin, all of J. D. Salinger's books, Anthony Burgess's' A Clockwork Orange, and Karel Čapek's R.U.R. He has also written two acclaimed screenplays for Thai "new wave" filmmaker Pen-Ek Ratanaruang, "Last Life in the Universe" (2003) and "Invisible Waves" (2006). Prabda's literary work has been translated to Japanese and published in Japan regularly. He has exhibited his artworks (paintings, drawings, installations) in Thailand and Japan. He has also produced music and written songs with the bands Buahima and The Typhoon Band.

In 2004, Prabda founded Typhoon Studio, a small publishing house with two imprints, Typhoon Books and Sunday Afternoon. In 2012, he opened Bookmoby Readers' Cafe, a small bookshop at the Bangkok Art and Culture Centre. In 2015, Prabda wrote and directed his first feature film, "Motel Mist", which was selected to premiere and compete at the International Film Festival Rotterdam in 2016. The Sad Part Was, a collection of twelve short stories mostly taken from Prabda's Kwam Na Ja Pen in English, translated from Thai by Mui Poopoksakul (who won an English PEN Award for her translation), was published by the London-based independent publisher, Tilted Axis, and released in the UK on 3 March 2017. It is said to be the first translation of Thai fiction to be published in the UK.

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
16 (17%)
4 stars
39 (42%)
3 stars
30 (32%)
2 stars
4 (4%)
1 star
3 (3%)
Displaying 1 - 18 of 18 reviews
Profile Image for Ariya.
590 reviews72 followers
July 9, 2018
ใช้เวลาอ่านนานมาก เพราะนอกจากจะต้องทำความเข้าใจเนื้อหา ยังต้องย่อยโครงสร้างภาษาที่เบี่ยงเบนไปจากไวยากรณ์ภาษาไทย ราวกับผู้เขียนกำลังตัดแต่งภาษา เช่นเดียวกับที่มนุษย์ตัดแต่งจิตสำนึกให้กลายเป็นวัตถุที่เคลื่อนที่ไปในสายไฟเบอร์ จนกลายเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่กลับไปหลอมลวม หรือ internalize ให้สมองของสุญชนอีกที เหมือนที่ภาษาผิดเพี้ยนของหนังสือเล่มนี้ต้องการจะกลับไปเข้าไปในระดับการรับรู้ของคนอ่าน

นอกจากจะอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ทั้งในฐานะที่เป็นนวนิยายไซไฟวิพากษ์สังคมแล้ว สำหรับเรามองว่าเนื้อหาไปไกลกว่าจุดที่เป็นเรื่องวิพากษ์การเมืองมาก เนื้อเรื่องเริ่มต้นจากเหตุการณ์ทางการเมืองสมมติ (ที่ใกล้เคียงกับเรื่องจริงของประวัติศาสตร์ไทย) ตัวละครมักจะเล่ากลับไปถึงการพยายามควบคุมอำนาจการเมือง ผ่านการใช้หุ่นยนต์ที่เชื่อมต่อกับสมองและร่างกายของมนุษย์ ทำหน้าที่คอยสอดแนมพวกที่ต่อต้านรัฐบาล โดยปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าววิวัฒนาการให้มีความคิดเป็นของตัวเอง ทั้งยังมีความละเอียดอ่อนที่สามารถตรวจอบของข้อมูลทางวัฒนธรรมจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเพื่อหาทางแบนเนื้อหาไม่เหมาะสมที่สอดแทรกในงานศิลปะดังกล่าว

แต่แทนที่จะนำเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นแก่นเรื่องหลัก หนังสือได้พยายามนำเสนอ และ "ต่อต้าน" การนำเสนอในเชิงการเมืองไปพร้อมกัน เมื่อเรื่องดำเนินไป เราจะเห็นว่าตัวละครทั้งหลายไม่ได้มีแรงจูงใจมาจากอุดมการณ์ทางการเมือง มากไปกว่าเรื่องความรู้สึก ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อทำให้เห็นว่าการเมืองและเรื่องความรู้สึกส่วนตัวนั้นมันโยงใยเชื่อมต่อกันจนแยกไม่ได้ การ "แบ่งแยกไม่ได้" ดังกล่าวยังขยายไปถึงเรื่องตัวตนของปัญญาประดิษฐ์ที่หลอมรวมกับแบล็งเกอร์ อยู่ในร่างคนเดียวแต่มีหลายจิตสำนึก ทำให้เอกภาพของความเป็นมนุษย์ถูกขยายกรอบออกไปมากกว่าการเป็นแค่คนๆ เดียว แต่มนุษย์สวมรอยเข้ากับประวัติศาสตร์ของชาติ/สังคม/เทคโนโลยี/อดีต ที่ตัดแยกออกจากกันไม่ได้

ความเป็นพหุภาพของมนุษย์ยังวิพากษ์ไปถึงสังคมที่สร้างมายาคติตอความเชื่อ อุดมการณ์การเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนก็ถูกลวงและเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ที่เราชอบอย่างหนึ่งคือเนื้อหาไม่ได้ทำให้ปัญญาประดิษฐ์เป็นแค่ mataphor ของการควบคุมคนเท่านั้น แต่ยังมีเสียงเป็นของตัวเอง และสร้างเรื่องเล่าและข้อความที่ซับซ้อนที่แม้แต่ตัวมันเองยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ผ่านเรื่องเล่าในช่วงกลางถึงตอนท้ายเรื่อง ทำให้เราจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าในตรรกะและเหตุผลของจิตสำนึกที่สร้างจากเทคโนโลยีนั้นกลับซับซ้อนและไม่เรียงตามลำดับเวลา เช่นนั้นแล้ว การนำเสนอ "ภาพ" ของหุ่นยนต์ในฐานะเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพนั้นยังเป็นไปได้อยู่หรือ หรือเราควรจะให้ความสนใจเทคโนโลยีและ "เครื่องมือ" ด้วยความไคร่ครวญมากขึ้น

ซึ่งในที่นี้ เครื่องมือ ที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงไม่ได้มีแค่ AI เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงระบบคำพูด ภาษา และเวลา ที่มนุษย์มักคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของมันอย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริง การใช้ภาษาของหนังสือเล่มนี้ย้อนมาตั้งคำถามถึงคนอ่านว่าเราเป็นผู้ควบคุมหรือตกเป็นเครื่องมือของภาษากันแน่ ในเมื่อตอนที่เรา "อ่าน" ตัวบทที่สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความคลางแคลงใจ สับสนตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น เราจะเจอบทสนทนาที่แทบไม่มีเลย หรือข้อความที่เหมือนความเรียง ใช้เทคนิกการ cut-paste เนื้อหาวิชาการ วรรณกรรม และพูดถึงอดีต อนาคตสลับกันไปมา ทำให้เราไม่สามารถจัดเรียงรายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์ (หรือต้องอ่านมากกว่า 1 รอบ) และสุดท้ายทำให้เราแยกแยะไม่ได้กระทั่งว่า ใครที่เป็นคนเล่าเรื่อง และผู้ถูกเล่าคือใคร หรือเรื่องทั้งหมดต่างเกิดในจิตสำนึกของคนๆ เดียวคือผู้เขียนที่ fictionalized ตัวเองเป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งบอกเองว่าได้กลับไป "เขียน" เรื่องนี้หลังจากหลงไปได้ยินเรื่องเล่าจากปัญญาประดิษฐ์อีกชั้นหนึ่ง

การมองนวนิยายเรื่องนี้เป็น metafiction ที่คนอ่าน่อาจจะต้องถอยห่างตัวเองมากกว่าการเป็นคนอ่านอีกชั้น และกลับไปอ่านทวนหรือทำความเข้าใจว่าทำไมจึงเลือกนำเสนอเรื่องนี้ในประเภทไซไฟ หรือทำไมจึงเลือกใช้ภาษาดังกล่าวในการเล่าเรื่อง หรือ (ที่เราชอบที่สุด) คือการใส่เนื้อหาอ้างอิงข้อมูลเข้ามามากมาย จนบางครั้งก็รู้สึกว่าน่ารำคาญ แต่ก็รู้สึกว่ามันอาจจะแฝงความหมายที่น่าสนใจด้วย ทั้งหมดจึงเป็นบททดสอบที่ทำให้คนอ่านสนุกสนานมากขึ้น และนวนิยายน้อยเรื่องของนักเขียนไทยที่จะทำให้เราได้ค้นหา หรือไปต่อมากกว่าการอ่านตัวบทได้

แน่นอนว่านวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้ดีไปทุกเรื่องหรอก เพราะภายใต้ประเภทของนวนิยายแนว ไซไฟ กึ่งดิสโธเปียแบบนั้น การนำเสนอตัวละครขั้วตรงข้ามจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ และดูเหมือนมุมมองทางการเมืองของผู้เขียนมีผลทำให้ฝ่ายตรงข้าม เช่นรัฐบาล กลุ่มทาร์ทารัส หรือโววาแทบไม่มีจุดประสงค์ที่ซับซ้อนนอกจากความพยายามควบคุมประชาชน หรือสิ่งที่อดสังเกตไม่ได้คือหุ่นยนต์หรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มักจะอยู่ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ทั้งยังเน้นเรื่องเรือนร่างของสุญชนที่เป็นผู้หญิงบ่อยด้วย

และถึงแม้ว่านวนิยายจะพยายามต่อต้านการนำเสนอ หรือการสร้างพหุภาพของมนุษย์ขึ้นมา แต่ก็ยังคงกลับไปสู่การให้คุณค่ากับความละเอียดอ่อนของจิตใจมนุษย์ ด้วยการเน้นถึงอารมณ์ของมนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่แม้แต่ AI ที่มีประสิทธิภาพจะเข้าถึงได้ทั้งหมด ถ้าจำไม่ผิดคือ เอ็ดเวิร์ด หว่อง ที่คิดถึงภรรยา และสิ้นหวังกับชีวิตหลังจากถูกจับ และเป็นเหตุให้เขาสร้างจิตสำนึกที่ยังมีตัวตนอยู่ในเมอร์ แต่ประเด็นเรื่อง posthuman ก็ยังน่าดีเบตต่อ เพราะมันเป็นรสนิยมของเรามากกว่าจะโทษว่านวนิยายมีข้อบกพร่องตรงนี้
Profile Image for Kin.
510 reviews164 followers
April 26, 2018
เราว่านิยายเรื่องนี้อ่านได้หลายแบบ เแต่ดูเหมือนแบบที่จะอ่านไม่ได้ คืออ่านเป็นนิยายไซไฟสุดกู่โดยไม่คิดถึงสารทางสังคมที่ผู้เขียนถ่ายทอดมาให้เราตรงๆ ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม

เบสเมนต์ มูน ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเราอ่านเรื่อง 'น้ำตาที่ต่าง' ของพี่จิรัฏฐ์ ในแง่ที่เราสัมผัสได้ถึงความตรงไปตรงมา ถึงโจทย์ใหญ่ที่งานนี้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์ ความเป็นไซไฟในโลกอนาคตหลายทศวรรษไม่ได้ลดทอนความเป็นการเมืองของนิยาย แต่กลับทำให้ประเด็นทางการเมืองนี้ชัดเจนขึ้น จนเราคิดว่าคงไม่ผิดนักถ้าใครจะอ่านนิยายเล่มนี้ในฐานะ 'political manifesto' เล่มหนึ่งที่ทั้งเสียดสีสังคม 'มิวสิคัล คันทรี' ในปัจจุบันได้เจ็บแสบ ขณะเดียวกันก็ตักเตือนเราว่า เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไม่เคยการันตีว่าจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ หากเราเลือกสนับสนุนคนผิดกลุ่ม

พัฒนาการของปัญญาและจิตสำนึกประดิษฐ์จึงอาจไม่ได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสังคมนี้ ทุกอย่างอาจจะยังคงเหมือนเดิม เหมือนจนแม้แต่ปัญญาประดิษฐ์ก็ยังแยกไม่ออกว่า 'ตอนนี้' กับ 'อนาคต' แตกต่างกันอย่างไร

บทแรกๆ เราอ่านมันด้วยความอึดอัด แต่เป็นความอึดอัดที่มีความสุขมากกับโครงสร้างภาษาและไวยากรณ์ที่เต็มไปด้วย 'ภาษานมเนย' และเครื่องหมายวรรคตอนที่ผู้คลั่งความเป็นไทยแบบผิวเผินมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็น 'ฝรั่ง' โดยไม่ต้องคิดทบทวนอะไรอีก และตัดสินคุณค่าของสิ่งต่างๆ ด้วยดูว่ามันเป็น 'ไทย' หรือเปล่า ต่อให้ความเป็น 'ไทย' นั้นจะเป็นไทยปลอมๆ ที่เพิ่งสร้างได้ไม่เกินร้อยปี และคนทั่วไปไม่ได้ยอมรับ แต่ถูกสั่งสอนให้ยอมรับ

ภาษาคืออำนาจ และสังคมเผด็จการก็ใช้ภาษานี่เองในการควบคุมจิตสำนึกของผู้คนเชื่อเชื่องและเซื่อมซึม ให้เป็น 'แบล็คเกอร์' หรือ 'สุญชน' ที่ถูกโปรแกรมไว้แล้ว ให้สงสัยได้เฉพาะสิ่งที่ควรสงสัย ตั้งคำถามได้เฉพาะกับสิ่งที่รัฐอยากให้ถาม คิดวิพากษ์ได้เฉพาะเรื่องที่ว่ากันว่าควรวิพากษ์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาแทบไม่ได้คิด เพียงทำในสิ่งที่สังคมบอกให้ทำ

ดังนั้น 'ความเปลี่ยนแปลง[จึงต้อง]เริ่มได้ด้วยการท้าทาย[ภาษา]เหล่านี้' (139) ผู้เขียนบอกไว้

เบสเมนต์มูนจึงไม่ได้เป็นไซไฟในแบบที่บางคนหวังให้เป็น แต่เป็นนิยายที่ิวิพากษ์วิจารณ์สังคม ด้วยเสียงของคนที่เจ็บปวดเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้ไม่มากนัก ในเมืองนิทานที่กล่อมผู้คนด้วยเสียงดนตรีว่าเราจะมีความสุขตราบนานเท่านาน หากไม่ดื้อ ไม่ต่อต้าน และยอมเป็นลูกๆ ที่ดีไปสักสิบหรือยี่สิบปี

ตัวเอกที่ชื่อ 'ปราบดา หยุ่น' ผู้ซึ่งบันทึกเรื่องราวความทรงจำอันแปลกประหลาดเกี่ยวกับอนาคตอันน่าหดหู่ไม่ต่างจากปัจจุบัน จึงอาจไม่ได้หมายถึงตัวผู้เขียนที่ชื่อ 'ปราบดา หยุ่น' เองด้วย

ทั้งนี้ก็เพราะ "ชื่อ [...] ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อเรื่องเล่าที่เขาทำหน้าที่เขียนออกมา เราต่างหากที่เป็นเจ้าของเรื่องเล่านี้ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราแม้จะไม่เกี่ยวกับเรา" (111)
*****

รีวิวฉบับเต็ม: https://www.the101.world/thoughts/bas...
Profile Image for Dd.
79 reviews12 followers
March 6, 2021
เบสเมนต์มูนว่าด้วยเรื่องของโลกในยุค 50 ปีหลังจากนี้ โลกที่ประเทศเผด็จการเรืองอำนาจและสามารถควบคุมฝูงชนได้โดยมีการวางแผนการใช้จิตสำนึกประดิษฐ์เพื่อช่วยให้การสอดแนม

นี่คือพล็อตที่เราได้ทราบมาคร่าวๆก่อนการอ่านหนังสือเล่มนี้
แต่ความจริง(ส่วนใหญ่)มันไม่ใช่แบบนั้นเลย

หนังสือแบ่งออกเป็น 7 บทที่พูดถึงเรื่องราวที่ดูจะไม่สอดคล้องกันแต่สอดคล้องกันได้หากทำความเข้าใจดี ๆ POVของแต่ละบทตัดสลับไปมาระหว่างตัวละครหลายตัว บางบทเราก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยซ้ำว่าคือมุมมองของใคร ตัวเรื่องจะเล่ามาตั้งแต่ตัวเอกของเรา(ปราบดา) ไปพบกับเรื่องเล่าของจุดกำเนิดจิตสำนึกประดิษฐ์ เข้าไปในห้วงความคิดของจิตสำนึกประดิษฐ์หนึ่งตน ไล่มาเรื่อยๆจนกลับมาที่ปราบดาในปี2016

รายละเอียดของเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะและจุกจิกแต่จำเป็น มีการพูดถึงวรรณกรรม บทกวีและบทเพลงคลาสิกมากมาย แนวคิดเรื่องอนาธิปไตยไปสู่เอนโทรปีและควอนตัม เราที่อ่านรวดเดียวและไม่มีสมุดบันทึกไว้ข้างๆ ไม่สามารถเก็บลายละเอียดเหล่านี้ได้หมด จนทำให้บางครั้งเมื่อพูดถึงตัวละครหรือวรรณกรรมเล่มหนึ่งขึ้นมาเราไม่สามารถทำความเข้าใจได้ (หากใครจะอ่านทำไทม์ไลน์หรือรายละเอียดของสถานการณ์ต่างๆ ไว้ เราว่าจะสนุกมาขึ้นแน่นอน)

วิธีการเล่าเรื่องยอมรับเลยว่าอ่านยาก แนวการเขียนที่ดูเหมือนไม่ใช่ภาษาไทย การคง , . ? ไว้ในตอนแรกทำให้ตอนอ่านไม่ชิน มีการเล่าเรื่องอื่นๆ ที่ได้กล่าวไปแทรกขึ้นมาเยอะและนาน(แต่ส่วนตัวแล้วเราชื่นชอบ การเนมดรอปชื่อหนังสือ แมรี่ เชลลี่ก็มานะ) อาจมีคนมองว่าน่าเบื่อและไม่จำเป็น แต่จำเป็นมากในการชักจูงความคิดของผู้อ่าน เหมือนจะสื่อกลายๆ ว่าวรรณกรรมนี่แหละคือสิ่งที่ชักจูงความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือที่เผด็จการเกรงกลัว

หนึ่งสิ่งที่เราชอบมากในเรื่องนี้คือการพูดถึงศิลปะและวิทยาศาสตร์กับการเป็นเครื่องมือของเผด็จการและการใช้ชีวิตของมนุษย์ เราเองในฐานะที่ชื่นชอบวิทยาศาสตร์มากกว่าศิลปะรู้สึกเห็นด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับข้อความที่อยู่ในนี้ (หน้า98)

สุดท้าย ‘เบสเมนต์ มูน’ จะเป็นหนังสือที่จะกลับมาอ่าน(พร้อมกับสมุดบันทึก)อีกแน่นอน เป็นไซไฟ สังคมและปรัชญาที่ควรค่าแค่การอ่านมาก และหวังเหลือเกินว่าจะได้มีโอกาสพูดถึงหนังสือเล่มนี้กับใครซักคน
Profile Image for รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์.
Author 11 books108 followers
May 2, 2018
ผมชอบนะ ผมว่าไม่แย่ในแง่นิยายวิทยาศาสตร์ (อาจจะเรียกว่าเป็น Social Sci-Fi ก็ได้) เนื้อเรื่องสไตลฺ์ปราบดา อ่านแล้วทำไมผมนึงถึงเล่มฝนตกตลอดเวลาก็ไม่รู้ อาจจะเป็นอารมณ์ทึมๆ หรือโลกซึมๆ ก็เป็นได้

ชอบการกล้าใช้ภาษาและกล้าสร้างโลกแบบละเอียดละออ ภาษามีความนมเนยนวลเนียนแต่อ่านแล้วไม่เลี่ยนเหมือนบางเล่มที่พยายามนมเนยแต่ดูคิดน้อยไปหน่อย เป็นนิยายที่อ่านได้หลายแบบ จะอ่านเอาไซไฟก็น่าคิด อ่านเอาการเมืองไทยก็จิกกัดพอเป็นพิธี สรุปแล้วแนะนำครับ แต่อ่านยากสักนิดนะถ้ามือใหม่
Profile Image for แฟ้ม กาหลง.
11 reviews2 followers
August 2, 2021
ตอนแรกคิดว่าอ่านง่าย คงเป็นฟีลsci-fi เพราะบทแรกอ่านง่ายมาก แต่พอเข้าเรื่องเท่านั้นแหละ ก็ยากพอสมควร มันมีทั้งประเด็นปรัชญา การเมือง วิทยาศาสตร์ ศิลปะ วรรณกรรม คืออ่านต่อๆไปกันไปก็รู้สึกว่าประเด็นเยอะมากกกก ชอบประเด็นการเมืองและการต่อสู้กับเผด็จการที่บอกไว้ในเล่ม ชอบคำว่า “สงครามผี” เพราะการต่อสู้ของประชาชนและเผด็จการมันเป็นแบบนั้นจริงๆ และส่วนที่ชอบมากที่สุดคือsettingโลกใหม่ ที่เต็มไปด้วยศัพย์เฉพาะ เช่น สำเนาสำนึก สุญชน แบลงเกอร์ โฮลเลอร์ อาการเมามายด์ ฯลฯ มีอีกเยอะ ชอบมาก ด้วยความที่เล่มมันเล็ก พออ่านไปท้ายๆ ใกล้จบก็รู้สึกว่า แล้ว?? คือแล้วไงงง แล้วทำไมต่อคือคิดว่าอาจจะจบงงๆ แต่พออ่านบทสุดท้ายก็คิดว่ารวบจบได้ดีเลยทีเดียว
Profile Image for Olé Vorawee.
65 reviews
January 17, 2019
เรื่องราวบันทึกประสบการณ์(?) ของปราบดา หยุ่น เกี่ยวกับที่เขาเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พูดถึงปัญญาประดิษฐ์ สังคม การเมืองในอนาคต ทั้งหมดถูกถ่ายทอดมาด้วยเนื้อเรื่องที่จริงจัง เขียนในรูปแบบคล้ายภาษาอังกฤษ มี full-stop, comma เต็มไปหมด ทำให้ไม่ค่อยคุ้นเคยและอ่านยาก ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะอ่านจบ แต่เมื่อจบแล้ว ทำให้เราเห็นภาพและตระหนักถึงสิ่งที่จิตสำนึกประดิษฐ์อาจเป็นไป (ในฐานะที่เราศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์มาบ้าง ก็บอกเลยว่าค่อนข้างเปิดโลกและไม่อาจคิดถึงมาก่อน) โดยรวมเป็นหนังสือที่เปิดโลกดี แม้จะเข้าใจได้เพียงบางประเด็นที่คุณปราบดาต้องการสื่อ
Profile Image for THEOENG.
125 reviews14 followers
May 21, 2021
เหมือนกำลังดู black mirror สักตอนนึงอยู่เลย
ภาษาถึงจะเป็นไทยแต่รุสึกความอ่านยากอยู่บ้าง ต่องอ่านทวนหลายรอบ
Profile Image for Anness.
111 reviews46 followers
April 7, 2018
เป็นวรรณกรรมที่เหมือนจะมาจากความต้องการสื่อสารจากข้างใน
ความรู้ ประสบการณ์ที่มีทั้งหมดหลอมรวมเป็นนิยายเล่มนี้
ปกติเราจะชอบงานพี่คุ้นมาก ตามอ่าน fiction ทุกเล่มและชอบมาก
แต่เ่มนี้ยังเวิ้งว้างติดค้างกับตัวเองว่าตกลงชอบหรือไม่ชอบกันแน่
ด้วยความที่เน้นหนักทางไซไฟแะลเบสออนอนาคต จึงน่าสนใจ
แะแอบต้องตั้งสติกว่าปกติ ทั้งนี้ เรายังชอบตัวละครของพี่คุ่นเสมอ
สะทกสะท้อนการเมืองและสังคมไทย (รวมถึงเอเชีย) ได้เร่าร้อน
เหมือนเป็นอนาคตที่เกิดขึ้นจริง และกำลังเกิดขึ้นอยู่
ถ้ามีโอกาสจะหยิบมาอ่านซ้ำอีกรอบ และหวังว่าเมืองไทยจะไม่เป็นแบบในหนังสือและตอนนี้อีก

รองานเล่มต่อไปเสมอนะคะ :D
Profile Image for Job Wutipong.
46 reviews1 follower
October 25, 2020
ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยหรอก, ญาณิน แต่การกระทำและจิตสำนึกอำนาจนิยมซ้ำรอย
.
.
ในปี พ.ศ. 2069 ยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวไกลถึงขนาดสร้าง “จิตสำนักประดิษฐ์” ได้สำเร็จ
.
.
.
ญาณิน หญิงสาวที่ขายจิตวิญญาณให้กับองค์กรลับใต้ดินที่สนับสนุนรัฐบาอำนาจนิยมทั่วโลก ถูกสวมจิตสำนึกประดิษฐ์ และส่งตัวมายังกรุงเทพเพื่อสอดแนม ขบวนการใต้ดินในไทย ที่พยามลื้อฟื้นประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลทหาร กลบเกลื่อนไปเป็นเวลานาน รัฐบาลที่ได้ลบล้างประวัติศาสตร์ และคอยกล่อมเกลาประชาชนด้วยเสียงเพลง จนนานาประเทศให้ฉายาว่า Musical Country เรื่องราวในอนาคต ที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่ปัจจุบัน... #เบสเมนต์มูน
Profile Image for Suwitcha Chandhorn.
Author 15 books90 followers
June 19, 2020
อ่านยาก รู้สึกว่าแนวคิดของเรื่องดี แต่จับต้นชนปลายไม่ถูก อาจเพราะผิดคาดด้วย นึกว่าจะมีการเคลื่อนที่ของตัวละครในเชิง action หรือ thriller มากกว่านี้ แต่พอออกมาเป็นวิธีการเล่าแบบนี้เลยอ่านยากเกินไป สำหรับเราจะยาวกว่านี้อีกซัก 200 หน้าก็ได้นะ แต่อยากให้เดินเรื่องอีกแบบ เล่าแบบหนัง เราว่าจะสนุกขึ้นได้อีกและย่อยง่ายกว่านี้มาก
10 reviews1 follower
September 3, 2018
นี้คือหนังสือที่เล่าความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองประเทศ ที่ใช้หัวข้อด้านเทคโนโลยีมาเป็นสื่อ ส่วนตัวคิดว่าอ่านไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะยังไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาได้หมด แต่เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องเหนือจริงนิดๆ ล้ำยุค จิตนาการได้ดีมาก
Profile Image for Toon Ploypapas.
2 reviews23 followers
April 14, 2018
Creativeมากแน่นอนว่ารีเสิชทุกอย่างมาดีแต่คิดว่าเล่มนี้ออกจะเป็นessayเชิงอภิปรัชญามากกว่าfictionพลอตใช้ได้เลยแต่เหมือนยังเขียนไปไม่สุดถ้าไปสุดคงสนุกกว่านี้อีกมาก
Profile Image for Kubpam So.
88 reviews11 followers
April 16, 2018
หนังสือปรัชญาของปราบดา หยุ่น โดยมีประเทศไทยในอนาคตเป็นฉาก จึงรู้สึกค่อนข้างสิ้นหวัง เมื่อพกติดตัวไปอ่านระหว่างเที่ยวสิงคโปร์
Profile Image for Hong Walessuksan.
12 reviews
June 15, 2020
เชิงปรัชญา เยอะมาก ต้องตั้งสติอ่านดีๆ
Profile Image for MT.
638 reviews82 followers
March 15, 2020
*Revisit*
อ่านรอบนี้เอาไว้ทำงาน
Profile Image for Yuu Suwapee.
104 reviews4 followers
June 4, 2018
เนื้อเรื่องทันสมัย (ในปี 2016) ดำเนินเรื่องน่าสนใจ คุณภาพตามมาตรฐานปราบดา
Displaying 1 - 18 of 18 reviews

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.