Mook Woramon898 reviews200 followersFollowFollowNovember 29, 2019ขอตั้งชื่อว่า ‘ไดอารี่ของนักเขียนขี้บ่น’ แซวแบบขำๆเล่มนี้เเป็นเหมือนไดอารี่ระบายความรู้สึกของคุณองอาจ ซึ่งอารมณ์หนังสือพี่แกจะประมาณนี้แยู่แล้ว เจียมเนื้อเจียมตัว น้อยเนื้อต่ำใจ โดดเดียวเปลี่ยวเหงา อ้างว้างโหยหา ขี้กลัวขี้กังวล เป็น signature ของคุณเค้าชอบวิธีเขียนเค้าที่มันเรียบง่าย เข้าถึงง่าย เหมือนได้ฟังพี่ๆน้องๆเล่าให้ฟัง แทนอารมณ์จริงๆแบบไม่ต้องประดิษฐ์อ้อมค้อม และเข้าถึงใจคนอ่านแต่เล่มนี้อ่านแล้วชอบบางเรื่อง เฉยๆบางเรื่อง อาจเพราะบางเรื่องเราไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมแบบนั้นเลยไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เช่น ความรู้สึกที่เหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรเลย เหมือนคนไร้ราก ไม่มีบ้านที่ของหัวใจให้พักพิง หรือการดิ้นรนพยายามให้เป็นที่ยอมรับ อะไรแบบนั้นเล่มนี้อ่านได้เรื่อยๆสบายๆ ไม่พีค ไม่พัง
Araya Pichitkul172 reviews18 followersFollowFollowNovember 9, 2019ไม่ได้อวยนะ แต่เขียนได้ตรงใจมากกกถึงมากที่สุด หลายเรื่องราวในหลายๆตอนกระแทกใจเข้าอย่างจัง จึกๆๆๆ ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว อ่านจบพร้อมกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป รอคอยผลงานชิ้นต่อไปด้วยใจจดจ่อ😍ว่าแล้วก็สูดหายใจลึกๆ ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ หายใจเข้าไว้ในโลกจริง
MonoNoAware266 reviews36 followersFollowFollowMay 29, 2021มีบางบทที่ชอบมาก และหน่วงมาก เช่น “Where I belong” และ “หายใจในโลกจริง”มีบางบทที่เฉยๆ เหมือนเค้าเขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่เป็นความเรื่อยเปื่อยธรรมดาที่มนุษย์เราต่างพบเจอ ต่างคนต่างสถานการณ์ เราอาจอินในเหตุการณ์บางอย่างที่คล้ายคลึงกัน หรือบางสถานการณ์เราก็ไม่อาจเข้าใจมันมีบางบทที่แบบ “อะไรวะ” เขียนมาทำไม เช่น “เย็นตาโฟไม่ยอมแพ้”non-fiction
J217 reviews25 followersFollowFollowMay 11, 2020แม้จะห่างหายกับการอ่านงานเขียนของคุณองอาจ ชัยชาญชีพไปนาน (เพราะส่วนใหญ่อ่านงานวาดมากกว่า) ทำให้ตอนอ่านมีบางแวบบางมุมเกิดความรู้สึกเบื่อ แต่ก็มีหลายๆแวบหลายๆมุมที่หลายๆย่อหน้าหลายๆบทความตีแสกหน้า สะเทือนอารมณ์และตรงกับตัวเองเข้าอย่างจัง เรามองว่าส่วนหนึ่งคือเราเติบโตขึ้น เราไม่ค่อยอินกับบทความในแนวนี้แล้ว อารมณ์เหมือนสอนสั่ง ชักจูง ให้กำลังใจ เราอ่านแล้วเราไม่ค่อยอิน เหมือนว่าเมื่อเทียบกับชีวิตจริงของตัวเองแล้วมันทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ต่างคนก็ต่างมุมมอง เพราะอย่างที่บอกว่ามันก็มีบางย่อหน้า บางคำ บางมุมในหนังสือเล่มนี้ที่ตรงกับตัวเราเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงแมวเราเคยเป็นคนที่รักหมามากเหลือเกิน รักแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง รักแบบถ้าเจอหมาจรที่ไหนก็จะเก็บมาเลี้ยง จนเมื่อเจอเหตุการณ์สูญเสียกับตัวเองเข้าอย่างจัง ถึงกลายเป็นบทเรียนอันสำคัญของชีวิตมา รักหมา (หรือสัตว์ได้) แต่จงอย่าเลือกเอาเข้ามาในชีวิตแล้วสร้างความผูกพันธ์ให้ตัวเอง เพราะเมื่อผูกพันธ์และรักมาก เมื่อเกิดการสูญเสียเราจะยิ่งเจ็บปวดมาก ตอนนี้ก็คือรัก รักในแบบที่ไม่แตะต้อง ไม่เอามาผูกพันธ์ในชีวิตตัวเอง เจอหมาจรที่ไหนเราก็ได้แต่มองแล้วเดินผ่าน ไม่เลือกที่จะเอื้อมมือไปลูบหรือซื้อหาอาหารให้ (และเราก็เฝ้าพรรณาบอกคนรอบข้างอย่างนั้นเช่นกัน) เวลาที่สูญเสีย เหมือนเราสูญเสียสมาชิกในครอบครัว มันเจ็บปวดก็จะมีส่วนนี้แหละที่คุณองอาจพูดถึงแมวแล้วมันกระทบมาที่ตัวเราเข้าอย่างจังส่วนเรื่องแง่คิดในการใช้ชีวิตหรือเรียกให้เข้ากับหนังสือคือการสอนวิธีหายในในโลกจริงในบทความอื่นๆนั้น เราอ่านแล้วเฉยๆ ชอบประมาณ 60% คิดว่าเหตุผลส่วนใหญ่น่าจะเพราะเราติดตามผลงานของคุณองอาจมานาน (ถือเป็นคะแนนจิตพิสัยได้ไหม แฮะๆ) แต่ก็นั่นแหละ ต่างคนต่างมุมมอง เราอาจไม่อินนัก แต่กับบางคนอาจจะชอบมากก็ได้ มันไม่ใช่บทความที่มาสอนให้คุณหายใจและใช้ชีวิตในโลกจริงจนเกินงาม แต่มันก็ไม่น้อยเกินไปที่คุณอ่านแล้วจะไม่ได้อะไรเลย ต้องลองอ่านดู
moomooread172 reviews33 followersFollowFollowJune 5, 20202.5/5 ไม่อินเรื่องไหนเลย ช่วงต้นทำเราไม่ชอบมากจนอยากจะเทเล่มนี้แล้ว แต่เห็นรีวิวมีคนชมเยอะเลยทนอ่านจนจบ เหนื่อยมาก อาจจะเพราะไม่คลิกกับสไตล์การเขียนของผู้เขียนที่ใช้คำที่พบบ่อยในการพูดคุยปนกับคำ(ที่อาจจะ)สวย ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนนั่งฟังคนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เล่าสิ่งที่พบเจอในชีวิตโดยบางทีก็เรียบเรียง บางที่ก็สักแต่จะพูดออกมาโต้ง ๆ บางย่อหน้าเล่ากระโดดไปมา (ซึ่งเข้าใจได้) บางย่อหน้าขึ้นประเด็นใหม่ที่ดูน่าสนใจแต่ไม่ไปต่อ บางย่อหน้าก็เล่าวนยังไงไม่รู้ เหมือนจะขยายความแต่พออ่านอีกรอบก็ไม่ได้รู้สึกว่าข้อความถัดมามันจะขยายความหรือเร้าความรู้สึกอะไรเลยบางช่วงก็งงกับความคิดและการเรียบเรียงของผู้เขียนมาก อย่างย่อหน้าแรกของบทเรื่องตลก คือสองสิ่งที่ผู้เขียนยกมาเปรียบกันมันเป็นคนละเรื่องกันอยู่แล้ว เรางงมากว่ายกมาพูดทำไม แถมประเด็นเรื่องตลก/ไม่ตลกและขอบเขตของสิ่งที่ผู้เขียนขำได้มัน subjective จน offend ตัวอย่างที่เราคิดได้ในหลาย ๆ กรณี พออ่านจบบทนี้เรามีอคติกับหนังสือเล่มนี้ทันที ต้องตั้งสติพอควรถึงจะกลับมาอ่านได้อย่างปกติแต่สักพักก็มาสะดุดการใช้ analogy ของผู้เขียนในหลายบท เช่น บทวิ่งมาราธอนในช่วงท้ายที่เกี่ยวกับการเลือกเส้นทางชีวิต กับบทเย็นตาโฟ คือพยายามเข้าใจความน่ารักและความจริงใจของผู้เขียน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเย็นตาโฟไม่ได้มีสิทธิ์เรียกว่าตัวเองเป็นหรือไม่เป็นเย็นตาโฟ จะเป็นหรือไม่เป็นมันขึ้นอยู่กับมุมมองคนกินตางหาก พอเอามาเทียบการการสู้เพื่อคงอัตลักษณ์ของตัวตนมันเลยไม่ค่อยเข้าสักเท่าไหร่ แต่พอเราอ่านเรื่องท้าย ๆ ก็โอเคนะ คือไม่ได้ชอบแต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบเท่าเรื่องต้น ๆThis entire review has been hidden because of spoilers.
Job Wutipong46 reviews1 followerFollowFollowOctober 25, 2020“ผมเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอะไรเลย แม้รู้ดีว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีทางเป็นไปได้ที่ใครจะกลายเป็นคนนอกโดยสิ้นเชิง เพราะทุกคนจำต้องเชื่อมต่อและเป็นส่วนหนึ่งของใคร หรืออะไรสักอย่างเสมอ”...หนังสือที่เหมือนมีเพื่อนมาบ่นเรื่องราวในชีวิตให้เราฟัง ด้วยแง่มุมแปลกที่เราไม่เคยนึกถึง อันที่จริง นึกถึงมากในช่วงนี้ ช่วงที่ชีวิตไม่ค่อยได้พบเจอใคร ต้องการแค่ ใครสักคนมาคอยรับ��ัง และการบ่นเรื่องนู่นนี่นั่นของใครสักคน
lluu63 reviews3 followersFollowFollowApril 29, 2020เหมือนนั่งอ่านเรื่องราวชีวิตและมุมมองของผู้เขียนที่มาบ่นให้ฟังว่ามันขัดแย้งกันเองภายในขนาดไหน อ่านเพลินดี แต่เราชอบเล่มอื่นๆมากกว่า
Lilainthehauntedlibrary39 reviews4 followersFollowFollowJanuary 9, 2022ซื้อเพราะชื่อหนังสือ เนื้อหาไม่มีอะไรเกี่ยวกันเลย เรื่องหายใจในโลกจริงมีแค่สามหน้า เสียดายเงินมากไม่น่าซื้อเลย เป็นแค่การบ่นเรื่องทั่วๆไปเท่านั้นเอง เห็นหลังปกภาษาสวยมากถูกหลอกชัดๆ😭😭😭
Giyongchy 623 reviews19 followersFollowFollowJune 19, 2022เหมือนอ่านบันทึก + บ่น กับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อ่านได้เรียบเรื่อย คิดตามตรงกับเราบ้าง ไม่ตรงบ้าง ยังไม่จี๊ดหัวใจเหมือนตอนอ่านต่อให้โลกถล่มลงมาหรือยอดมนุษย์ดาวเศร้า