Cheka Aisya's Blog: Somniantes (ความฝัน), page 7

September 7, 2024

Henri Bergson

อองรี เบิร์กสัน (Henri Louis Bergson)

ผู้เขียน Le Bergsonisme , เจ้าของรางวัลโนเบล สาขา วรรณกรรม ปี 1927

เบิร์กสัน เกิดวันที่ 18 ตุลาคม 1859 ในปารีส, ฝรั่งเศส พ่อของเขาชื่อมิคาล (Michal Bergson) เป็นนักเปียโนและวาทยากรณ์ เขามีเชื้อสายโปแลนด์-ยิว นามสกุลเดิมในโปแลนด์นั้นสะกด Bereksohn ซึ่งเป็นตระกูลนักธุรกิจที่มีฐานะในโปแลนด์ ส่วนแม่ของเบิร์กสันชื่อว่าแคทเธอรีน (Katherine Levison) เธอมีเชื้อสายยิวจากอังกฤษ 

หลังจากเบิร์กสันเกิดมา ครอบครัวของได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในลอนดอนของอังกฤษ จนเมื่อเขาอายุใกล้จะเก้าขวบ ครอบครัวก็ได้ย้ายกลับมาฝรั่งเศส

1868 เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมคงดอร์เซ็ต (Lycee Condorcet) ซึ่งได้รับการศึกษาตามหลักสูตรยิว แต่ว่าระหว่างที่เรียน กล่าวกันว่าเขาได้สูญเสียศรัทธาต่อศาสนา เพราะได้รับอิทธิพลจากทฤษฏีวิวัฒนาการ (theory of evolution)

1877 เขามีผลงานการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมันถูกนำไปตีพิมพ์ลงในวารสาร Nouvelles Annals de Mathématique 

1878 เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย ENS (Ecole Normale Superieure) ในสาขาปรัชญา 

1881 หลังจากเรียนจบได้ทำงานเป็นครูในหลายโรงเรียนในต่างจังหวัด เริ่มที่โรงเรียนประถมเดวิด (Lycée David-d’Angers) ในเมืองอองเช่ (Angers) 

1883 ย้ายมาสอนที่โรงเรียนมัธยมเบซ์-ปาสคาล (Lycée Blaise-Pascal)

1888 กลับมาอยู่ในปารีส และสอนหนังสือที่โรงเรียนมัธยมอองรี-แก๊ต (Lycée Henri-Quatre)

1889 ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีส (University of Paris) จากวิทยานิพนธ์เรื่อง Tiem and Free Will ซึ่งได้ถูกนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือออกมาในปีเดียวกัน 

1891 แต่งงานมาหลุยส์ (Louise Neuberger) ซึ่งต่อมาพวกเขามีลูกสาวด้วยกันชื่อเจนนี่ (Jeanne, b.1896) แต่ว่าเธอหูหนวกตั้งแต่เกิด  

1898 ได้เป็นอาจารย์สอนที่ ม.ENS ซึ่งปีต่อมาเขาก็ได้ตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์

1900 ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ในภาควิชาปรัชญาโรมันและกรีก ของวิทยาลัยฝรั่งเศส (College de France)

1901 ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์ศีลธรรมและการเมือง (Academy of moral and politic sciences)

1921 ได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการด้านความร่วมมือทางปัญญาขององค์การสันนิตบาตชาติ (Commission for Intellectual Cooperation of the League of Nations) จนถึงปี 1926

1927 ได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม จากผลงาน Creative Evolution

1928 เกษียณจาก วิทยาลัยฝรั่งเศส

1941 3 มกราคม, เสียชีวิตในปารีส

ผลงานเขียน

Time and Free Will, 1889Matter and Memory, 1896Creative Evolution, 1907The Two Sources of Morality and Religion, 1932
 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on September 07, 2024 23:40

Muang Theng Kingdom

ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรเมืองเท็ง (Muang Theng Kingdom) ของชาวไทดำ

กษัตริย์เต้าลอ (Tao Lo) เป็นกษัตริย์ของเมืองออม (Om) และเมืองอาย (Ay)

พระองค์นั้นได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์โดยพระบิดาของพระองค์ซึ่งเป็นเทวดาชื่อว่า เทพเต้าสวง (Tao Suang , The Angel) 

ต่อมากษัตริย์เต้าลอได้อภิเษกสมรส และมีพระโอรส 7 พระองค์

เมื่อพระโอรสเจริญพระชันษา พระองค์ก็ได้มอบเมืองให้อยู่ใต้การปกครองของพระโอรสแต่ละพระองค์

เจ้าชาย ต้าดุ๊ก (Prince Taa-Duk) ได้ปกครองลอร์หลวง (Lor Luang) ซึ่งเป็นเมืองหลวง

เจ้าชายต้าเด้า (Prince Taa-Dauw) ได้ปกครองเมืองลอร์จา (Lor Jaa)

เจ้าชายลับลี (Prince Lap-Li) ได้ปกครองเมืองลอร์ซา (Lor Zaa)

เจ้าชายลอร์ลี (Prince Lor-Li) ได้ปกครองเมืองมิน (Meuang Min)

เจ้าชายลางงาง (Prince Laang-Ngaang) ได้ปกครองเมืองปุ๊ก (Meuang Puak)

เจ้าชายลางกวาง (Prince Laang-Kwaang) ได้ปกครองเมืองเมียง (Meuang Maeng)

แต่ว่าเจ้าชายลานเจือง (Prince Laan-Jeuang) ไม่ได้รับพระราชทานเมืองให้ปกครอง เพราะพระบิดาทรงเห็นว่าพระองค์ยังมีพระชันษาน้อยเกินไป ประกอบกับพระเชษฐาเจ้าชายสองพระองค์แรกมีพระโอรสหลายพระองค์ โดยเจ้าชายต้าดุ๊ก มีพระโอรสและพระธิดาถึง 18 องค์ และเจ้าชายต้าเด้า มีพระโอรส 20 องค์ โดยเจ้าชายเหล่านี้ได้รับเมืองและหมู่บ้านซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศ บริเวณริมแม่น้ำแต้ (Tae River~ แม่น้ำดำ) และแม่น้ำตาว (Taav River~ แม่น้ำแดง) ไปปกครองกัน

แต่ว่าเจ้าชายลานเจืองนั้นต้องการที่จะมีเมืองใต้การปกครองของพระองค์เอง จึงได้ตัดสินใจที่จะทำสงครามที่จะขยายดินแดนออกไป โดยที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์เต้าลอ

กองทัพของเจ้าชายลานเจืองนั้น ประกอบไปด้วยทหารและประชาชนที่นำไปเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวนมาก โดยหมู่ประชาชนเหล่านั้น ประกอบไปด้วยตระกูล สิงห์ลอ, สิงห์เรือง, สิงห์แล้ว, สิงห์เล้ง, ลิงห์แล, สิงห์เล็ม, สิงห์ลู, สิงห์กวง, สิงห์กวาง, สิงห์กา, สิงหะ, สิงห์วา, สิงห์บี, สิงห์วี,และ สิงห์สา

ในขณะที่ในเวียดนามนั้น  มีตระกูล Baccam, Cam, Deo ที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ราวหนึ่งศตวรรษโดยรัฐบาลของเวียดนาม โดยแยกมาจากตระกูล Lo-Kam

กองทัพของจ้าวล้านเจื้อง นั้นเดินทางผ่านเขากา (Kaa Mountain) และเขาปุ๊ก (Puk Mouantain) ไปยังเมืองมิง

เมืองมาถึงเมืองมิง จ้าวล้านเจื้องได้สั่งให้โหรพยากรณ์โชคชะตาของการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งโหรได้ถวารคำทำนายว่า “การทำศึกครั้งนี้จะไม่ส่งผลดี แต่ว่าการยกเลิกศึกครั้งนี้ก็ไม่ดีเช่นกัน”

เจ้าล้านเจื้องจึงได้สั่งให้มีการทำพิธีบวงสรวงเทพเต้าสวง และเทพเต้าเงิน (Tao Ngeun) เพื่อขอความคุ้มครองจากเทพยดา 

หลังจากนั้นจ้าวล้านเจื้องได้ยกทัพบุกเมืองลุง(Muanng Lung) , เมืองเจียน(Muang Jian), และเมืองจาย (Mueang Jaay)  ซึ่งเมืองเหล่านั้นยอมสยบให้กับเจ้าล้านเจื้อง แต่ว่าพระองค์ยังไม่พอพระทัย เพราะเมืองเหล่านี้มีขนาดเล็ก พระองค์จึงได้เดินทัพต่อไปจนถึงแม่น้ำดำ (Black River) และได้สั่งให้ทหารต่อแพไม้ไผ่ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับข้ามแม่น้ำ

ซึ่งเมื่อข้ามแม่น้ำแล้ว กองทัพของจ้าวล้านเจื้องได้ปะทะกับชาวซาอำกา (Sala Am Kaa people) ที่นำโดยขุนกวาง (Khun Kwaang) ซึ่งการรบเป็นไปอย่างนองเลือด และทัพของจ้าวล้านเจื้องเป็นฝ่ายปราชัย จนพระองค์ต้องสั่งให้ถอยทัพหนี่ มายังหมู่บ้านอ่อง (Oong)

ในศึกครั้งนี้ จ้าวล้านเจื้องได้สูญเสียทหารไปกว่า 800 คน และศพของทหารเหล่านี้ถูกสั่งให้ฝังไว้บริเวณริมแม่น้ำดำ โดยภายหลังบริเวณดังกล่าวถูกเรียกขานในชื่อ วังดอย (Vang Dooy) ซึ่งแปลว่าบ่อน้ำแห่งความตาย

ต่อมาเมื่อกองกำลังเสริมจากกษัตริย์เต้าลอเดินทางมาสบทบ จ้าวล้านเจี้ยงจึงได้ยกทัพกลับไปตีกองทหารของขุนกวางอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จ้าวล้านเจื้องสามารถยึดเมืองต่างๆ ตลอดสองฝั่งแม่น้ำดำเอาไว้ได้ รวมถึงเมืองบู๋ (Muang Bu) และเมื่อยกทัพมาถึงเมืองลา (Muang La) ก็เจอกับการต่อต้านเล็กน้อยจากผู้นำท้องถิ่งที่ชื่อขุนอำปัม (Khun Am Peum) แต่ว่าก็ชนะได้อย่างไม่ยากลำบาก ซึ่งหลังจากมีชัยชนะ ก็ได้สั่งให้มีการแบ่งประชาชนบางส่วนตั้งถิ่นฐานที่เมืองลานี้ โดยได้แต่งตั้งขุนซุง (Khun Zung) ให้ครองเมือง ซึ่งปัจจุบันเมืองลาคือ เมืองซนลา (Son La City)

หลังจากนั้นกองทัพของจ้าวล้านเจื้องได้เดินทางต่อไป โดยข้ามเขาฮาว (Khauw mountain) ไปยังเมืองมวย (Muang Muoi) ซึ่งกองทัพจ้าวล้านเจื้องได้ปะทะกับสองผู้นำเผ่า คือ ซาอ่ำฮัม (Saa Am Ham) และซาอ่ำปอย (Saa Am Pooy) ซึ่งมีกองกำลังขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ตามหุบเชา

จ้าวล้านเจื้องนั้นแพ้ในการรบหลายครั้ง พระองค์จึงได้เจรจากับซาอ่ำปอย และได้เสนอว่าพระองค์จะแต่งงานกับบุตรสาวของซาอ่ำปอย ซึ่งซาอ่ำปอยตอบรับข้อเสนอ

แต่ว่าภูมิศาสตร์ของเมืองมวยเป็นพื้นดินแคบตามแนวยาวที่ล้อมรอบด้วยหุบเขา พื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับทำการเกษตร จ้าวล้านเจื้องจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช้ดินแดนบริเวณนี้ในการสร้างเมือง

พระองค์ได้แต่งตั้งขุนยาง (Khun Yaang) ให้เป็นผู้ปกครองเมืองมวยนี้ และเปลี่ยนชื่อเป็นทวนเจ้า (Thuan Chau)

กองทัพของเจ้าล้านเจื้องมุ่งหน้าต่อไป และยึดเมืองต่างๆ ที่ผ่านไปเอามาไว้ในครอบครองได้ ทั้งเมืองแอ้ก (Meuang Ake) เมืองควาย (Meunag Kwaay) เมืองฮวก (Meuang Huak) เมืองอัง (Meuang Ang) และเมืองฟาง (Meuang Fang) แต่ว่าพระองค์ยังไม่พอใจกับดินแดนที่ได้มาเหล่านี้ที่ยังคงเล็กเกินไป

จนกระทั้งยกทัพมาถึงเมืองเท็ง (Theng) ซึ่งมีขนาดใหญ่ จ้าวล้านเจื้องจึงได้สั่งให้มีการสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ซึ่งเมืองเท็งปัจจุบันคือ เตียน เบียน ฟู (Dien Bien Phu) ในเวียดนาม

ต่อมาเมื่อกษัตริย์เต้าลอสวรรคต เจ้าล้านเจื้องจึงได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ โดยมีเมืองเท็งเป็นเมืองหลวง และเรียกว่าราชอาณาจักรเมืองเท็ง (Muang Theng Kingdom) หรือ แผ่นดินเมืองเท็ง (Faen Din Meung Theng)

พระองค์ได้สั่งให้มีการสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ขึ้นมาสามแห่ง สำหรับกองทัพ โดยเรียกว่า เจียงสามหมื่น (Jiang Saam Meun)

เจ้าล้านเจื้องได้อภิเษกกับสตรีจากเมืองบ้านแป้ (Baan Pae) และเรียกพระโอรสว่าขุนแป้

เจ้าชายขุนแป้ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงสามัญชนจากบ้านลองข้าวหลาย (Baan Lorng Khaav Laay) และมีทายาทชื่อขุนเหมิน (Khun Meun) แต่ว่าหลังขุนเหมินเกิดได้ไม่นาน ขุนแป้ก็เสียชีวิต

จ้าวล้านเจื้องได้ดูแลชุนเหมินจนกระทั้งเติบใหญ่ และต่อมาขุนเหมินก็แต่งงานและมีทายาทชื่อท้าวปาน (Taav Pan)

ต่อมาเมื่อจ้าวล้านเจื้องสวรรคต ขุนเหมินก็ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์

ไม่นานหลังขุนเหมินครองราชย์ เจ้าฟ้าแก้ว (Chauw Faa Khaev) กษัตริย์ของลาว ก็ได้ยกทัพเข้ามาโจมตีเมืองเท็ง โดยได้รับความร่วมมือจากชาวลู (Lue people) ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเดิมของเมืองเท็ง

แต่ว่าทหารของจ้าวขุนเหมินสามารถเอาชนะกองทัพของเจ้าฟ้าแก้วได้ 

หลายปีต่อมาเมื่อกษัตริย์ขุนเหมินสวรรคต เจ้าชายท้าวปาน (Taav Paan) ก็ได้ขึ้นครองราชย์ และพระองค์ได้แต่งงานกับสตรืชื่อนางงาม (Naang Ngaam) และมีพระโอรสชื่อไสช้าง (Sai Chaang)

ต่อมาเจ้าฟ้าแก้ว ได้ยกทัพกลับมาโจมตีเมืองเท็งอีกครั้ง และสามารถจับจ้าวท้าวปานเอาไว้ได้ และได้จับตัวกลับไปยังลาว และจ้าวท้าวปานก็ถูกประหารชีวิตที่เมืองเล็กๆ ในลาว ชื่อเมืองสามหมื่นเมืองเฟือง (Saam Meun Muang Fuang)

ที่เมืองเท็ง เจ้าชายไสช้างได้ขึ้นเป็นกษัตริย์และได้ทรงอภิเษกและมีรัชทาน ชื่อท้าวกาน (Taav Kaan) และท้าวกำ (Taav Kam)

ท้าวกานนั้นได้แต่งงานและมีโอรสชื่อท้าวจอง (Taav Chong) 

ท้าวกำก็มีพระชายาเช่นกัน และมีโอรสชื้อท้าวเจียว (Taav Chiav)

ต่อมาเมื่อเจ้าไสช้างสวรรคต ท้าวกานและท้าวกำจึงได้แบ่งอาณาจักรเป็นสองส่วน โดยท้าวกานปกครองราชอาณาจักรเท็งเหนือ(Theng Neua) ส่วนท้าวกำปกครองราชอาณาจักรเท็งใต้ (Theng Taeu)

หลายปีผ่านไป ท้าวกำก็สวรรคต ท้าวกานจึงคิดที่จะรวบรวมอาณาจักรให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง แต่ว่าท้าวเจียวปฏิเสธความต้องการของเสด็จลุง ทำให้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรเหนือและใต้

ฝ่ายของท้าวเจียวนั้นแพ้ในสงคราม ซึ่งหลังจากพ่ายแพ้ ท้าวเจียวก็ถูกส่งไปปกครองเมืองเล็กๆ ชื่อเมืองไล (Muang Lai) ซึ่งปัจจุบันคือจังหวัดไลเจ้า (Lai Chau province) ในเวียดนาม

ส่วนท้าวกานก็ได้ปกครองอาณาจักรเท็งที่กลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ส่วนพระโอรส ที่พระนามว่าท้าวจองนั้น ก็ได้อภิเษกกับนางอู๋จางฟาน (Naang U Chaang Faan) และมีโอรสด้วยกันชื่อท้าวเทิง (Taav Therng)

หลายปีผ่านไป จนกระทั้งกษัตริย์ท้าวกานสวรรคต ท้าวจองก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของเมืองเท็ง แต่ว่าเมื่อทรงครองราชย์ได้ไม่นาน ชาวหลูซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมก็ได้รับการสนับสนุนจากลาว ในการลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของท้าวจองหลายครั้งหลายหน

ท้าวจองเห้นว่าสถานะการณ์ทวีความรุนแรงบ่อยครั้งขึ้น พระองค์จึงได้ส่งพระโอรส ท้าวเทิงไปปกครองเมืองมวย ซึ่งปัจจจุบันคือเมืองทวนเจ้า (Thuan Chau) ซึ่งที่เมืองนี้ท้าวเทิงก็ได้อภิเษกกับนางต้าเมือง (Naang Taa Meuang) และมีโอรสด้วยกันชื่อกวาล้าน (Kwaa Laan)

ต่อมาชาวลูได้ลึกฮือต่อต้านการปกครองอีกครั้ง และพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ สามารถยึดเมืองหลวงของอาณาจักรเท็งได้ และกษัตริย์ท้าวจองก็ถูกจับและถูกประหารชีวิต

ศูนย์กลางการปกครองของชาวไท จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมวย และท้าวเทิงก็ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ และประเทศก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นราชอาณาจักรเมืองมวย (Muang Muoi Kingdom) หรือแผ่นดินเมืองมวย ( Faen Din Muang Muoi)

หมายเหตุ

1.ชาวไทดำนั้นไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ สิ่งก่อสร้างที่เป็นเจดีย์หลายแห่งที่พบในเมืองเท็งนั้นก่อสร้างโดยชาวลูและชาวลาว

2. ตอนที่กษัตริย์ท้าวปานถูกจับตัวไปยังลาวและถูกประหารชีวิตที่เมืองสามหมื่นเมืองเฟืองนั้น … ภายหลังเมื่อกษัตริย์ท้าวเทิงก็ได้ส่งทหารชาวไทจำนวนหนึ่งไปยังเมืองสามหมื่นเมืองเฟือง เพื่อทำพิธีกรรมให้กับพระศพอย่างเหมาะสม และได้รวบรวมเอาพระอัษฐิไปฝังบนยอดเขาในพื้นที่ โดยภูเขาลูกนี้ต่อมาถูกตั้งชื่อว่า ภูฟาต่อน่อคำ (Pu Faa Tor Nor Kam) ที่แปลว่าภูเขาที่มีหน่อไม้ทองคำ ส่วนทหารบางส่วนที่ส่งไปจัดการพระศพนั้น ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่และมีลูกหลานสืบต่อมา เพื่อปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิของพวกเขา โดยหมู่บ้านของพวกเขาตั้งชื่อว่าบ้านสามหมื่นเพื่อระลึกถึงประเทศบ้านเกิดของตน และในทุกนี้ชาวไทในพื้นที่ยังคงอนุรักษ์ประเพณีการรำลึกถึงกษัตริย์ของพวกเขา โดยมีพิธีในทุกวันเพ็ญในเดือนกันยายน โดยเรียกว่า ประเพณีพัดทองหลวง (Pat Tong Luang)

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on September 07, 2024 07:14

September 4, 2024

The Legend of Kut Piew, Khauw Kut, Kheuay Mia

ตำนานกุดเปียว (Kut Piew), ข้าวกุด (Khauw Kut), เขยเมีย (Kheuay Mia)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  … ณ. ดินแดน สิบหกจุไท (สิบหกเจ้าไท) 

เจ้าเมืองของแคว้น 2 แห่งที่ใหญ่ที่สุดเกิดความขัดแย้งกัน โดยเจ้าเมืองของแคว้นใต้ซึ่งมีลูกสาวอันเป็นที่รักคนหนึ่ง ชื่อ นางแสนฮัก (100,000 ความรัก) ในขณะที่เจ้าเมืองของแคว้นเหนือ มีบุตรชายชื่อ ท้าวลมแลง (Tao LomLaeng) ซึ่งท้าวลมแลง ได้ตกหลุมรักนางแสนฮัก

ในช่วงเวลานั้น ดินแดนสิบหกจุไทกำลังถูกรุกรานโดยศัตรูจากภายนอก ทำให้เจ้าเมืองแคว้นใต้ตกลงที่จะให้นางแสนฮักหมั่นหมายกับท้าวลมแลง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหารให้สองเมืองมีความเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากภายนอก แต่ว่าในใจของเจ้าเมืองแคว้นใต้นั้นไม่เต็มใจอย่างยิ่งในการแต่งงานนี้

แต่เมื่อสงครามยุติ และชาวไทเป็นฝ่ายมีชัยชนะในสงคราม

เจ้าเมืองแคว้นใต้พยายามทุกวิถีทางที่จะยุติและยกเลิกการแต่งงานของหนุ่มสาวทั้งสอง

เจ้าเมืองแคว้นใต้จึงได้คิดแผนการณ์หนึ่งขึ้นมา เรียกว่า เขยเมีย (Kheuay Mia) เพื่อเป็นการพิสูจน์รักแท้ ของท้าวลมแลงที่มีต่อนางแสนฮัก 

การทดสอบขั้นที่หนึ่ง เรียกว่า เขยขวัญ (Kheuay Kwaan)  ซึ่งท้าวลมแลงจะต้องนอนอยู่หน้าระเบียงห้องของว่าที่เจ้าสาวเป็นเวลาสี่ปี โดยห้ามแตะต้องร่างกายของนาง นอกจากนั้นว่าที่ลูกเขยยังต้องทำอาหารเมนูเนื้อมาเสริฟให้ว่าที่พ่อตาเป็นประจำทุกวันด้วย  

แต่ว่าเนื้อในเวลานั้นถือเป็นของที่หายาก ท้าวลมแลงจึงได้ลงมือเลี้ยง หมู, วัวและควายด้วยตัวเอง

และเมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี ชายหนุ่มและคนรักจึงได้รับอนุญาตให้แต่งงานกันในที่สุด 

แต่ว่าเจ้าเมืองแคว้นใต้ยังคงพยายามที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกัน จึงได้สร้างการทดสอบที่สอง เรียกว่า เขยควง (Kheuay Kuang) ที่เป็นการทดสอบภายในจิตใจ โดยท้าวลมแลงได้รับอนุญาตให้เข้าไปนอนในห้องนอนของภรรยาได้ แต่ว่ายังคงต้องทำเมนูเนื้อให้พ่อตาทุกวันเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งท้าวลมแลงยอมรับการทดสอบ

เมื่อเวลาผ่านไปร่วม 14 ปี ท้าวลมแลงผ่านการทดสอบ และสามารถพาตัวนางแสนฮักกลับไปยังแคว้นเหนือของตนเองได้

เมื่อมาถึงแคว้นเหนือ เจ้าเมืองเหนือ ซึ่งเป็นพ่อสามีต้องการจะแก้แค้นให้ลูกชาย จึงได้สั่งให้นางแสนฮักต้องเป็นผู้ทำอาหารจากผักกูด (fiddlehead fern) มาให้เขารับประทานเป็นประจำทุกวัน

แต่ว่าผักกูดปกติแล้วจะออกในช่วงฤดูใบไม้ผลิดเท่านั้น ทำให้นางแสนฮักต้องหาวิธีที่จะปลูกผักกูดขึ้นมาเอง แต่ว่าไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ นางก็ไม่สามารถทำให้ผักกูดอออกยอดอ่อนได้ตลอดปี แต่ว่านางก็พยายามต่อจนกระทั้งนางสิ้นใจตาย

เจ้าเมืองแคว้นใต้รู้สึกเสียใจอย่างมากต่อการเสียชีวิตของลูกสาว จึงได้สั่งให้สตรีในเมืองทุกคนทอผ้าเป็นรูปยอดผักกูด เรียกว่า กุดเปียว (Kut Piew) และนำไปติดประดับไว้ที่หมวกหรือผ้าโผกศรีษะของสตรีในเผ่า

นอกจากนั้นยังให้บ้านของชาวไททุกหลักทำสัญลักษณ์เป็นรูปผักกูด เรียกว่า ข้าวกุด (Khauw Kut) ติดเอาไว้ที่จั่วบ้าน 

เขยเมีย เป็นการทดสอบคู่รัก ที่กลายมาเป็นประเพณีของชาวไท แต่ว่าถูกปรับให้เป็นในแนวทางที่ดีและใช้เวลาสั้นๆ 

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on September 04, 2024 06:06

The Legend of Maak Paem (Silver Buttons)

ตำนานมะแป๋ม (ตำนานของชาวไทดำ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว … มีคู่รักคู่หนึ่งที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ทั้งสองต่างรักกันมาก

แต่แล้วก็ได้เกิดสงครามขึ้นมา ฝ่ายชายจึงถูกเกณฑ์ไปรบ … แต่เขาก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย

ในขณะที่ผู้เป็นภรรยายได้แต่เฝ้ารอคอยให้สามีกลับมา

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายหญิงนั่งอยู่ในบ้าน ได้ปรากฏว่ามีตัวหนอน (โป้งแป๋ม- Bong Paem) ตัวหนึ่งคลานมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามันได้รัดตัวเองเข้ากับเสื้อของหญิงสาว

ฝ่ายหญิงคิดในตอนนั้นว่า หนอนตัวนี้จะต้องเป็นสามีของเธอแน่ๆ เพราะเธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ได้รับเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ และไม่นานหนอนตัวนั้นก็ได้กลายเป็นผีเสื้อ

และเพื่อเป็นการรำลึกถึงชายอันเป็นที่รัก หญิงจึงได้ประดิษฐ์กระดุมเงินขึ้นมาเป็นรูปผีเสื้อคู่ ที่หันหน้าเข้าหากัน และกระดุมนี้เองถูกเรียกว่า…มะแป๋ม

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on September 04, 2024 01:50

August 28, 2024

Samguk sagi

ซัมกุ๊ก ซากิ (삼국사기, Samguk sagi)

ซัมกุ๊กซากิ หรือ ประวัติศาสตร์สามอาณาจักรเกาหลี (History of the Three Kingdoms) หรือ สามก๊กเกาหลี เป็นหนังสือประวัติศาสตร์เกาหลีที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลี ถูกเขียนขึ้นในปี 1145 โดยคิม บุซิก (Kim Bu-sik, 金富軾) นักประวัติศาสตร์ซึ่งเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกับทีมผู้ช่วย 11 คนของเขา ตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์อินจอง แห่ง โคริยอ (King Injong of Goryeo, 1122-1146)

ซัมกุ๊กซากิ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึง 3 อาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรเกาหลี 3 อาณาจักร ประกอบด้วย อาณาโกกุรียอ (Goguryeo), อาณาจักรแพ็คเจ (Baekje) และ อาณาจักรซิลลา (Silla)

ซัมกุ๊กซากิ ถูกเขียนด้วยอักษรจีน แบ่งออกเป็น 50 เล่ม ความยาวประมาณ 270,000  คำ โดยเนื้อหานั้นอ้างอิงมาจาก Old History of the Three Kingdoms (舊三國史, Gu Samguksa) และ Annals of Hwarang (花郞世記, Hwarang Segi) ซึ่งหนังสือทั้งสองนั้นได้สูญหายไปแล้ว

ซัมกุ๊ก ซากิ ถูกแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ในชื่อ The Koyuryo Annals of the Samguk Sagi ในปี 2012 โดย ศจ.เอ็ดเวิร์ด (Prof. Edward Shultz) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาย (University of Hawaii) และ ศจ.ดร.ฮักห์ กาง (Dr. Hugh Kang HW) 

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 28, 2024 23:10

August 23, 2024

Pafnuty Chebyshev

บาฟนูตี เชบีเชฟ (Пафнутий Дьвович Чебышёв)

บิดาแห่งคณิตศาสตร์ของรัสเซีย

เชบีเชฟ เกิดวันที่ 4 พฤษภาคม 1821 (16 พฤษภาคม, ปฏิทินปัจจุบัน)  ในโอกาโตโว่, กาลุก้า, จักรวรรดิรัสเซีย (Okatovo} Kaluga Governorate, Russian Empire) เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย

ครอบครัวของเขามีฐานะดี พ่อแม่ของเขาเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก พ่อมีชื่อว่าเลฟ (Lev Pavlovich Chebyshov) เป็นอดีตทหารในกองทัพรัสเซีย เคยร่วมในสงครามระหว่างรัสเซียกับ่นโปเลียน (Napolean) ซึ่งรัสเซียเป็นฝ่ายชนะ ส่วนแม่ของเขาชื่อว่าเอกราเฟน่า (Agrafena Ivanovna Pozniakova)  เชบีเชฟมีพี่น้องผู้ชายสี่คน และพี่น้องผู้หญิงสี่คน

เชบีเชฟ มีความผิดปกติในการเดิน ที่เรียกว่าเทรนเดเลนเบิร์กเกต (Trandelenburg’s gait) มาตั้งแต่เล็ก ทำให้ในวัยเด็กเขาต้องอาศัยไม้เท้าในการช่วยเดิน

ในวัยเด็กแม่ของเขาเป็นผู้ที่สอนหนังสือให้เขา โดยสอนทั้งภาษารัสเซีย, ฝรั่งเศส คณิตศาสตร์ และดนตรี โดยที่มีญาติ ชื่อชุคาเรว่า (Avdotya Kvintilianovna Sukhareva) ซึ่งทำงานราชการ เป็นครูอีกคนที่สอนหนังสือให้เขาด้วย

1832 ตอนที่มีอายุได้ 11 ปี ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ในมอสโคว์ และได้มีโอกาสเรียนคณิตศาสตร์กับโปโกเรลสกี้ ( P. N. Pogorelski) หนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศในเวลานั้น

1837 เข้าเรียนที่มหาวิทยาลับมอสโคว์ (Moscow State University) และได้เรียนกับ ศจ.บราสแมน (Nikolai Dmetrievich Brashman) ศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์ 

1840 ที่มหาวิทยาลัยมอสโคว์มีการจัดการแข่งขันทางด้านคณิตศาสตร์ขึ้น และเชบีเชฟ ได้ส่งผลงานของเขาเรื่อง The Calculation of roots equations of nth degree เข้าประกวด  ซึ่งผลงานของเขาได้รับเหรียญเงิน 

1841 จบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยมอสโคว์ โดยได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  และหลังจากจบ เขาได้เลือกที่จะเรียนต่อโท เพื่อได้ร่วมงานกับ ศจ.บราสแมน ต่อ 

1842 เชบีเชฟ ส่งผลงานคณิตศาสตร์ของเขา ไปให้กับหลุยส์วิลล์ (Joseph Liouville) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งงานจองเชบีเชฟถูกนำไปตีพิมพ์ในวารสารของหลุยส์วิลล์ ในปี 1843

1844 มีผลงานของเชบีเชฟ อีกชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารของออกัส แคร์ (August Crelle) ซึ่งเป็นผลงานเกี่ยวกับ the convergence of Taylor series

1846 จบปริญญาโท จาก ม.มอส์โคว์  และหลังจากเรียนจบเขาได้ทำงานที่มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (Saint Petersburg University) โดยเชบีเชฟ ได้ส่งผลงาน On integration by means of logarithms ไปยังมหาวิทยาลัยตอนที่เขาสมัครเป็นอาจารย์ที่นั่น

1849 สำเร็จปริญญาเอก โดยที่เขียนวิทยานิพนธ์ด้านคณิตศาสตร์เรื่อง “Theory of Congruences” ซึ่งเป็นผลงานเอกชิ้นหนึ่งของเขา

มีผลงานเขียนหนังสือ Teoria sravneny (Theory of Congruences) พิมพ์ออกมา ซึ่งหนังสือเล่มนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลจากสถาบันวิทยาศาสตร์รัสเซีย (Russian Academy of Sciencs)

เชบีเชฟ ยังได้ร่วมกับ บันยากอฟสกี้ (Bunyakovsky) พิมพ์ผลงานเกี่ยวกับ ทฤษฏีจำนวน ลำดับที่ 99 ของออยเลอร์ (Euler’s 99 number theory)

1850 มีผลงานพิสูจน์ทฤษฏี Bertrand’s conjecture ซึ่ง ทฤษฏี Bertrand’s conjecture ได้บอกว่า มีจำนวนเฉพาะ (prime numbers) อย่างน้อย 1 ตัว เสมอ ระหว่าง n และ 2n … เมื่อ n>3

ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ ที่ ม.เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 

1852 เดินทางไปฝรั่งเศส อังกฤษ เบลเยี่ยม และเยอรมัน เพื่อศึกษาดูงานพัฒนาการด้านคณิตศาสตร์และวิศวกรรมในต่างประเทศ

1867 พิมพ์ผลงาน On mean value 

1882 เกษียณจากมหาวิทยาลัย 

1894 26 พฤศจิกายน (8 ธันวาคม N.S.), เสียชีวิตในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

1 like ·   •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 23, 2024 21:37

August 9, 2024

The Paris Uprising 1832

กบฏปารีส (The Paris Uprising of 1832)

หรือ กบฏมิถุนายน (June Rebellion) ระหว่าง 5-6 มิถุนายน 1832 เป็นการลุกฮือประท้วงของฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ ต่อต้านการที่รัฐบาลแต่งตั้งกษัตริย์หลุยส์-ฟิลิปเป้ ที่ 1 เป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศส  เหตุการณ์จบลงด้วยฝ่ายกบฏถูกปราบปราม  เหตุการณ์นี้ถูกนำไปใช้เป็นฉากในนิยาย  Les Miserables ของวิคเตอร์ ฮูโก้ (Victor Hugo)

ก่อนเหตุการณ์กบฏปารีส 

หลังการปฏิวัติกรกฏาคม 1830 (The July Revolution of 1830)  กษัตริย์ชาร์ล ที่ 10 (King Charles X  ) แห่งราชวงศ์บัวร์บอง (House of Bourbon) ถูกกดดันให้ต้องสละราชสมบัติ พระองค์นั้นได้เสด็จลี้ภัยไปยังสหราชอาณาจักร

7 สิงหาคม 1830, รัฐสภาของฝรั่งเศส นำรัฐธรรมนูญ 1814 (Charter of 1814) มาปรับปรุงใหม่ และผ่านออกมาเป็นรัฐธรรมนูญ 1830 (Charter of 1830) ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (Constitution Monarchy) เดิมที่นั้นกษัตริย์ชาร์ล ที่ 10 ได้ทรงเลือกอองรี แห่งชอมบาร์ด (Henri, comte de Chambord) พระนัดดาของพระองค์เอาไว้เพื่อเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ แต่ว่าอองรีนั้นปฏิเสธที่จะรับตำแหน่ง ทำให้ราชวงศ์บัวร์บองมีอันต้องสิ้นสุดลง

9 สิงหาคม 1830, กษัตริย์หลุยส์-ฟิลิปเป้ ที่ 1 (King Louis-Philippe) แห่งราชวงศ์ออร์ลีน (House of Orleans) ซึ่งเป็นพระญาติของกษัตริย์ชาร์ล ที่ 10 และมีพระองค์มีแนวคิดที่เสรีนิยมกว่าถูกเลือกให้สืบราชสมบัติแทน

ช่วงรัชสมัยที่กษัตริย์หลุยส์-ฟิลิปเป้ ครองราชย์นั้นถูกให้ฉายาว่า ราชวงศ์กรกฏาคม (July Monarchy, 1830-1848)

ฝ่ายที่สนับการปกครองโดยกษัตริย์ เวลานั้นถูกเรียกว่า ออร์ลีนิสต์ (Orleanists)

ส่วนฝ่ายที่ต่อต้านกษัตริย์ เรียกว่า เลจิติมิสต์ (Legitimists)

1832

การขึ้นครองราชของกษัตริย์พระองค์ใหม่ ยังคงสร้างความไม่พอใจให้กับพวกนิยมระบบสาธารณรัฐ ที่ยังฝังใจกับความสูญเสียในเหตุการณ์การปฏิวัติกรกฏาคม 1830  พวกฝ่ายต่อต้านกษัตริย์จึงได้วางแผนที่จะก่อการปฏิวัติขึ้นอีก 

ประกอบกับในช่วงเวลานั้น รัฐบาลไม่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้ เศรษฐกิจของฝรั่งเศสประสบกับความยากลำบาก ผลผลิตการเกษตรตกต่ำ และค่าครองชีพก็ฟุ่งสูงขึ้นรุนแรง

และในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1832 นั้น เกิดการระบาดอย่างหนักของโรคอหิวาห์ฝรั่งเศส ทั่วประเทศมีผู้เสียชีวิตนับแสนคน เฉพาะในฝรั่งเศสมีผู้เสียชีวิต 18,000 คน

1 มิถุนายน, นายพลณอน แม็กซิมิเลียน ลามาร์ก (Jean Maximillian Lamarque) ผู้บัญชาการทหารที่ได้รับความนิยม และเป็นฝ่ายต่อต้านกษัตริย์คนสำคัญในรัฐสภา ก็เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาห์อย่างกระทันหันด้วยเช่นกัน

3-4 มิถุนายน, ดัชเชสส์แห่งเบอร์รี่ (Duchess of Berry) มารดาของอองรี แห่งชอมบาร์ด พยายามก่อการกบฏเพื่อโค่นกษัตริย์ชาร์ล ที่ 10 เพื่อที่จะตั้งให้อองรี ลูกของเธอขึ้นเป็นกษัตริย์ตามพระประสงค์เดิมของกษัตริย์หลุยส์ ที่ 10 แต่ว่าความพยายามก่อการของเธอล้มเหลว และเธอต้องหลบหนีไปซ่อนตัวนานกว่า 5 เดือนก่อนที่จะถูกจับได้ และถูกขังคุก

5-6 มิถุนายน, เหตุการณ์กบฏปารีส (Paris Uprising) งานศพของนายพลฌอน ลามาร์กจัดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งมีประชาชนหลายพันคนเข้าร่วมงาน แต่ว่าในเวลาไม่นานงานศพก็กลายเป็นการต่อต้านรัฐบาล โดยมีประชาชนประมาณ 100,000 คนได้ทำการยึดกรุงปารีส พวกเขาได้สร้างแนวกั้นทางเอาไว้ตามถนนหลายสายในกรุงปารีส และได้ยึดจตุรัสบาสติล (Place de la Bastille) สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ครั้งที่ 1 (Frence Revolution 1789) เป็นฐาน และใช้ธงแดงที่มีสโลแกนว่า “เสรีภาพหรือความตาย (Liberty of Death) เป็นสัญลักษณ์

ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลใช้กำลังตำรวจเข้าปราบปราม โดยมีกำลังพล 40,000 คน และมีการยิงปะทะกับผู้ประท้วงหลายจุด ทั้งบริเวณถนนเซนต์มาติน (rue Saint-Martin) ถนนเซนต์เดนิส (rue Saint-Denis) โดยที่มีการต่อสู้กันหนักที่สุดคือ ถนนใกล้กับโบสถ์เซนต์แมร์รี่ (The Cloître Saint-Merri)

แต่ว่าการก่อการกบฏของพวกเขาล้มเหลวในเวลาอันรวดเร็วเพียง 2 วัน เพราะว่าประชาชนมากไม่ได้ให้การสนับสนุน และผู้ประท้วงก็ถูกทางการปราบลงอย่างเด็ดขาด มีผู้เสียชีวิตกว่า 800 คน 

วิเตอร์ ฮิวโก้ ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์กบฏมิถุนายนนี้ เพราะตอนที่เกิตการกบฏขึ้นนั้น เขานั่งอยู่ในสวนตุยเลอรี่ส์ (Tuileries Gardens) และได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงพยายามตามเสียงปืนไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ได้ระวังตัวจนตัวเองอยู่บริเวณศาลากลาง (Les Halles) จุดหนึ่งที่มีการต่อสู้กันอย่างหนัก

หลังเหตุการณ์นี้ ฮิวโก้ จึงได้เขียนนิยาย Les Miserables ขึ้นมา แต่ว่านิยายของเขามักถูกสับสนเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส ปี 1789 (French Revolution 1879)

1 like ·   •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 09, 2024 03:33

August 8, 2024

Ilya Sutskever

อิลย่า ซุตสกีเวอร์ (Илья Ефимович Суцкевер)

ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ OpenAi

อิลย่า เกิดวันที่ 8 ธันวาคม 1986 ในเมืองกอร์กี่, รัสเซีย, สหภาพโซเวียต (Gorky, Russia, Soviet) พ่อของเขาชื่ออีฟิม (Efim Naumovich Sutskever) เป็นวิศวกรทางด้านอเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ 

1991 ตอนที่อายุได้ 5 ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ในเยรูซาเล็ม, อิสราเอล 

2000 อิลย่าเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโอเพ่นแห่งอิสราเอล (Open University of Israel)

2002 ครอบครัวของเขาอพยพย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง และครั้งนี้ได้มาอยู่ในแคนาดา และอิลย่าได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต้ (University of Toronto)

2005 จบปริญญาตรีจาก ม.โตรอนโต้ ทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

2007 จบปริญญาโท

2012 จบปริญญาเอก โดยอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาคือ ศจ.ฮินตัน (Jeffrey Hinton) เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก deep learning

อิลย่านั้นทำวิทยานิพนธ์ในหัวเรื่อง Training Recurrent Neural Networks

หลังจากจบปริญญาเอก เขาไปอยู่ที่สแตนฟอร์ด (Stanford University) นานสองเดือน ก่อนจะกลับมายัง ม.โตรอนโต้ 

อิลย่าและ ศจ.ฮิลตัน ยังได้ร่วมกับ ครีเซฟสกี้ (Alex Krizhevsky) พัฒนา Alexnet ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์แยกแยะภาพ

2013 อิลย่าร่วมก่อตั้ง DNNresearch Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำวิจัยและพัฒนาด้านนิวรัลเน็ตเวิร์ก (deep neural networks) ซึ่งหลังจากตั้งบริษัทขึ้นได้ไม่กี่เดือน บริษัทก็ถูก Google เข้าซื้อกิจการไป อิลย่าจึงได้เข้ามาทำงานกับ Google ในแผนก Good Brain 

2015 อิลย่าร่วมก่อตั้ง OpenAI กับอีรอน มัส (Elon Mush) โดยที่อิลย่าดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัท

2023 อิลย่า เป็นหนึ่งในกรรมการของ OpenAI ที่ลงมติขับแซม อัลต์แมน ออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัท

2024 ลาออกจาก OpenAI และได้มาก่อตั้งบริษัท Safe Superintelligence Inc. ร่วมกับ กรอส (Daniel Gross) และเลวี่ (Daniel Levy)  ซึ่งยังคงมีเป้าหมายในการพัฒนา AI 

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 08, 2024 00:52

Sam Altman

แซม อัลต์แมน (Sam Altman)

ซีอีโอของ OpenAI , ปัจจุบันเป็นประธานบริษัท Helios Energy ที่พยายามบุกเบิกการสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น (Fusion Nuclear)

แซมเกิดวันที่ 22 เมษายน 1985 ในชิคาโก้, อิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา ครอบครัวของเขามีเชื้อสายยิว แม่ของเขาเป็นแพทย์ผิวหนัง ส่วนพ่อเป็นนายหน้าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

แซมเติบโตขึ้นมาในเมืองเซนต์หลุยส์ ในรัฐมิสซัวรี่ เขาเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน จอห์น เบอร์รอกห์ (John Burroughs School) ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่ว่าเรียนได้เพียงสองปีก็ลาออก

2005 ก่อตั้ง Loopt ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแอพลิเคชั่นโซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับโทรศัพท์

2011 เข้าทำงานกับ Y Combinator 

2012 Loopt ล้มเหลว เพราะมีผู้ใช้น้อยเกินไป และบริษัทถูกชายให้กับ Green Dot Corporation ซึ่งหลังจากขาย Loopt ออกไป แซมก็ได้ก่อตั้ง Hydrazine Capital ร่วมกับน้องชายของเขาที่ขื่อแจ๊ค ซึ่งบริษัทยังคงเปิดดำเนินกิจการมาจนปัจจุบัน

2014 ได้รับตำแหน่งประธานของ Y Combinator ซึ่งเป็นบริษัทที่ระดมทุนและลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพ

แซมอยู่ในตำแหน่งประธานจนกระทั้งถึงปี 2019

2015 ร่วมก่อตั้ง OpenAI

2019 ออกจาก Y Combination เพื่อรับตำแหน่งซีอีโอของ OpenAI

แซมก่อตั้ง Tools For Humanity เป็นบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการยืนยันตัวตนและให้อำนาจ (authentication) โดยใช้การเก็บไบโอเมตริกของดวงตา โดยที่แซมยังสร้างเงินคริปโต Worldcoin ขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนให้กับคนที่อนุญาตให้มีการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกของดวงตาเป็นการตอบแทน และยังมีเป้าหมายว่า Worldcoin (worldcoin.org)จะถูกแจกให้กับคนทุกคนบนโลกใบนี้ เสมือนกับเป็นรายได้พื้นฐานให้กับทุกคน แต่ว่า Worldcoin ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ในบางประเทศ เพราะหลายประเทศไม่อนุญาตให้เก็บของมูลไบโอเมตริกของประชาชนในประเทศนั้น

2023 17 พฤศจิกายน, แซมถูกปลดออกจากตำแหน่งซีอีโอของ OpenAI แต่ว่าการปลดแซมออกทำให้พนักงานหลายร้อยคนในบริษัทไม่พอใจ และขู่จะลาออกเพื่อไปทำงานที่อื่น 

20 พฤศจิกายน, แซมจึงได้แต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นซีอีโอของ OpenAI อีกครั้ง

2024 แซม เข้าลงทุนใน Helion Energy บริษัทที่มีเป้าหมายในการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่น (Fusion Nuclear) และเข้าเป็นกรรมการบริหารของบริษัท

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on August 08, 2024 00:47

July 26, 2024

Lazar of Serbia

เจ้าชายลาซาร์ แห่งเซอร์เบีย (Лазар Хребељановић, Lazar Hrebeljanovic)

ผู้นำของดินแดน Moravian Serbia

ลาซาร์ เกิดประมาณปี 1329 ในค่ายทหารพรีเลแพ็ค (Prilepac fortress)ใกล้กับเมืองโนโว เบอร์โด (Novo Brdo) ราชอาณาจักรเซอร์เบีย (Kingdom of Serbia) ซึ่งในเวลานั้นพรีเลแพ็คเป็นแหล่งผลิตแร่ที่สำคัญของประเทศ

พริแบ๊ค (Pribac) พ่อของลาซาร์นั้นเป็นข้าหลวงอยู่ในราชสำนักของกษัตริย์สเตฟาน ดูซาน (Stefan Dusan) กษัตริย์เซอร์เบีย แห่งราชวงศ์เนแมนจิค (Nemanjic dynasty) ซึ่งกษัตริย์สเตฟาน ดูซาน ดำรงค์ตำแหน่งกษัตริย์ระหว่างปี 1331-1346 และดำรงค์ตำแหน่งจักรพรรดิในปี 1346-1355 กษัตริย์ดูซาน นั้นขึ้นครองราชย์มาด้วยการรัฐประหารโค่นล้มกษัตริย์สเตฟาน อูรอส ที่ 3 (King Stefan Uros III) พระบิดาของพระองค์เอง ด้วยการสนับสนุนจากชนชั้นสูงบางกลุ่ม ซึ่งหลังจากขึ้นครองราชย์ กษัตริย์ดูซานจึงได้ตอบแทนคนเหล่านี้ที่ภักดีต่อเขาอย่างงาม โดยที่พ่อของลาซาร์ก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนกษัตริย์ดูซาน

หลังกษัตริย์ดูซาน ครองราชย์ พระองค์ก็ทรงมอบตำแหน่ง สตาวิแล็ค (stavilac) ให้กับลาซาร์ โดย สตาวิแล็ค คือผู้ที่ทำหน้าที่ในการจัดพระกระยาหารในช่วงงานพระราชพิธี

ลาซาร์แต่งงานกับมิไลค่า (Milica) ธิดาของเจ้าชายวีแร็ตโก้ (Prince Vratko)

1346 กษัตริย์สเตฟาน ดูซาน สถาปนาตำแหน่งเป็นพระจักรพรรดิ (Emperor) โดยพระองค์ตั้งพระโอรส สเตฟาน อูรอส ที่ 5 (Stepan Uros V) เป็นพระจักรพรรดิปกครองประเทศร่วมกับพระองค์

1355 จักรพรรดิสเตฟาน ดูซาน สวรรคตอย่างกระทันหัน ขณะมีพระชนษ์เพียง 47 ชันษา และพระโอรส สเตฟาน อูรอส ที่ 5 ซึ่งมีพระชนษ์ 20 ชันษา ได้ครองราชเพียงพระองค์เดียว

1359 ดินแดนอีพิรัส (Epirus) ,เธสซาลี (Thessaly), บรานิเซโว่ (Branicevo) และ คุเซโว่ (Kucevo) ประกาศแยกดินแดนออกจากจักรวรรดิเซอร์เบีย 

อำนาจของจักรพรรดิสเตฟาน อูรอส ที่ 5 ก็อ่อนแอลง ทำให้พระองค์เองตกอยู่ใต้การครอบงำของเจ้าชายโวจิสลาฟ (Prince Vojislav Vojinovic of Zahumlje)

1361 เจ้าชายโวจิสลาฟ ก่อสงครามกับสาธารณรัฐรากุซ่า (Republic of Ragusa)  เพื่อแย่งชิงดินแดนพิพาท แต่ว่าสาธารณรัฐรากุซ่า ได้หาทางยุติสงคราม โดยส่งของบรรณาการมาให้กับลาซาร์ เหตุการณ์นี้ทำให้คาดคะเนได้ว่าลาซาร์เริ่มมีอำนาจในราชสำนักเซิร์บมากพอสมควรแล้วในเวลานี้

1363 เจ้าชายโวจิสลาฟ และสาธารณรัฐรากุซ่า บรรลุข้อตกลงยุติสงครามระหว่างกัน

กันยายน, เจ้าชายโวจิสลาฟสิ้นพระชนษ์อย่างกระทันหัน ซึ่งหลังการสิ้นพระชนษ์ของเจ้าชายโวจิสลาฟทำให้ลอร์ดวุกาซิน มิร์นยาฟเจวิชี  (Vukasin Mrnjavčevićs) และลอร์ดโจวาน (Jovan Ugljesa) กลายเป็นลอร์ดที่มีอำนาจมากที่สุดในเซอร์เบีย

1365 ซาร์อูรอส ได้ทรงแต่งตั้งลอร์ดวุกาซิน (Vukasin Mrnjavčevićs) ขึ้นเป็นกษัตริย์ร่วมกับพระองค์ ในช่วงเวลานี้ลาซาร์ออกจากราชสำนัก และข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมในช่วงนี้ของเขาขาดหายไป นอกจากทราบว่าเขาไปเป็นลอร์ดอยู่ในต่างจังหวัดและถือครองเขตแดนจำนวนมาก ซึ่งเขตแดนของเขาอยู่ใกล้กับเขตแดนของลอร์ดตระกูลมิร์นยาฟเจวิชี (Mrnjavčevićs) ที่อยู่ทางใต้

1369 ลาซาร์สามารถโน้มน้าวให้ซาร์อูรอส ร่วมเปิดสงครามกับตระกูลมิร์นยาฟเจวิชี ทำให้เกิดสงครามระหว่างชาวเซิร์บด้วยกัน  ซึ่งสงครามรบกับบริเวณทุ่งหญ้าในโคโซโว่ (Kosovo field) แต่ว่าลาซาร์นั้นหลบหนีจากการรบตั้งแต่เกิดการปะทะ ปล่อยให้พันธมิตรของเขาและซาร์อูรอสเป็นฝ่ายออกรบ ซึ่งฝ่ายของซาร์อูรอสนั้นแพ้ให้กับตระกูลมิร์นยาฟเจวิชี และซาร์อูรอสก็ถูกจับ

1370 ลาซาร์ยึดเมืองรุดนิค (Rudnik) มาจากอัลโตมาโนวิช (Altomanovic)

ในช่วงเวลานี้อาณาจักรอ๊อตโตมัน (Ottomans) ได้ขยายดินแดนเข้ามาประชิดกับดินแดนเซอร์เบียของตระกูลมิร์นยาฟเจวิชี ทางตะวันออก

1371 ราชวงศ์เนแมนจิค ถึงคราวสิ้นสุดลง เมื่อจักรพรรดิสเตฟาน อูรอส ที่ 5 สวรรคต โดยที่พระองค์ไร้รัชทายาท

26 กันยายน, (Battle of Marica) กองทัพของตระกูลมิร์นยาฟเจวิชี ปะทะกับกองทัพของอ๊อตโตมัน กษัตริย์วุกาซิน ถูกสังหารในสมรภูมิ

หลังการสวรรคตของกษัตริยวุซากิ้น เจ้าชายมาร์โก้ (Marko Mrnjavčević) รัชทายาทของพระองค์ จึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เซอร์เบียพระองค์ใหม่ ร่วมกับซาร์อูรอส

ธันวาคม, ซาร์อูรอส สวรรคตโดยที่พระองค์ไม่มีรัชทายาท ทำให้ราชวงศ์เนแมนจิคสิ้นสุดลง

ในขณะที่เจ้าชายมาร์โก้นั้น พระองค์ไม่ได้รัรบการยอมรับว่าเป็นผู้ปกครองเซอร์เบีย ทำให้ขุนนางตามหัวเมืองหลายแห่งพากันโจมตีเขตแดนอิทธิพลของตระกูลมิร์นยาฟเจวิชี   ลาซาร์เองก็ได้ทำสงครามแย่งชิงเมือง พริสติน่า (Pristina), โนโว่ เบอร์โด (Novo Brdo) ซึ่งเคยเป็นของบรรพบุรุษของเขาคืนมา รวมถึงได้ค่ายทหารพรีเลแพ็ค กลับคืนมาด้วย  ในขณะที่ลอร์ดนิโคล่า (Nokola Altomanovic) กลายเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเซอร์เบีย

ลาซาร์ กับลอร์ดทรูตโก้ (Stephen Tvrtko) ซึ่งเป็นผู้ปกครองบอสเนีย (Bosnia) ในเวลานั้น ได้จับมือกันเป็นพันธมิตรในการต่อต้านลอร์ดนิโคล่า 

1373 ลาซาร์ ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์หลุยส์ ที่ 1 (King Louis I, of Hungary) แห่งฮังการี ในการรบกับลอร์ดนิโคล่า โดยที่ลาซาร์ให้คำมั่นที่จะภักดีต่อกษัตริย์หลุยส์ ที่ 1 จนกระทั้งเขาสามารถเอาชนะนิโคล่าได้ในที่สุด 

หลังจากนิโคล่าแพ้สงครามแล้วในขณะที่ลอร์ดทรูตโก้ ได้สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเซิร์บและบอสเนียในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนี้ แต่เพราะว่าพระองค์เป็นแคโธลิคจึงไม่ได้รับการสนับสนุนเหล่านักบวชในเซอร์เบีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นออโธด๊อก ส่วนลาซาร์นั้นกลายเป็นลอร์ดผู้ที่มีอำนาจที่สุดในเซอร์เบีย นักบวชออโธดอกซ์หลายคนที่หนีภัยสงครามมาจากเขตที่อ๊อตโตมันรุกราน ก็ได้ลี้ภัยเข้ามาอยู่บริเวณเขาเอธอส (Mount Athos) ภายใต้การดูแลของลาซาร์ ทำให้นักบวชอ๊อกโธด๊อกซ์ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนลาซาร์

1379 ลาซาร์ขยายดินแดนในปกครองของตนเองไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำดานูบ (Danube) เมื่อสามารถตีดินแดน Kucevo, Branicevo มาจาก Radic Brankovic ที่สวามิภักดิ์ให้กับฮังการี 

ดินแดนที่ลาซาร์ปกครองนั้นถูกเรียกว่า Moravian Serbia เป็นดินแดนที่ใหญ่ที่สุดของบรรดาลอร์ดเซอร์เบียด้วยกัน 

ช่วงเวลานี้ ลาซาร์ เริ่มใช้คำว่า “Stefan” เป็นชื่อของเขา ตามค่านิยมของกษัตริย์ในราชวงศ์เนแมนจิค ที่ทุกพระองค์ใช้ชื่อสเตฟานหน้า คล้ายกับว่าเขาได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเซอร์เบีย  โดยอ้างว่าตนเองนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชวงค์เนแมนจิค ซึ่งปกครองเซอร์เบียมานานกว่าสองร้อยปี  แต่ว่าบรรดาชนชั้นสูงของเซอร์เบียในเวลานั้นกลับไม่ยอมรับลาซาร์ว่าเป็นกษัตริย์ของเซอร์เบีย และตำแหน่งอย่างเป็นทางการของลาซาร์นั้นเป็นเพียง “เจ้าชาย”

1382 กษัตริย์หลุยส์ ที่ 1.แห่งฮังการีสวรรคต ทำให้เกิดสงครามภายในฮังการีเอง ลาซาร์เองก็ได้ร่วมในสงครามภายในของฮังการีด้วย โดยเขานั้นเป็นฝ่ายต่อต้านเจ้าชายซิกิสมันด์แห่งลักเซมเบิร์ก (Prince Sigismund of Luxemburg) แต่เมื่อภัยคุกคามจากอ๊อตโตมันมีมากขึ้น ลาซาร์จึงได้สงบศึกกับเจ้าชายซิกิสมันด์

1387 เจ้าชายซิกิสมันด์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ของฮังการี 

1389 15 มิถุนายน, สมรภูมิโคโซโว่า (Battle of Kosovo) ใกล้กับเมื่องพริสติน่า (Pristina)  เป็นการปะทะกันระหว่างกองทัพของสุลต่านมูรัด ที่ 1 (Sultan Murad I, Ottoman Empire) แห่งจักรวรรดิอ๊อตโตมัน กับกองทัพของเซิร์บที่นำโดยลาซาร์ ซึ่งในการรบกันครั้งนี้ทั้งลาซาร์และสุลต่านมูรัด ก็สวรรคตในสมรภูมิด้วยกันทั้งสองพระองค์

หลังลาซาร์สวรรคต เจ้าชายลาซาเรวิช (Stefan Lazarevic) พระโอรสองค์โตของลาซาร์ที่ยังทรงพระเยาว์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เซิร์บต่อจากพระบิดา โดยพระมารดามิไลคา ดำรงค์ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทน

1390 พระราชินีมิไลค่า ได้ตกลงยอมแพ้ให้กับอ๊อตโตมัน โดยพระองค์ได้ส่งพระธิดาองค์เล็ก เจ้าหญิงโอลิเวร่า (Olivera) ให้ไปเป็นนางสนมในฮาเล็มของสุลต่านบาเยซิด (Sultan Bayezid I)

ส่วนกษัตริย์ลาซาเรวิช นั้นได้รับตำแหน่ง เดสพ๊อต (despot) ที่พระราชทานมาจากสุลต่านบาเยซิด 

เซอร์เบียภายใต้การปกครองของอ๊อตโตมัน เรียกว่า The Serbian Despotate ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปี ที่ยังคงมีเดสพ๊อตเป็นชาวเซิร์บ จนถึงปี 1459 … หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้การปกครองของอ๊อตโตมันนานกว่าห้าร้อยปี 

 •  0 comments  •  flag
Share on Twitter
Published on July 26, 2024 23:06

Somniantes (ความฝัน)

Cheka Aisya
i like great people who make the ideas
Follow Cheka Aisya's blog with rss.